ไบโพลาร์ ไดอารี่

ไบโพลาร์ ไดอารี่ ให้ความรู้และคำปรึกษาเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์​และ​ซึมเศร้า​

เรื่องเล่าของคนนอนไม่หลับนอนไม่หลับ เกิดได้จากหลายสาเหตุ บางครั้งสภาพของร่างกายก็ทำให้นอนไม่หลับอย่างความเจ็บป่วย หรือคว...
15/03/2025

เรื่องเล่าของคนนอนไม่หลับ

นอนไม่หลับ เกิดได้จากหลายสาเหตุ บางครั้งสภาพของร่างกายก็ทำให้นอนไม่หลับอย่างความเจ็บป่วย หรือความเครียดและความวิตกกังวล

ปัญหาตัวร้ายของคนนอนไม่หลับเรื้อรังคือ การกังวลว่าจะนอนไม่หลับ กังวลว่าจะนอนไม่พอ คิดถึงผลเสียของการนอนน้อยว่าจะเกิดผลร้ายแรงเกินจริง และหมกมุ่นว่าตัวเองมีชั่วโมงที่นอนหลับน้อยเกินไป

ข้อแนะนำที่ลดความเครียดตอนนอนไม่หลับได้ดีคือ ‘ไม่หลับก็ไม่หลับ’ เราทำอะไรกับมันไม่ได้ ให้ร่างกายได้พักผ่อนแบบอื่นไป แม้สมองจะไม่ได้พักดีเท่านอนหลับ แต่จะพักได้ดีกว่าตอนเครียดแน่นอน

‘นอนไม่หลับ’ เป็นเรื่องที่ฟังดูธรรมดามากๆ แต่เป็นปัญหาใหญ่กว่าที่คิดครับ คนที่ไม่เคยนอนไม่หลับหรือนานๆ ทีถึงจะเป็นอาจจะไม่เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน แต่การนอนไม่หลับนั้นสร้างความทุกข์ทรมานให้กับคนจำนวนมากทีเดียว และเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั่วโลก

ในประเทศไทยเองกรมสุขภาพจิตเคยสำรวจไปใน พ.ศ. 2563 พบว่ามีผู้ใหญ่ที่เคยมีปัญหานอนไม่หลับถึงร้อยละ 40 ทีเดียว ผมเองก็เป็นคนหนึ่งในคนที่ทรมานกับเรื่องนี้จนวันหนึ่งทนไม่ไหวจนตัดสินใจไปปรึกษาจิตแพทย์ ตอนนี้แม้จะอาการจะดีขึ้นแต่ก็ยังพบปัญหานี้เป็นบางครั้ง จากที่ผมเองมีประสบการณ์ตรงในการพยายามแก้ไขปัญหานี้ ได้ความรู้จากการพบแพทย์และนักจิตวิทยา รวมถึงจากการอ่านงานวิจัยต่างๆ เลยคิดว่าข้อมูลเหล่านี้น่าจะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านหลาย ๆ ท่าน วันนี้เลยมาขอชวนคุยเรื่องนอนไม่หลับกันครับ

นอนไม่หลับนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ บางครั้งสภาพของร่างกายก็ทำให้นอนไม่หลับอย่างความเจ็บป่วย โรคบางอย่างทำให้รู้สึกเจ็บปวดบางที่จนรบกวนการนอน หรือบางคนต้องกินยาบางประเภทที่มีผลข้างเคียงคือนอนไม่หลับ นอกจากนี้อีกสาเหตุสำคัญของการนอนไม่หลับคือภาวะของจิตใจ เราคงจะคุ้นเคยกันดีว่าความเครียดและความวิตกกังวลทำให้นอนไม่หลับได้ บางครั้งนอนไม่หลับก็เกิดขึ้นเองอย่างไม่มีสาเหตุ นานๆ เป็นที ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่มีอันตรายอะไร แต่หากการนอนไม่หลับเกิดขึ้นบ่อยและเกิดเรื้อรังจนรบกวนชีวิต การทำงาน สุขภาพ นั่นอาจจะถือว่าเริ่มเป็น ‘โรค’ ตัวผมเองและคนใกล้ตัวหลายคนนั้นเป็นโรคนอนไม่หลับด้วยสาเหตุอย่างหลังคือเรื่องของความวิตกกังวล วันนี้ผมจึงขอเน้นประเด็นดังกล่าวในบทความนี้ครับ

เมื่อคนเราอยู่ในภาวะวิตกกังวล ไม่ใช่เพียงแค่จิตใจจะฟุ้งซ่าน และรู้สึกกระสับกระส่าย แต่อวัยวะในร่างกายจะตอบสนองให้ร่างกายจะตื่นตัว หัวใจจะเต้นแรง และไวต่อการรบกวนต่างๆ สร้างภาวะที่หลับได้ยากขึ้นอีกด้วย

หากมองในแง่ของวิวัฒนาการแล้ว อารมณ์ทางลบคือการรับรู้อันตราย ทำให้คนต้องระวัง และการหลับไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ดีตอนเราอยู่ในภาวะอันตราย แต่อารมณ์ของมนุษย์นั้นก็ซับซ้อนมากขึ้นไปตามสังคม เราเครียดและกังวลกับสิ่งที่ไม่ถึงกับเป็นอันตรายก็ได้ เรามีเรื่องกังวลเยอะไปหมด นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่การนอนไม่หลับนั้นกลายเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในสังคม

หากเจ้าตัวรู้ว่ากำลังกังวลเรื่องอะไร เช่น เรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องครอบครัว เมื่อคลี่คลายปัญหานั้นได้ การนอนไม่หลับอาจจะดีขึ้น เพราะความกังวลก็จะลดลงไป แต่ปัญหาตัวร้ายของคนนอนไม่หลับเรื้อรังคือ การกังวลว่าจะนอนไม่หลับ กังวลว่าจะนอนไม่พอ กังวลเพราะรู้ว่านอนไม่หลับแล้วร่างกายจะแย่ จะรู้สึกอ่อนเพลีย ง่วงเกินไปในวันพรุ่งนี้ ความกังวลแบบนี้อาจจะกำเริบได้ง่าย ๆ เช่น นอนไม่หลับหากวันต่อไปต้องตื่นเช้ากว่าปกติ เหตุผลหนึ่งที่การนอนกลายเป็นหัวข้อกังวลเสียเองเพราะการนอนไม่ใช่สิ่งที่เราควบคุมได้สมบูรณ์ เราสั่งให้ตัวเองหลับไม่ได้ทุกครั้ง (ถึงคนที่นอนหลับง่ายๆ อาจจะทำได้ก็ตาม) อยากจะหลับเพราะเหนื่อย พรุ่งนี้ก็ต้องตื่นแต่เช้า แต่ทำยังไงมันก็ไม่ยอมหลับ การควบคุมไม่ได้ตรงนี้จึงสร้างความวิตกกังวลจนถึงความกลัว

พอนอนไม่หลับบ่อยๆ จะทำให้รู้สึกกังวลทุกครั้งที่เข้านอน ความกังวลก็จะยิ่งกระตุ้นร่างกายให้หลับยาก และส่งผลให้นอนไม่หลับจริงๆ กลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่ยิ่งทำให้คนนั้นกังวลเรื่องการนอนขึ้นไปอีก และกลายเป็นโรคนอนไม่หลับเรื้อรัง

