01/10/2025
จะหมดปี แต่ยังไม่มีอะไรสำเร็จสักอย่าง รู้จัก ‘Great Lock In’ เทรนด์ใหม่ ที่จะช่วยพิชิตเป้าหมายให้สำเร็จ
นับถอยหลังอีกไม่กี่เดือนก็จะถึงสิ้นปีแล้ว ยังทำตามเป้าหมายไม่สำเร็จเลย
ไม่รู้ว่าเพราะได้เห็นความสำเร็จจากคนรอบตัวอยู่เรื่อยๆ หรือเปล่า เลยทำให้ช่วงนี้รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาว่าแผนที่เราตั้งไว้ยังไม่คืบหน้าไปไหน ทั้งที่ตั้งใจว่าจะเก็บเงินให้ได้ ลดน้ำหนักลงสักหน่อย หรือพักผ่อนให้มากขึ้น แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน อีกไม่กี่เดือนก็จะผ่านพ้นไปอีกปีแล้ว เราจะติ๊กได้แค่ ‘เอาชีวิตให้รอด’ ช่องเดียวเท่านั้นจริงเหรอ (ฮือๆ)
แต่ไหนๆ ก็เหลืออีกไม่กี่เดือนแล้ว เพื่อทำตามเป้าหมายให้สำเร็จ เราเลยมาลองวิธีล่าสุดอย่าง ‘Great Lock In’ เทรนด์ใหม่บนโซเชียลที่หมายถึงการทำเป้าหมายของตัวเองให้สำเร็จอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ ผ่านตารางชีวิตสุดเข้มงวด และอาศัยการมีวินัยขั้นสุด เพื่อทำเป้าหมายให้เสร็จก่อนปีใหม่ที่จะมาถึง
แล้วเทรนด์ใหม่ที่ว่ามีวิธีการอย่างไรบ้างนะ ทำไมอยู่ๆ คนรุ่นใหม่ถึงลุกขึ้นมาทำสิ่งนี้ จนถึงข้อสงสัยที่น่าตั้งคำถามว่าวิธีนี้มันได้ผลจริงหรือ
Great Lock In เปลี่ยนตัวเองเพื่อพิชิตเป้าหมาย
ถ้ามุ่งมั่นตั้งใจ ใช้เวลาไม่นานก็ต้องเห็นผลแน่นอน แนวคิดที่หลายคนเคยได้ยินกันบ่อยๆ นี้ ดูเหมือนจะไปด้วยกันกับ Great Lock In ได้พอดี โดยไอเดียนี้ถือเป็นเทรนด์การพัฒนาตัวเองล่าสุด ที่เริ่มถูกพูดถึงมากขึ้นบน TikTok ในช่วงปลายปีนี้
สิ่งที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างเทรนด์นี้เริ่มได้รับความนิยมมาจากฤดูกาลของฝั่งตะวันตก ที่เริ่มเปลี่ยนจากความสดใสของหน้าร้อน มาสู่ฤดูใบไม้ร่วงอย่างเต็มตัว ทำให้หลายๆ คนหันมาโฟกัสและใช้เวลาอยู่กับตัวเองกันมากขึ้น
คอนเซ็ปต์หลักของ Great Lock In จึงหมายถึงการเก็บตัวพัฒนาตัวเองในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ไม่กี่เดือน ก่อนจะถึง31 ธันวาคม โดยอาศัยการมีวินัยแบบเข้มข้น เหมือนเป็นการท้าทายตัวเองว่าเราจะกลายเป็นคนที่ดีกว่าเดิมได้ไหมก่อนปีใหม่จะมาถึง แถมคำว่า lock in ยังอาจมองได้ว่ามาจากวิดีโอเกม หมายถึงการเลือกตัวละครที่จะเล่นแล้วมุ่งมั่นฝ่าด่านและบอสเพื่อพิชิตภารกิจอีกด้วย
สำหรับคนที่จะเข้าร่วมเทรนด์นี้ก็ไม่ยาก เราสามารถกำหนดเรื่องที่เราอยากพัฒนาด้วยตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วมักจะเกี่ยวกับด้านวิถีชีวิต หรือการดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น การนอนหลับให้ได้ 9 ชั่วโมง งดน้ำตาล ออกกำลังกาย 5 ครั้งต่อสัปดาห์ หรืองดจอก่อนนอน คนที่ทำชาเลนจ์นี้จะต้องอัปโหลดคำมั่นสัญญาของตัวเองบนพื้นที่ออนไลน์ จากนั้นค่อยๆ อัปเดตความคืบหน้าบนโซเชียล เพื่อแสดงความจริงจังที่อยากทำเป้าหมายให้สำเร็จ
ฟังดูก็เป็นเรื่องดีที่คนรุ่นใหม่กลับมาพัฒนาตัวเองอย่างจริงจัง เพราะที่ผ่านมาวิถีชีวิตของหลายคนถูกกระหน่ำจากโดปามีนราคาถูกบนโลกออนไลน์ พ่วงด้วยความเครียด และความเหงาจากการใช้ชีวิตในโลกที่มีเสียงแจ้งเตือนตลอดเวลา การกลับมาโฟกัสที่เป้าหมายตัวเองก็ช่วยให้เรากลับมาควบคุมชีวิตตัวเองได้อีกครั้ง อย่างไรก็ตามในอีกมุมหนึ่ง เทรนด์นี้ก็อาจสะท้อนถึงแรงกดดันอันหนักอึ้งที่คนยุคนี้ต้องเผชิญด้วย
จากเว็บไซต์ Fortune สื่อด้านธุรกิจจากอเมริกัน ได้อธิบายปรากฏการณ์นี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า การที่คนรุ่นใหม่มองหาวิธีพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นผลมาจากความผันผวนของเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมบนโลกออนไลน์ ที่มักให้คุณค่ากับความขยัน หรือความโปรดักทีฟ ทำให้พวกเขาต้องหาทางพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา
รายงานจาก Bank of America ปี 2025 พบว่าเจน Z คือคนที่เจอกับช่องว่างระหว่างชีวิตจริงและความฝันถึงชีวิตที่สมบูรณ์แบบมากกว่าคนรุ่นก่อน ในช่วงอายุเท่ากันคนรุ่นก่อนอาจมีบ้าน มีรถ สร้างครอบครัวเป็นของตัวเอง แต่ปัจจุบันพบว่าคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยที่ยังอาศัยอยู่กับพ่อแม่ หรืออยู่เป็นโสดกันมากขึ้น เพราะปัญหาการเงิน จนถูกเรียกว่าเป็นรุ่นที่ล้มเหลวในการเป็นผู้ใหญ่ เนื่องจากต้องพึ่งพาคนอื่นแม้ในวันที่ก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว
ลำพังแค่เศรษฐกิจย่ำแย่ก็สร้างความลำบากมากพออยู่แล้ว แต่เมื่อรวมกับความล้ำหน้าของเทคโนโลยีก็ยิ่งกลายเป็นแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นมาอีกขั้น จนแทบไม่เหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้คนรุ่นใหม่ เพราะแม้สิ่งเหล่านี้จะช่วยอำนวยความสะดวกให้ก็จริง แต่อีกแง่หนึ่งกลับยิ่งทำให้คนรุ่นใหม่ต้องไล่ตามสิ่งใหม่เหล่านี้ให้ทัน ไม่ให้ตัวเองตกขบวน ไหนจะต้องอัปเดตเทรนด์บน TikTok หรือต้องสร้างแบรนด์ให้ตัวเองผ่าน Instagram จนต้องเตรียมคำถามสัมภาษณ์กับ AI Chat Bot สิ่งเหล่านี้ทำให้คนรุ่นใหม่หมดข้อแก้ตัว จนต้องพัฒนาตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่กล้าหยุดพัก
อาจเรียกได้ว่าความนิยมของ Great Lock In ที่กำลังเพิ่มขึ้น คืออาวุธใหม่ที่คนรุ่นหลังนำมาต่อกรกับปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญ ในยามที่ไร้ทางออกชั่วขณะนี้
รีบร้อนมากไปอาจไม่ดี
ไม่ปฏิเสธว่าวิธีการดูแลหรือการพัฒนาตัวเองจากเทรนด์ Great Lock In หลายๆ ข้อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล และดีต่อร่างกายจริงๆ นอกจากนี้การตั้งใจทำอะไรบางอย่างติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็เป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้เราได้ผลลัพธ์อย่างที่ตั้งใจไว้ อย่างไรก็ตามหากใครที่เริ่มต้นเข้าร่วมเทรนด์นี้ก็อาจมีข้อควรระวังเล็กน้อย ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าการตั้งเป้าหมายแบบเข้มงวดเกินไปอาจทำให้สุขภาพจิตแย่ลงได้