งานวิจัยพบว่าคนที่นอนไม่หลับส่วนหนึ่งเพราะคิดถึงผลเสียของการนอนน้อยว่าจะเกิดผลร้ายแรงเกินจริง และหมกมุ่นว่าตัวเองมีชั่วโมงที่นอนหลับน้อยเกินไป ตระหนกเกินไปเมื่ออยู่ๆ ก็นอนไม่หลับ ว่าจะเป็นอะไรร้ายแรงหรือเปล่า พอนอนไม่หลับก็กังวลว่าร่างกายจะพัง จะทรุดโทรม พรุ่งนี้จะง่วงจนทำอะไรไม่ได้ไปต่างๆ นานา จริงอยู่ครับว่าการนอนน้อยไปเกิดผลเสียคือเรื่องจริง แต่การกดดันตัวเองที่นอนน้อยเพราะนอนไม่หลับมีผลเสียกว่า เพราะกลายเป็นสร้างความเครียดให้กับร่างกายเพิ่ม แถมคนที่หมกมุ่นกับผลเสียของนอนไม่หลับยิ่งทำให้นอนไม่หลับ

หากจะคิดง่ายๆ ว่า ก็เลิกกังวลเสีย ปัญหานอนไม่หลับก็จะดีขึ้นเอง นั่นก็เป็นคำตอบที่ถูกนะครับ แต่มันเป็นเรื่องพูดง่ายแต่ทำยากมาก เพราะหลายๆ คนคงรู้ดีว่าการห้ามอะไรห้ามได้ แต่ห้ามไม่ให้กังวลนั้นมันยากเหลือเกิน แล้วเราจะทำอย่างไรกับการนอนไม่หลับเพราะความวิตกกังวลได้บ้าง

หากอาการนอนไม่หลับยังไม่หนักหนามากนัก และยังคิดว่ายังอยากแก้ไขด้วยตนเองก่อน ก็มีคำแนะนำมากมายที่สื่อสุขภาพและแพทย์หลาย ๆ ท่านนิยมแนะนำ เช่น อย่าทำอย่างอื่นในห้องนอนนอกจากใช้นอน อย่านอนกลางวัน นอนและตื่นนอนให้เป็นเวลา ออกกำลังกายให้ร่างกายเหนื่อยจะได้หลับง่าย ทำสมาธิเพื่อให้ไม่ฟุ้งซ่าน ปรับอุณหภูมิของห้องนอนให้ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป หรือถ้านอนไม่หลับให้ลุกมาทำสิ่งอื่นแทน อย่าทนนอนไม่หลับบนเตียงนานๆ ให้ลุกขึ้นมาทำกิจกรรมอื่นจนกว่าจะง่วงแล้วค่อยกลับไปนอน อย่าใช้อุปกรณ์ที่มีแสงสีฟ้าอย่างคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือก่อนนอนหนึ่งชั่วโมง อย่าดูหรืออ่านอะไรที่ทำให้ตื่นเต้นเกินไป

วิธีพวกนี้ลองดูก็ไม่เสียหายนะครับ เป็นแนวทางที่ได้รับการยอมรับกันทั่วไปว่าส่งผลต่อการนอนจริงๆ หากทำแล้วแก้ปัญหาได้ก็ถือว่าดีไป อย่างไรก็ตามหากทำข้อไหนไม่ได้ก็ไม่ควรฝืนทำ เพราะรูปแบบการใช้ชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกัน ข้อจำกัดของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน อย่างบางคนที่อยู่ห้องเช่าหรือคอนโดอาจจะต้องใช้ห้องนอนทำกิจกรรมอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ บางคนด้วยงานทำให้ต้องนอนไม่เป็นเวลา และอย่าคิดว่าถ้าทำสิ่งดังกล่าวไม่ได้จะนอนไม่หลับแน่ๆ อย่าให้ ‘ทางที่อาจช่วย’ กลายเป็น ‘เรื่องทำให้เครียด’ หรือ ‘เรื่องที่กดดันให้ทำ’ หรือถ้าทำตามทุกอย่างแล้วยังไม่หลับก็ไม่ต้องวิตก ยังไม่มีวิธีไหนทำให้นอนหลับร้อยเปอร์เซ็นต์ และวิธีที่ทำให้นอนหลับของบางคนอาจจะทำให้อีกคนไม่หลับ ส่วนตัวผมเองการลุกออกจากเตียงไปทำสิ่งอื่นนั้นไม่ใช่วิธีที่ได้ผลเลย เพราะพอลุกจากเตียงยิ่งไม่ง่วงและไม่อยากกลับไปนอนเข้าไปใหญ่ แต่กลับคนอื่นอาจจะได้ผลก็ได้

หากลองแก้ปัญหาด้วยตนเองแล้วยังไม่ได้ผล ทางเลือกหนึ่งที่แนะนำคือการปรึกษาจิตแพทย์ หลายๆ ท่านไม่อยากไปหาจิตแพทย์เพราะไม่อยากใช้ยาแก้ไขปัญหานี้ มองว่ายาควรกินเมื่อจำเป็นเท่านั้น กลัวว่ายาจิตเวชจะมีผลข้างเคียง กลัวว่าจะกินยาเยอะเกินไป แต่ผมอยากบอกว่าหากท่านยังมีอาการนอนไม่หลับเรื้อรังอยู่ ผมคิดว่าจำเป็นแล้วที่จะต้องลองพึ่งยาดูบ้าง

ส่วนใหญ่แล้ว การใช้ยารักษาอาการนอนไม่หลับเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาในระยะยาว แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของการรักษา ยาอาจทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะถ้าเรา ‘ถูกกับยา’ ตัวนั้นด้วยจะหลับได้ง่ายจนน่าทึ่ง เมื่อใช้สักระยะจนผู้ป่วยนอนหลับได้ดีขึ้น ซึ่งจะไปช่วยลดความกลัวและความกังวลว่าจะนอนไม่หลับ การลดความกังวลตรงนี้จะช่วยตัดวงจรอุบาทว์ที่ทำให้นอนไม่หลับเรื้อรังที่เราได้พูดถึงกันไปแล้ว และเมื่อตัดวงจรได้ ก็ทำให้หลับง่ายขึ้นแม้ไม่ต้องใช้ยา

ท่านไม่ต้องกังวลว่ายาจิตเวชที่แพทย์สั่งจะอันตรายหรือเกิดผลข้างเคียงที่น่ากลัว จริงๆ แล้วยาที่เราใช้กันแบบสนิทใจอย่างยาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อ (ที่เรานิยมเรียกกันว่ายาแก้อักเสบ) ยาแก้ไอ ทุกอย่างนี้ล้วนแต่มีผลข้างเคียงทั้งนั้น แต่ผลข้างเคียงรุนแรงของยาทุกประเภทที่ใช้กันมักจะมีโอกาสเกิดน้อยมากหากใช้อย่างเหมาะสม (เราเลยไม่กลัวกันเวลาใช้ยาที่เราคุ้นชิน) ยาจิตเวชส่วนใหญ่ก็เช่นกัน และถ้าเกิดบังเอิญเกิดผลข้างเคียง ก็แค่เปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่น เช่นเดียวกับหากเริ่มกินยาแล้วไม่ได้ผล ยังไม่หลับเหมือนเดิม ก็อย่าเพิ่งสิ้นหวัง เพราะยาจิตเวชมีหลากหลายประเภทมากที่ช่วยในกลไกที่ต่างกันไปด้านการนอน

หลายๆ คนนอนไม่หลับเพราะโรคทางจิตและประสาทอื่นๆ เช่น โรควิตกกังวล คือมีแนวโน้มที่จะวิตกกังวลในชีวิตมากเกินไป และไปกระทบให้ร่างกายตื่นตัวตอนที่จะนอนเลยนอนไม่หลับ การได้รับยาลดวิตกกังวลจะช่วยทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น

บางคนไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นโรควิตกกังวล รู้สึกว่าชีวิตไม่มีความสุข แต่พอไปหาจิตแพทย์เพราะว่านอนไม่หลับ ก็ทำให้พบว่าที่นอนไม่หลับก็เพราะโรควิตกกังวลนี่เอง

ซึ่งการรักษาในส่วนนี้นอกจากจะทำให้นอนหลับง่ายขึ้นแล้วยังพัฒนาชีวิตในด้านอื่น ๆ ด้วย

ยาทางจิตเวชที่เกี่ยวกับการนอนหลับนั้นหาซื้อนอกโรงพยาบาลไม่ได้ครับ และถึงบังเอิญหาได้ก็อย่าซื้อใช้เองจะดีกว่า เพราะขนาดของยาที่เหมาะสมและประเภทของยาที่เหมาะกับอาการยังเป็นเรื่องซับซ้อนที่ให้แพทย์เป็นคนพิจารณาจะมีประสิทธิภาพและปลอดภัยมากกว่า

นอกจากยาแล้ว หลายๆ ท่านอาจจะเคยได้ยินเรื่องการกินอาหารเสริมอย่างเมลาโทนินเพื่อช่วยเรื่องการนอนหลับ และตอนนี้เมลาโทนินยังมีในรูปแบบของยาที่งานวิจัยแนะนำว่าได้ผลที่ดีกว่าในรูปแบบอาหารเสริมในการบำบัดอาการนอนไม่หลับ เมลาโทนินนั้นหาซื้อได้ไม่ยากนัก แต่เท่าที่ผมถามคนรอบตัวแล้ว มีทั้งคนที่กินแล้วได้ผล และคนที่กินแล้วไม่ได้ผล และถึงแม้ว่าเมลาโทนินไม่น่าจะมีอันตรายอะไร แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้หากไม่แน่ใจ โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาสุขภาพอื่นๆ อยู่ก่อนแล้ว

การปรึกษากับนักจิตวิทยาก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการแก้ไขปัญหาทางจิตและการนอนไม่หลับ โดยวิธีการช่วยเหลือหรือบำบัดนั้นจะไม่ได้ใช้ยาแต่จะใช้วิธีการปรับพฤติกรรมและความคิดให้เหมาะสมกับการนอนมากขึ้น หลายๆ ข้อนั้นก็จะตรงหรือใกล้เคียงกับคำแนะนำที่ผมเล่าไว้ด้านบน แต่นักจิตวิทยา (หรือจิตแพทย์บางท่าน) อาจมีเทคนิคในการที่ทำให้เรานำข้อแนะนำเหล่านั้นไปใช้ได้ง่ายขึ้น และมีประสิทธิภาพขึ้น

หลายๆ คนนั้นเป็นเหมือนกันคือรู้ว่าต้องทำอะไร แต่ไม่ค่อยอยากทำเอง ต้องรอให้ใครสักคนหรือหมอมาสั่งเสียก่อน หากท่านอย่ากลองวิธีที่ไม่ใช้ยาก่อน อาจจะไปพบนักจิตวิทยาก่อนก็ได้ถ้าสะดวกใจกว่า และถ้าเกิดนักจิตวิทยาคิดแล้วว่าท่านอาจจะต้องใช้ยาเพิ่ม เขาจะแนะนำให้ท่านพบกับจิตแพทย์ต่อเองครับ

สิ่งหนึ่งที่ไม่ใช่ข่าวดีแต่ขอให้ท่านรู้ไว้ว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่มีหนทางใดๆ รักษาอาการนอนไม่หลับได้ 100% แต่ส่วนใหญ่แล้วเข้ารับการบำบัดจะช่วยให้อาการดีขึ้น ไม่มากก็น้อย บางคนหายไว แต่บางคนก็ใช้เวลานาน ขอให้ท่านอย่าคาดหวังว่าไปหาหมอหรือนักจิตวิทยาแล้วจะหายทันที และยิ่งหากท่านนอนไม่หลับเรื้อรังมานานก็ควรจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญดีกว่าทนกับปัญหานี้ต่อไป อาจจะไม่ได้ดีขึ้นทันตาเห็นแต่ก็ดีกว่าไม่ยอมรักษาเลย

หลายๆ คนอาจได้รับคำแนะนำมากมายจากคนรู้จักว่าทำแบบนั้นแบบนี้แล้วช่วย ความจริงแล้ววิธีพื้นๆ ต่างๆ ที่ฟังดูแล้วไม่น่าจะช่วยเท่าไรนัก เช่น ดื่มอะไรอุ่นๆ ก่อนนอน ดื่มชาสมุนไพร (สมุนไพรที่ไม่มีคาเฟอีนเช่น คาโมไมล์) ฟังเพลงเบาๆ อ่านหนังสือยากๆ ก่อนนอน จินตนาการถึงความมืดตอนนอน พวกนี้ก็ทำได้นะครับถ้าทำแล้วสบายใจ และพิจารณาแล้วว่าไม่ได้เกิดผลเสียอะไร จากประสบการณ์ของผม คำพูดที่ว่า ‘ลางเนื้อขอบลางยา’ หรือแต่ละคนก็ถูกกับวิธีรักษาที่แตกต่างกันไปเป็นเรื่องจริงอย่างมากในเรื่องการรักษาการนอนไม่หลับ ท่านอาจจะได้พบวิธีส่วนตัวง่ายๆ ที่ทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้นก็ได้

ส่วนการดื่มแอลกอฮอล์ให้เมาแล้วหลับอาจจะได้ผลกับบางท่าน แต่จากผลการวิจัยแล้วแอลกอฮอล์มักจะส่งผลเสียต่อผู้ให้นอนหลับยากขึ้นแทนในระยะยาว และยาจิตเวชทุกชนิดห้ามกินร่วมกับแอลกอฮอล์ และช่วงที่บำบัดด้วยยาก็ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์เพราะอาจทำให้ผลของยาได้ผลไม่เต็มที่ ดังนั้นขอให้ชั่งใจและระวังผลเสียตรงนี้ให้ดี ส่วนท่านที่ติดชาหรือกาแฟก็ระวังเรื่องการดื่มที่อย่าให้ใกล้ช่วงเย็นจนเกินไป คนเราไวต่อคาเฟอีนต่างกัน บางคนคาเฟอีนก็อยู่ในร่างกายนาน ขนาดดื่มตอนเที่ยงวันก็ทำให้นอนไม่หลับถึงเที่ยงคืนได้ ถ้ารู้สึกว่าตัวเราเป็นแบบนั้นก็เลี่ยงๆ ไว้อย่าไปเสี่ยงดีกว่า หรือถ้าดื่มแล้วไม่หายง่วงก็ไม่ต้องดื่มก็ได้นะครับ ลดโอกาสที่รับคาเฟอีนที่ทำให้นอนหลับยากไว้ย่อมดีกว่า ส่วนท่านที่ดื่มชาหรือกาแฟแล้วกลับหลับสบาย ถ้าดื่มจำนวนแก้วไม่มากไปก็ดื่มเถอะครับ เพราะ ‘ลางเนื้อขอบลางยา’ แต่ถ้าดื่มทั้งวันอันนี้ไม่แนะนำครับเพราะแม้จะเป็นฤทธิ์ที่อ่อน แต่คาเฟอีนก็เป็นยาเสพติดประเภทหนึ่งที่ส่งผลร้ายหากใช้มากๆ ในระยะยาว

ไม่ว่ากิจกรรมใดๆ ก็ตามที่รักษาเรื่องนอนหลับ อย่าทำด้วยความคาดหวังในระดับที่ตั้งหน้าตั้งตารอว่าทำแล้วจะหลับได้ในกี่นาทีหรือชั่วโมง เพราะนั่นยิ่งทำให้หมกมุ่นกับการนอนและทำให้ยิ่งไม่หลับ นอกจากนี้คนที่มีปัญหานอนไม่หลับ อย่าพยายามใส่ใจสื่อที่รณรงค์ให้คนนอนให้เพียงพอซึ่งขยันกรอกหูเราว่านอนน้อยนั้นส่งผลเสียอย่างไรบ้าง สื่อเหล่านั้นไม่ได้กำลังบอกคนที่นอนไม่หลับครับ แต่พวกเขาเน้นเรื่องนี้กับคนที่ไม่นอนด้วยความตั้งใจของตัวเองมากกว่า ส่วนคนที่นอนน้อยเพราะนอนไม่หลับอย่างเรานั้น การเสพสื่อพวกนี้มีแต่จะเพิ่มความกังวลว่าจะนอนไม่หลับและส่งผลเสียตามที่เขากล่าวแทน