ลูอิสซา เดรก (Louisa Drake) ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกาย อธิบายว่าชาเลนจ์แบบนี้มักเน้นไปที่ความสมบูรณ์แบบมากกว่าความก้าวหน้า เช่น เราอาจจะคาดหวังว่าเราจะต้องคืบหน้าทุกวัน แต่อาจลืมไปว่าพัฒนาการบางครั้งก็ไม่ได้ตั้งขึ้นแบบเป็นเส้นตรงเสมอไป บางวันเราอาจได้เท่าเดิม บางวันอาจลดลง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องปกติ แต่การทำอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เราก้าวหน้าในทุกๆ วัน ในทางกลับกัน หากเราเอาแต่โฟกัสว่าสิ่งที่เราทำต้องคืบหน้าทุกวัน พอถึงวันที่ไม่เป็นดั่งใจเราอาจจะผิดหวัง และล้มเลิกไปเลย
นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญยังเสริมอีกด้วยว่า จากงานวิจัยวิธีการเปลี่ยนพฤติกรรมที่ยั่งยืน มักเกิดจากการเปลี่ยนทีละน้อย มีความยืดหยุ่น และให้อภัยตัวเองเมื่อทำผิดพลาด ไม่ใช่แรงกดดันภายนอกหรือกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด ขณะเดียวกันอย่าลืมคำนึงถึงข้อจำกัดของแต่ละคนด้วยนะ เพราะแม้จะเป็นวิธีการเดียวกัน แต่ไม่ใช่ทุกคนจะทำได้ผลลัพธ์เหมือนกันทุกคน ดังนั้นหากเราเริ่มต้นจากการตั้งมาตรฐานไว้สูงเกินจริง หากทำไม่ได้อย่างที่หวังเราอาจรู้สึกเหนื่อยล้า และรู้สึกผิดได้
ได้ยินแบบนี้แล้วหลายคนอาจรู้สึกห่อเหี่ยว ทั้งที่ตั้งใจขนาดนี้ก็ยังไม่วายเจอกับความผิดหวังอีกจนได้ แต่ข่าวดีคือยังมีวิธีอื่นที่ช่วยให้เราเปลี่ยนนิสัยเก่าๆ เพื่อกลายเป็นคนใหม่ แถมยังไม่กดดันตัวเองเกินไปอยู่เหมือนกันนะ โดยลูอิสซาก็ได้แนะนำวิธีให้เรานำไปปรับใช้กัน
อันดับแรกคือการตั้งเป้าหมายที่ไม่หักโหมเกินไป และสามารถทำได้นานๆ เช่น การเริ่มทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ 1-2 อย่างที่เราทำได้ทุกวัน ก่อนค่อยๆ ต่อยอดไปยังนิสัยอื่นๆ เช่น เริ่มจากการตั้งใจนอนให้เป็นเวลา ก่อนขยับไปออกกำลังกายถี่ขึ้น
ต่อมาคือ อย่าโฟกัสที่การห้าม แต่เน้นการเพิ่มสิ่งดีๆ เข้าไปแทน เช่น แทนที่จะบอกว่าจะงดน้ำตาล แต่ให้ลองคิดว่าเราจะเพิ่มผลไม้ 1 ชิ้นในแต่ละมื้อ หรือดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำหวานบ่อยขึ้น วิธีนี้จะทำให้รู้สึกว่าทำได้เรื่อยๆ มากกว่า และไม่ต้องเครียดกับการห้ามใจตัวเองด้วย
สุดท้ายคือ ปรับวิธีให้เหมาะกับตัวเอง แทนที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างเคร่งครัด ลองค่อย ๆ แทรกนิสัยใหม่ทีละน้อย หรือปรับให้ตารางมีความยืดหยุ่นขึ้น เช่น หากเราไม่สามารถวิ่งได้ทุกเช้า ก็เปลี่ยนมาเป็นวิ่งเวลาไหนก็ได้ แต่ขอให้วิ่งได้อย่างน้อย 30 นาทีก็พอแล้ว หรือลองหาเพื่อนมาแชร์เป้าหมายกัน ก็จะช่วยเพิ่มแรงจูงใจให้เราทำตามเป้าหมายได้ทุกวัน ไม่ต้องพึ่งความกดดันจากความท้าทายตัวเองอย่างเดียว
เพราะนิสัยไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่เป็นสิ่งที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน คงดีกว่าหากเราไม่ต้องรีบร้อนให้ถึงเป้าหมายเร็วๆ แต่ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนและทำได้อย่างมีความสุข เพื่อที่เราจะได้ทำสิ่งนี้ได้ต่อไปอีกนาน จนสุดท้ายกลายเป็นนิสัยของเราจริงๆ กันนะ
อ้างอิงจาก
fortune.com
newsroom.bankofamerica.com
independent.co.uk
fastcompany.com