ช่วงที่นอนไม่หลับบ่อยๆ นั้น การจัดการกับชีวิตในวันถัดไปก็เป็นอีกสิ่งที่สำคัญ ขอให้ฮึดสู้กับความง่วงและทำกิจกรรมต่างๆ ที่ทำเป็นปกติให้รอดผ่านวันไปให้เท่าที่จำเป็น สิ่งนี้จะช่วยให้เราสบายใจขึ้น ความเชื่อที่ผิดๆ หนึ่งอย่างของการนอนไม่หลับคือคิดว่าพอไม่หลับแล้วพรุ่งนี้จะ ‘พินาศ’ ทำอะไรก็รวนไปหมด ไม่มีความสุขแน่ๆ ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ต่อให้นอนไม่หลับพรุ่งนี้ก็ไม่ตาย เรายังใช้ชีวิตได้บ้างตามปกติ แม้ตะกุกตะกักไปบ้างก็ตาม

การทำใจยอมรับได้ว่าในชีวิตจะมีบางวันที่รู้สึกไม่ดีที่นอนไม่หลับ เหมือนเรื่องอื่นที่คงไม่ได้ดั่งใจไปทั้งหมดก็เป็นอีกวิธีคิดที่ดี เพื่อให้เราไม่ต้องรู้สึกแย่ทุกครั้งเวลานอนไม่หลับ คิดเสียเหมือนตอนที่เราเป็นหวัดหรือท้องเสียอย่างช่วยไม่ได้ เรายังไม่เครียดอะไรมากมายเลย

ผมเคยได้รับคำแนะนำของอาจารย์จิตวิทยาการปรึกษาท่านหนึ่ง และผมคิดว่ามีคำแนะนำท่อนหนึ่งที่ช่วยลดความเครียดตอนนอนไม่หลับได้ดีคือ ‘ไม่หลับก็ไม่หลับ’ มันฟังดูกำปั้นทุบดิน แต่มันคือความจริงครับ เพราะการนอนหลับไม่ได้จากมาการพยายาม เราจะเครียดไปทำไมถ้าทำอะไรกับมันไม่ได้ ดังนั้นสู้ให้ร่างกายได้พักผ่อนแบบอื่นไป การนอนไม่หลับแต่ไม่เครียดอย่างน้อยมันก็ได้พักกาย และสมองเองถึงจะไม่ได้พักดีเท่านอนหลับ แต่จะพักได้ดีกว่าตอนเครียดแน่นอน ลองปล่อยวาง ให้มันผ่านคืนนี้ไปแล้วค่อยว่ากันใหม่พรุ่งนี้ พรุ่งนี้จะโทรมเป็นศพไปอีกวันก็ช่างปะไร ที่แน่ๆ เราจะไม่ตายเพราะนอนไม่หลับ เพราะถ้าถึงจุดหนึ่งร่างกายมันสุดทน จะเหมือนฟิวส์ขาดจนเราหลับแบบสลบไปเองครับ และคนทั่วไปมักจะไม่ค่อยถึงจุดนั้นกันหรอก ยกเว้นว่าจงใจหรือถูกบังคับให้ไม่นอน

ยาจิตเวชเองก็พัฒนาขึ้นทุกวัน ๆ ในอนาคตก็อาจจะมียาหรือหนทางรักษาอื่นๆ ที่ได้ผลกว่านี้ และทำให้รักษาง่ายกว่านี้ก็ได้ ขอให้มิตรรักชาวนอนไม่หลับทั่วโลกหลายพันล้านคนมีความหวังเข้าไว้ เพราะความหวังนั้นเป็นสิ่งสำคัญเหลือเกินกับการรักษาอาการทางใจทุกอย่างครับ

เอกสารอ้างอิง

Harvey, A. G., & Tang, N. K. (2012). (Mis) perception of sleep in insomnia: A puzzle and a resolution. Psychological bulletin, 138(1), 77.

Morin, C. M., Stone, J., Trinkle, D., Mercer, J., & Remsberg, S. (1993). Dysfunctional beliefs and attitudes about sleep among older adults with and without insomnia complaints. Psychology and aging, 8(3), 463

ชวนมาตรวจสุขภาพจิต และทำกิจกรรมฮีลใจ ในงานเพื่อนเข้าใจเพื่อนครบ 3ปีใจไม่พร้อม กายไม่ไหว ไฟตกตลอด ...มาเร็วมาอย่ามัวลังเล...
13/03/2025

ชวนมาตรวจสุขภาพจิต และทำกิจกรรมฮีลใจ ในงานเพื่อนเข้าใจเพื่อนครบ 3ปี
ใจไม่พร้อม กายไม่ไหว ไฟตกตลอด ...มาเร็วมาอย่ามัวลังเล
เพื่อนเข้าใจเพื่อน จิตอาสารับฟังฟรี แค่

Maddiction: เพราะเป็นคนดีจึงหัวร้อน หรือเพราะหัวร้อนแล้วรู้สึกดี? รับมือกับความโกรธที่อาจก่อตัวจากปมในวัยเด็กคนที่ ‘หัวร...
13/03/2025

Maddiction: เพราะเป็นคนดีจึงหัวร้อน หรือเพราะหัวร้อนแล้วรู้สึกดี? รับมือกับความโกรธที่อาจก่อตัวจากปมในวัยเด็ก

คนที่ ‘หัวร้อน’ ใส่คนอื่น ส่วนหนึ่งมักจะรู้สึกว่า การกระทำของตัวเองเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล เพราะเป็นการปกป้องความถูกต้อง และความสงบเรียบร้อยของสังคม หรือมาตรฐานความดีบางอย่าง

ความหัวร้อนนี้มีพื้นฐานมาจาก ‘ความโกรธ’ ซึ่งเป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ เช่นเดียวกับความยินดี ความเศร้า ความกลัว หรือความเกลียดชัง

นักจิตวิทยาหลายคนมองว่า การเลี้ยงดูจากครอบครัวในช่วงวัยเด็ก ก็เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้หัวร้อนมากกว่าคนอื่นๆ มีปัญหาในการจัดการอารมณ์โกรธ โดยมักมาจากครอบครัวที่ดูสับสน มีแต่เรื่องวุ่นวาย ขาดทักษะการสื่อสาร การแสดงออกทางอารมณ์อย่างถูกวิธีและสร้างสรรค์

มนุษย์ได้วิวัฒนาการจนถึงขั้นอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีอารยธรรม ตั้งแต่เมื่อราวห้าพันปีที่แล้ว แต่ทำไมมนุษย์ผู้มีอารยะ ได้รับการปลูกฝังจริยธรรม มีทั้งความรู้สึกผิดชอบ-ชั่วดี รวมถึงการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อให้สามารถรวมกลุ่มกันได้โดยสันติ ยังคงถูกครอบงำด้วยอารมณ์ความรู้สึกพื้นฐานที่เรียกว่า ‘ความโกรธ’

ในยุคปัจจุบัน ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้มนุษย์สามารถเอาชนะอารมณ์ความรู้สึกหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการลดความเจ็บปวด การรักษาอาการซึมเศร้า การเพิ่มความสุขในรูปแบบต่างๆ แต่ก็ดูเหมือนว่า เราจะยังไม่สามารถเอาชนะความรู้สึกบันดาลโทสะได้เสียที

ยิ่งไปกว่านั้น ความเกรี้ยวกราดทางอารมณ์ในสังคมสมัยใหม่ ดูจะเป็นอะไรที่รุนแรงขึ้น และไร้เหตุผลมากขึ้น ถึงขั้นที่มีข่าวว่า เราสามารถทำร้าย หรือผรุสวาทด่าทอคนแปลกหน้าคนหนึ่ง เพียงเพราะความโกรธในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น ขับรถแทรกเลน จอดรถติดกำแพงรั้วบ้านคนอื่น หรือแม้แต่การเห็นคนอื่นไม่แสดงความเคารพสิ่งที่ตนเองเคารพ

จุดร่วมที่น่าสนใจอย่างยิ่งของหลายๆ กรณีที่หยิบยกขึ้นมา ก็คือ คนที่ ‘หัวร้อน’ ใส่คนอื่น มักจะรู้สึกว่า การกระทำของตัวเองเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล เพราะเป็นการปกป้องความดีงาม ความถูกต้อง และความสงบเรียบร้อยของสังคม

ความเกรี้ยวกราดจากความเข้าใจผิดๆ ยังไม่น่าตกใจเท่าข้อมูลที่นักจิตวิทยาค้นพบว่า การหัวร้อนเพื่อพิทักษ์คุณธรรม กำลังกลายเป็นสิ่งเสพติดทางอารมณ์ของคนบางกลุ่มไปแล้ว

อารมณ์ ‘โกรธ’ สัญชาตญานเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์

ความโกรธ คือ อารมณ์พื้นฐานอย่างหนึ่งของมนุษย์ เช่นเดียวกับความยินดี ความเศร้า ความกลัว หรือความเกลียดชัง ซึ่งนอกจากจะเป็นการแสดงความรู้สึกแล้ว ความโกรธยังเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้มนุษย์อยู่รอดมาได้จนถึงปัจจุบัน

เมื่อมนุษย์พบเจอประสบการณ์ที่ทำให้รู้สึกไม่พอใจ ถูกคุกคาม หรือถูกปฏิเสธ ความรู้สึกโกรธจะเกิดขึ้นตามกลไกธรรมชาติ เพื่อกระตุ้นให้มนุษย์เกิดความรู้สึกอยากต่อสู้ และเอาชนะสิ่งที่เป็นสาเหตุของความโกรธนั้น ซึ่งนั่นเองทำให้ ความโกรธ กลายเป็นตัวแปรในการผลักดันให้มนุษย์เอาชนะอุปสรรค และภัยคุกคามในการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสัตว์นักล่า หรือภัยธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ

แล้วความรู้สึกฉุนเฉียว พลุ่งพล่านทางอารมณ์ เกิดขึ้นได้อย่างไร

นักจิตวิทยาหลายคนมองว่า ความโกรธ เป็นอารมณ์มือสอง (second-hand emotion) โดยอธิบายว่า ความรู้สึกโกรธ ไม่ใช่อารมณ์ที่เกิดขึ้นได้โดยลำพัง แต่จะต้องเกิดขึ้นหลังจากเกิดความรู้สึกเจ็บปวด ไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจ

แต่สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ ความเจ็บปวดเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถนำไปสู่ความรู้สึกโกรธได้ หากแต่จะต้องมีปัจจัยเสริมอื่นๆ เช่น การอนุมาน การประเมิน หรือการตีความหมายว่า สิ่งๆ นั้น หรือบุคคลนั้น เป็นต้นเหตุทำให้เกิดความเจ็บปวด ความรู้สึกโกรธจึงปะทุขึ้นโดยพุ่งเป้าหมายไปที่สาเหตุดังกล่าว

นักจิตวิทยาบางคน กล่าวว่า ความโกรธ เป็นความรู้สึกเชิงสังคม (social emotion) เพราะความรู้สึกโกรธจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีผู้ทำให้โกรธ และผู้ถูกทำให้โกรธ ซึ่งในบางครั้ง ผู้ทำให้โกรธและผู้ถูกทำให้โกรธ อาจเป็นคนๆ เดียวกัน อย่างเช่น ความรู้สึกโกรธตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ และในบางครั้ง ผู้ทำให้โกรธก็อาจไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นสถานการณ์หรือเหตุการณ์ เช่น การจราจรที่ติดขัด ทำให้ผู้คนที่กำลังพลาดนัดหมายรู้สึกหงุดหงิดจนถึงขั้นโมโห

ขณะเดียวกัน ยังมีข้อมูลที่บ่งชี้ว่า บางครั้ง ความโกรธ ถูกใช้เป็นเครื่องมือหรือกลไกเพื่อลดทอนความรู้สึกเจ็บปวด ตัวอย่างเช่น เมื่อเราถูกคนอื่นทำร้ายจนเกิดความรู้สึกเจ็บปวด แต่หากเราบันดาลโทสะขึ้นมา เราจะหลงลืมความรู้สึกเจ็บปวดนั้น และความโกรธจะกระตุ้นให้เราตัดสินใจสู้เพื่อเอาชนะผู้ที่มาทำร้ายได้

ในปัจจุบัน มนุษย์ไม่จำเป็น (หรือมีความจำเป็นน้อยลง) ในการอาศัยความโกรธเพื่อฟันฝ่าอุปสรรคในการดำรงชีวิต ถึงกระนั้น อารมณ์เกรี้ยวกราด การบันดาลโทสะ หรือที่ภาษาสมัยใหม่เรียกกันว่า ‘อาการหัวร้อน’ กลับยังคงอยู่คู่กับเรา และดูเหมือนจะยิ่งพัฒนาไปในทิศทางที่เลวร้าย และไร้เหตุผลมากขึ้น

เสพติดอาการ ‘หัวร้อน’ เพราะเชื่อว่ากำลังต่อสู้เพื่อความถูกต้อง
พฤติกรรมการแสดงออกถึงความโกรธ ที่พบบ่อยในสังคมสมัยใหม่ จนกลายเป็นปรากฎการณ์ทางสังคมอย่างหนึ่ง ก็คือ อาการหัวร้อนของคนดี หรือ การบันดาลโทสะของคนที่เชื่อว่า ตนเองกำลังปกป้องคุณธรรม หรือมาตรฐานความดีบางอย่าง

‘คนดี’ เหล่านี้เชื่อว่า พวกเขามีความชอบธรรมที่จะแสดงพฤติกรรมเกรี้ยวกราดและรุนแรง เพราะมันคือการกระทำในนามของ ‘ความดี’ ซึ่งพฤติกรรมที่ว่านี้มักเกิดขึ้นซ้ำๆ บ่อยๆ จนกลายเป็นสิ่งที่ดูเหมือนว่า คนๆ นั้นจะควบคุมตัวเองไม่ได้

ดร.เจเรมี เชอร์แมน (Jeremy Sherman) นักจิตวิทยาผู้มีผลงานวิจัยเกี่ยวกับอารมณ์โกรธ เรียกปรากฎการณ์นี้ว่า Maddiction หรือ การเสพติดอาการหัวร้อน โดยอธิบายว่า

“ยิ่งเราเกรี้ยวกราดใส่คนอื่นมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดียิ่งขึ้น และพอเรารู้สึกว่าเราเป็นคนดีมากขึ้น ก็เลยคิดว่ามันเป็นพันธะหน้าที่ที่เราจะต้องหัวร้อนใส่คนอื่น ที่ทำอะไรไม่ถูกไม่ควร” ดร.เชอร์แมน กล่าว

อาการหัวร้อนของคนดี เกิดขึ้นได้จากสาเหตุที่หลากหลาย ตั้งแต่การโกหกเล็กๆ น้อยๆ การไม่เคารพกฎจราจร การจูงหมาไปขับถ่ายในที่สาธารณะ การจอดรถริมรั้วบ้านคนอื่น หรืออย่างในเมืองไทย ก็เคยมีกรณีคนดีหัวร้อนที่กลายเป็นข่าวคราวหลายครั้ง เช่น การทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายกันบนท้องถนน การผรุสวาทด่าทอถึงขั้นลงไม้ลงมือ เพราะเห็นคนอื่นไม่เคารพในสิ่งที่ตนเองเคารพเทิดทูน

แน่นอนว่า การรู้สึกเดือดดาลเมื่อเห็นความอยุติธรรม เป็นสิ่งที่ดี เพราะความโกรธจะเป็นแรงกระตุ้นให้เราลุกขึ้นสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ดร.เชอร์แมน ได้ตั้งข้อสังเกตว่า จริงๆ แล้ว คนที่เสพติดอาการหัวร้อน ไม่ได้เป็นเพราะพวกเขาคิดว่ากำลังต่อสู้เพื่อความถูกต้อง หรืออุดมการณ์อันสูงส่งอะไรเลย พวกเขาเพียงแต่รู้สึกดี ที่ได้ระบายความเกรี้ยวกราดใส่คนอื่น ที่พวกเขาคิดเอาเองว่า ‘ไม่ดี’ เท่ากับตนเอง

“ศรัทธาหรือความเชื่อในความดี อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้คนรู้สึกโกรธและลุกขึ้นสู้กับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น แต่ความรู้สึกดี ที่ได้ระบายความโกรธใส่คนอื่น แล้วทำให้ตัวเองดูสูงส่งขึ้น เป็นตัวการทำให้พวกเขาติดอยู่ในวังวนของการเสพติดอาการหัวร้อน” ดร.เชอร์แมน กล่าว

ดร.เจอร์รี เดฟเฟนแบคเกอร์ (Jerry Deffenbacher) ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการกับอารมณ์โกรธ กล่าวว่า คนที่มีอาการหัวร้อนได้ไวกว่าคนอื่นมีอยู่จริง แม้ว่าบางครั้ง พวกเขาจะไม่ได้แสดงความโมโหออกมาอย่างชัดเจน แต่สิ่งที่สังเกตได้ก็คือ คนเหล่านี้จะมีความอดทนต่ำต่อเรื่องหงุดหงิด หรือความไม่สะดวกสบายแค่เล็กๆ น้อยๆ

ที่น่าสนใจก็คือ คนกลุ่มนี้ มักจะแสดงอาการหัวร้อนออกมา เมื่อพบเจอเรื่องราวที่พวกเขาคิดว่า ไม่ถูกต้อง ไม่ยุติธรรม หรือพูดง่ายๆ ว่า ไม่ดีงาม ตามมาตรฐานที่พวกเขาเชื่อ

ถึงแม้จะมีหลักฐานทางวิชาการที่ชี้ว่า อาการหัวร้อนได้ง่ายของหลายคน เป็นผลมาจากพันธุกรรม หรือลักษณะเฉพาะตัวที่พบในยีน แต่นักจิตวิทยาหลายคนมองว่า การเลี้ยงดูจากครอบครัวในช่วงวัยเด็ก ก็เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ใครบางคนหัวร้อนมากกว่าคนอื่นๆ

มีงานวิจัยหลายชิ้น ระบุว่า คนที่มีปัญหาในการจัดการอารมณ์โกรธ มักจะมาจากครอบครัวที่ดูสับสน มีแต่เรื่องวุ่นวาย และขาดทักษะในการสื่อสาร หรือแสดงออกทางอารมณ์อย่างถูกวิธีและสร้างสรรค์

3 ขั้นตอน จัดการอารมณ์กราดเกรี้ยวในตัวคุณ
แม้ว่าการเกิดความรู้สึกโกรธ จะเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่หากเรารู้สึกโกรธบ่อย หรือโกรธง่ายจนเกินความควบคุม อาจนำไปสู่ผลเสีย ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ

ดร.ชาร์ลส สปีลเบอร์เกอร์ (Charles Spielburger) นักจิตวิทยา ผู้ศึกษาพฤติกรรมและการแสดงอารมณ์โกรธของมนุษย์ กล่าวว่า ความโกรธ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง หัวใจจะเต้นแรงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น รวมถึงระดับฮอร์โมนหลายตัว ทั้งอะดรีนาลีน และนอร์อะดรีนาลีน

ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ หากเกิดขึ้นบ่อยๆ ซ้ำๆ อาจนำไปสู่การเกิดโรคหลายอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง ซึมเศร้า นอนไม่หลับ แผลในกระเพาะอาหาร รวมถึงโรคเบาหวาน

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการหัวร้อน ที่นำไปสู่การทะเลาะวิวาทกับผู้อื่น ซึ่งอาจจบลงด้วยการบาดเจ็บ หรือเลวร้ายทื่สุดคือ ถึงแก่ชีวิต

ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการกับอารมณ์โกรธ กล่าวว่า ที่ผ่านมา คนมักจะจัดการกับอารมณ์โกรธอย่างผิดวิธี ด้วยการพยายามกดมันไว้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิด เพราะโทสะที่ถูกปิดกั้นไว้ จะยิ่งส่งผลต่อสภาพจิตใจและสุขภาพร่างกายของคนๆ นั้น

ดร.สปีลเบอร์เกอร์ ได้สรุป 3 ขั้นตอนในการจัดการกับอารมณ์หัวร้อน คือ 1 ปลดปล่อยอารมณ์โกรธอย่างถูกวิธี 2 เบี่ยงเบนความรู้สึกโกรธ และ 3 ทำจิตใจให้สงบลง

“การปลดปล่อยอารมณ์โกรธอย่างถูกวิธี ชัดเจน แต่ไม่ก้าวร้าว เช่น การพูดกับคู่กรณีว่า คุณกำลังรู้สึกไม่พอใจเพราะอะไร รวมถึงบอกอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่คุณต้องการคืออะไร และทั้งคู่จะมีวิธีหาทางออกของปัญหาที่เผชิญอยู่อย่างไร” ดร.สปีลเบอร์เกอร์ กล่าว

อย่างไรก็ดี นักจิตวิทยาอีกหลายคน เสริมว่า เทคนิคในการสื่อสารก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยใช้คำพูดที่ไม่ก้าวร้าว เช่น “ฉันคิดว่า เราน่าจะทำแบบนี้” แทนที่จะใช้คำว่า “คุณจะต้องทำแบบนี้”

สิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ก็คือ การรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น และไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งแรกที่แวบขึ้นมาในหัว แต่ควรหยุดไตร่ตรองจนแน่ใจว่า สิ่งนั้นจะไม่ยิ่งทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น

ดร.สปีลเบอร์เกอร์ กล่าวว่า ส่วนการเบี่ยงเบนความรู้สึกโกรธ คือ แทนที่จะคิดถึงอารมณ์โกรธที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ให้เปลี่ยนไปถึงสิ่งที่เป็นเรื่องเชิงบวกมากกว่า เช่น ถ้าคุณกำลังหัวร้อนกับรถคันอื่นที่พยายามแทรกเลนเข้าไป ให้ลองคิดว่า คนขับรถคันนั้นอาจจะไม่คุ้นเส้นทาง ถ้าคุณชะลอความเร็วเพื่อให้รถคันนั้นได้เปลี่ยนเลนเข้ามา คุณอาจช่วยให้เขาไม่พลาดนัดหมายสำคัญในวันนั้นก็ได้

ขณะที่การทำจิตใจให้เย็นลง สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการหายใจลึกๆ ช้าๆ พยายามหายใจให้ลึกไปถึงช่องท้อง ไม่ใช่แค่บริเวณทรวงอก หรือ พูดกับตัวเองว่า “ใจเย็นๆ นะ” “ไม่เป็นไรนะ” พูดช้าๆ ซ้ำๆ พร้อมกับหายใจลึกๆ

ท้ายที่สุด ดร.สปีลเบอร์เกอร์ กล่าวว่า “หากคุณปล่อยให้ตัวเองหัวร้อน โดยไม่พยายามจัดการกับอารมณ์โกรธ สักวันหนึ่ง จะต้องมีใครสักคนเจ็บตัว และคนนั้นอาจเป็นตัวคุณเองก็ได้”

อ้างอิง

1.Maddiction : Addiction to self-righteous outrage ; https://www.psychologytoday.com/intl/blog/jerkology/202108/maddiction-addiction-self-righteous-outrage

12/03/2025

วันนี้ รายการเบาใจ "กระเทยไม่มีทางพบรักแท้จริงหรือ?"
#เบาใจ #อาจารย์โนนี่ #ไบโพลาร์ไดอารี่

Grit : ส่วนผสมของ ‘หลงใหล’ และ ‘พากเพียร’ ความสำเร็จที่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยพรสวรรค์ไม่ได้การันตีความสำเร็จเสมอไป เคล็ดลั...
11/03/2025

Grit : ส่วนผสมของ ‘หลงใหล’ และ ‘พากเพียร’ ความสำเร็จที่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย

พรสวรรค์ไม่ได้การันตีความสำเร็จเสมอไป เคล็ดลับความสำเร็จของผู้คนทุกเพศทุกวัยและทุกอาชีพ เป็นส่วนผสมของ ‘ความหลงใหล’ (passion) และ ‘ความพากเพียร’ (perseverance) ที่มีอยู่ในตัวบุคคล หรือที่เรียกว่า ‘Grit’

Grit จึงไม่เกี่ยวกับโชคช่วย และไม่ใช่ความต้องการบางสิ่งบางอย่างอย่างแน่วแน่เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่จะทำจนกว่าจะสำเร็จ เป็นคนที่ใส่ใจและยึดมั่นกับเป้าหมายอย่างแน่วแน่ชนิดกัดไม่ปล่อย แม้ว่าลงมือทำแล้วล้มเหลวก็พร้อมสู้ใหม่ได้อย่างหนักแน่น

ในทุกสาขาอาชีพ Grit เป็นปัจจัยสู่ความสำเร็จที่มีความสำคัญไม่ต่างจากพรสวรรค์ ดังนั้นการสร้างนิสัยที่ช่วยส่งเสริมให้ Grit แข็งแรงเป็นทางเลือกหนึ่งในการพัฒนาตัวเองไปสู่ความสำเร็จ
เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนอยากเห็นลูกประสบความสำเร็จในชีวิต

หากลองมองให้ดี ‘ความสำเร็จ’ เป็นนามธรรมที่จะว่าไปก็มีหลากหลายมาตรฐาน ความสำเร็จของบางคนผูกกับชื่อเสียงเงินทองหรือรายได้ บางคนมองหาการเป็นที่ยอมรับ หรือบางคนให้คุณค่ากับความสุข ทั้งหมดนี้เรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จที่หลายคนพยายามตามหาและไขว่คว้า แตกต่างกันตามเป้าหมาย ความฝันหรือความคาดหวังของตนเอง รวมถึงความสำเร็จที่คนอื่นฝากความหวังไว้

หลายคนตั้งคำถามถึงวิธีการสู่ความสำเร็จ อะไรคือความแตกต่างระหว่างคนที่สำเร็จกับคนที่ล้มเหลว อะไรกันแน่ที่เป็นความลับไปสู่ความสำเร็จเหล่านั้น ทำไมคนบางคนถึงได้ประสบความสำเร็จอย่างมาก ขณะที่บางคนจะกลับตัวก็ไม่ได้จะเดินต่อไปก็ไปไม่ถึง จนต้องล้มเลิกระหว่างทาง!

แองเจลา ลี ดักเวิร์ธ (Angela Lee Duckworth) นักจิตวิทยาและนักวิจัย ได้นำเสนอข้อมูลการศึกษาพบว่า เคล็ดลับความสำเร็จของผู้คนทุกเพศทุกวัยและทุกอาชีพ ไม่ใช่ ‘พรสวรรค์’ (talent) แต่เป็นส่วนผสมของ ‘ความหลงใหล’ (passion) และ ‘ความพากเพียร’ (perseverance) ที่มีอยู่ในตัวบุคคล หรือที่เธอเรียกสั้นๆ ว่า ‘Grit’ นั่นหมายความว่า พรสวรรค์ไม่ได้การันตีความสำเร็จเสมอไป ข้อค้นพบนี้ถูกค้นพบในปี 2007 อย่างไรก็ตาม หลังจากดักเวิร์ธถูกรับเชิญให้ขึ้นพูดบนเวที TED talk ในปี 2013 ‘Grit’ ได้ถูกพูดถึงทั้งในแวดวงการศึกษาและธุรกิจอย่างกว้างขวางมาจนกระทั่งปัจจุบัน

Grit ไม่ใช่พรสวรรค์ และ ความสำเร็จไม่ได้มาจากโชคช่วย

เพื่อให้สามารถเข้าใจ Grit ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น ดักเวิร์ธ กล่าวว่า เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า…อะไรกันแน่ที่ไม่ใช่ Grit?

Grit ไม่ใช่พรสวรรค์ ไม่เกี่ยวกับโชคช่วย (luck) และไม่ใช่ความต้องการบางสิ่งบางอย่างอย่างแน่วแน่เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่จะทำจนกว่าจะสำเร็จ

คนที่มีคุณสมบัตินี้อยู่ในตัว เป็นคนที่ใส่ใจกับเป้าหมายของตัวเองอย่างถึงที่สุด แทบจะเรียกได้ว่าเป็นทุกอย่างของชีวิต และยึดมั่นกับเป้าหมายนั้นอย่างแน่วแน่ชนิดกัดไม่ปล่อย แม้ว่าลงมือทำแล้วล้มเหลวหรือพังไม่เป็นท่า พลังแห่งความต้องการความสำเร็จไม่มีทางมอดลงไปได้ง่ายๆ ซ้ำยังกลับมายืนหยัดและพร้อมสู้ใหม่ได้อย่างหนักแน่น

ดักเวิร์ธ ระบุชัดว่า Grit เป็นส่วนผสมของ ‘ความหลงใหล’ และ ‘ความพากเพียร’

เรามาทำความรู้จักกับความหมายของทั้งสองคำนี้ให้ลึกซึ้งมากขึ้นกันดีกว่า

หนังสือคู่มือเรื่อง ‘คุณลักษณะที่เป็นจุดแข็งและคุณธรรม’ (Character Strengths and Virtues) โดย คริสโตเฟอร์ ปีเตอร์สัน และ มาร์ติน อี.พี. เซลิกแมน สองนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเชิงบวก ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยอ็อกฟอร์ดในปี 2004 ได้ให้นิยามคำว่า ความพากเพียร หมายถึง การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งที่เกิดจากความสมัครใจและทำอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายชัดเจนแม้ต้องเผชิญกับปัญหา ความยากลำบากและอุปสรรค นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังได้กล่าวไว้เช่นกันว่า ถึงแม้ความพากเพียรไม่ได้การันตีความสำเร็จ แต่ความสำเร็จมักไม่บรรลุผลหากปราศจากความพากเพียร ดังนั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ มนุษย์ต้องมีความพากเพียรและอดทนต่อความล้มเหลวให้ได้

ขณะที่ ความหลงใหล (Passion) ได้ถูกเอ่ยถึงอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกันในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เรามักได้ยินคำพูดที่กระตุ้นให้ต้อง “ตามหาความหลงใหล ตามหาแพสชั่น” จนรู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่างกับชีวิต ไม่อย่างนั้นจะตามไม่ทันคนอื่น อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2018 นักวิชาการมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าวถึงข้อค้นพบใหม่ว่า การกระตุ้นให้ผู้คนออกไปตามหา (find) แพสชัน อาจเป็นคำแนะนำที่มาจากความตั้งใจดีแต่ไม่ใช่คำแนะนำที่ดีนัก เพราะการตามหาเพื่อให้ค้นพบบางอย่าง มีความหมายที่เป็นการสร้างเงื่อนไขซ่อนอยู่ เช่น ถ้าไม่ตามหาหรืออยู่เฉยๆ ก็จะไม่พบแพสชัน หรือ ตามหาแล้วอาจจะไม่เจอแพสชันก็เป็นได้

นอกจากนี้ ‘การตามหา’ ยังเป็นการจำกัดมุมมอง ทำให้ต้องโฟกัสไปที่การค้นหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งและละเลยเรื่องราวอื่นๆ รอบตัว จากการศึกษา พบว่า แพสชันไม่จำเป็นต้องตามหา เพราะเราสามารถพัฒนา (develop) ขึ้นมาได้จากสิ่งที่มีอยู่เดิม ซึ่งสัมพันธ์กับกรอบคิดแบบเติบโต หรือ ‘Growth Mindset’ (อ่านเพิ่มเติม https://thepotential.org/knowledge/growth-mindset-coach-2/)

ความหลงใหล หรือ แพสชัน หมายถึง อารมณ์หรือความรู้สึกที่สะท้อนถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้าและความกระตือรือร้นที่ไม่มีขีดจำกัด หนังสือ Aspire: Discovering Your Purpose Through the Power of Words โดย เควิน ฮอล์ (Kevin Halls) ที่นำเสนอความหมายและพลังของคำศัพท์และภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร กล่าวถึงความหมายดั้งเดิมของคำนี้ว่า หมายว่า ความเต็มใจที่จะทุกข์เพื่อสิ่งที่คุณรัก

แล้วอะไรบ้างเป็นสิ่งที่เรารัก?

เชื่อว่าคำตอบที่ได้…คงไม่ได้มีเพียงคำตอบเดียว

ดังนั้น ความหลงใหล จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้นถึงจะประสบความสำเร็จ

ปั้น Grit ให้โตขึ้นและแข็งแรงขึ้น
ลองมาประเมินดูว่าคำพูดเหล่านี้เป็นตัวเรามากแค่ไหน

“ฉันสามารถก้าวข้ามความล้มเหลว เพื่อพิชิตเป้าหมายที่สำคัญในชีวิต”

“ความพ่ายแพ้/ความล้มเหลว ไม่ได้ทำให้ฉันท้อถอย”

“ฉันไม่ย่อท้อต่อการทำงานหนัก”

“เมื่อเริ่มต้นทำแล้ว ฉันจะทำมันจนจบ”

“ฉันเคยทำสำเร็จตามเป้าหมาย แม้ต้องใช้เวลานานเป็นปีๆ”

“ฉันเป็นคนขยัน”

หากคำตอบ คือ ใช่ มากกว่าไม่ใช่!! นั่นหมายความว่า…Grit ของเราได้ถูกพัฒนามาถูกทางแล้ว

อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ในทุกสาขาอาชีพ Grit เป็นปัจจัยสู่ความสำเร็จที่มีความสำคัญไม่ต่างจากพรสวรรค์ ดังนั้นการสร้างนิสัยที่ช่วยส่งเสริมให้ Grit แข็งแรงเป็นทางเลือกหนึ่งในการพัฒนาตัวเองไปสู่ความสำเร็จ ยกตัวอย่างเช่น

การตั้งเป้าหมายและกำหนดระยะเวลาสำหรับการทำเป้าหมายให้สำเร็จ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว แต่ยังคงเปิดพื้นที่ยืดหยุ่นไว้สำหรับการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลง โดยไม่ลดทอนเป้าหมายให้เล็กลง
การจัดระเบียบการทำงานส่วนตัวและร่วมกับทีมงานให้ทุกฝ่ายเข้าใจเป้าหมายและทำงานไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อให้แน่ใจว่างานจะเสร็จสมบูรณ์ได้ตามที่กำหนด เรื่องนี้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนทั้งจากการเรียนและการทำงานแบบ work from home ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ที่ต้องอาศัยการจัดการตนเองและคนรอบข้าง เช่น การจัดระเบียบการเรียนตามตารางเรียนออนไลน์ที่ผู้เรียนต้องใช้ความตั้งใจและโฟกัสมากกว่าในห้องเรียนปกติ และการประสานการทำงานระหว่างผู้ปกครองและครู เพื่อให้สามารถจัดการสอนแก่ผู้เรียนได้ตามเป้าหมาย ในสถานการณ์เช่นนี้ Grit จะทำให้ผู้เรียน ผู้ปกครองและครู ฝ่าฟันความอึดอัด ความไม่สบายใจ และปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นไปได้
การเรียนรู้การจัดสรรแบ่งงาน มีความไว้วางใจผู้อื่นให้งานตามที่ได้รับมอบหมาย
การปั้น Grit ไม่ต่างจากการออกกำลังกายปั้นกล้ามเนื้อ ที่ต้องผ่านการยกน้ำหนัก ออกแรงซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง การกินโปรตีนและสารอาหารอื่นๆ ให้ได้อย่างเพียงพอ เพื่อสร้างกล้ามเนื้อให้โตขึ้นและแข็งแรงขึ้น ยิ่งมีโค้ชคอยช่วยให้คำแนะนำ เป็นเข็มทิศพาเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ยิ่งประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

ดังนั้น นอกจากการจัดการตัวเองแล้ว การพาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางผู้คนที่มีความหลงใหลและมีความเพียรพยายามจะช่วยผลักดันและสนับสนุนให้เดินไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้ไม่ยาก

ทั้งนี้ ข้อสรุปจากการวิจัยของดักเวิร์ธได้สะท้อนให้เห็นแนวทางการออกแบบการเรียนรู้และการจัดระบบการศึกษา ดังนี้

ประการแรก เด็กที่แสดงออกถึงความมุ่งมั่นตั้งใจทำอะไรสักอย่างหนึ่งตามเป้าหมายที่วางไว้ ควรได้รับการสนับสนุนด้วยทรัพยากรที่มีอย่างเต็มความสามารถ เช่นเดียวกับเด็กที่ถูกมองว่ามีพรสวรรค์และมีความสามารถ

ประการที่สอง ผู้ปกครองและนักการศึกษาควรส่งเสริมให้เด็กทำงานที่ท้าทาย เผชิญกับความกดดันทั้งทางกายและใจได้ ด้วยการเตรียมความพร้อมให้เด็กรับมือกับความล้มเหลวและผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นความโชคร้าย ในสถานการณ์เช่นนี้ผู้ปกครองและครูสามารถชี้ให้เด็กเห็นว่าความสำเร็จอาศัยการลงมือทำอย่างต่อเนื่องและต้องใช้เวลา

และ ประการที่สาม การสร้างการเรียนรู้ในระบบการศึกษาต้องคำนึงเสมอว่า เป้าหมายของการศึกษาไม่ใช่แค่การเรียนรู้เพียงผิวเผินในหลายๆ เรื่อง แต่ต้องส่งเสริมการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งเพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้เวลาเรียนรู้และพัฒนาตนเอง

อ้างอิง

https://www.psychologytoday.com/us/blog/cutting-edge-leadership/202204/what-is-grit-and-do-you-have-it

https://angeladuckworth.com/qa/

https://www.ted.com/talks/angela_lee_duckworth_grit_the_power_of_passion_and_perseverance/transcript?language=en

ที่อยู่

Pak Kret
11120

เบอร์โทรศัพท์

+66645654199

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ไบโพลาร์ ไดอารี่ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง ไบโพลาร์ ไดอารี่:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์

เพราะเราเข้าใจ

เราให้คำปรึกษารวมถึงให้ความรู้เรื่องโรคจิตเวช

โดยผู้มีประสบการณ์ตรงกว่า12ปีในแนวทาง

recovery เพื่อช่วยเหลือให้ผู้ป่วยสามารถ

คืนสู่สุขภาวะใช้ชีวิตได้ตามปกติ