ทั่วไทย Report

ทั่วไทย Report เผยแพร่ ข่าวสาร ทั่วทุก ภูมิภาค

13/07/2025

Thailand fishing expo 2025 Mid year july 10-13
เหยื่อยางฝีมือคนไทย

13/07/2025

เหยื่อยางฝีมือคนไทย #เหยื่อยาง

12/07/2025

มหกรรม อุปกรณ์ตกปลาเซ็นทรัล บางนา #อุปกรณ์ตกปลา

08/07/2025

วันหยุดเที่ยวไหนดี!!ชายหาดบางแสนเลยอยู่จังหวัดชลบุรีไม่ไกลจากกรุงเทพฯบรรยากาศดี เหมาะสำหรับพาครอบครัวไปพักผ่อน

02/07/2025

หอยหมกเกลือหรือหอยเค็มภูมิปัญญาชาวบ้านของชาวจังหวัดเพชรบุรีตำบลบ้านแหลม food

23/06/2025

พาณิชย์เดินหน้ากระจายผลไม้ Gowholesal รับเพิ่ม 125 ตัน
ช่วยผลไม้ติดด่าน
fruits

ผลไม้ไทยสุดคึกคัก! "พาณิชย์"เดินหน้ากระจายต่อ "Go Wholesale" รับเพิ่ม 125 ตัน ช่วยผลไม้ติดด่านวันที่ 21 มิถุนายน 2568   ...
23/06/2025

ผลไม้ไทยสุดคึกคัก! "พาณิชย์"เดินหน้ากระจายต่อ "Go Wholesale" รับเพิ่ม 125 ตัน ช่วยผลไม้ติดด่าน

วันที่ 21 มิถุนายน 2568
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า “กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน เดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรไทยอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แคมเปญ Thai Fruits Festival ล่าสุดลงพื้นที่ ห้าง Go Wholesale (โก โฮลเซลล์) สาขาศรีนครินทร์ เพื่อส่งเสริมการบริโภคผลไม้ไทย และผลักดันการกระจายผลผลิตผลไม้ในช่วงปลายฤดูของภาคตะวันออก โดยในปีนี้ คาดว่ามีผลผลิตจากภาคตะวันออกประมาณ 14,000 ตัน ซึ่งสามารถดูดซับออกไปแล้วกว่า 10,000 ตัน ปัจจุบันเหลือผลไม้ราว 4,000 ตัน หรือประมาณวันละ 400 ตัน กรมการค้าภายในจึงได้ประสานความร่วมมือกับพันธมิตรภาคเอกชนทั่วประเทศ รวมถึง ห้าง Go Wholesale (โก โฮลเซลล์) เพื่อร่วมรับซื้อและกระจายผลไม้ไปยังภูมิภาคต่างๆ

นายวิทยากร กล่าวต่อว่า “ในวันนี้ ห้าง Go Wholesale (โก โฮลเซลล์) ได้ร่วมมือกับกรมฯ รับซื้อผลไม้ไทยเพิ่มเติมอีก 125 ตัน เพื่อช่วยดูดซับผลผลิตในช่วงปลายฤดู โดยเฉพาะ มังคุด เงาะ ลองกอง ภาคตะวันออก พร้อมกันนี้ยังจัดโปรโมชั่นพิเศษเพื่อกระตุ้นการบริโภค ภายใต้แนวคิด ‘เกษตรกรปลูกด้วยใจ คนไทยกินด้วยรัก’ โดยจำหน่ายผลไม้คุณภาพในราคาย่อมเยา เช่น มังคุด กิโลกรัม ละ 29 บาท ซื้อ 4 กก. 100 บาท เงาะโรงเรียน กิโลกรัมละ 49 บาท
พิเศษ! ซื้อ 3 กิโลกรัมขึ้นไป เหลือเพียงกิโลกรัมละ 39 บาท (3 กิโลกรัม 117 บาท)“

ด้าน คุณอรวรรณ ศิริโชติรัตน์
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายสื่อสารองค์กรและรัฐสัมพันธ์ บริษัท โก โฮลเซลล์ จำกัด เปิดเผยว่า “ห้างฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเกษตรกรไทย โดยเฉพาะการเชื่อมโยงผลไม้คุณภาพจากทุกภูมิภาคสู่มือผู้บริโภค ทั้งนี้ ห้างฯ ยังจัดทำโปรโมชั่นราคาพิเศษเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงสินค้าได้ง่าย และจะยังคงยืนหยัดในการสนับสนุนเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง

นายวิทยากร กล่าวเพิ่มเติมว่า ”กรมการค้าภายในยังคงเดินหน้ากระจายผลผลิตผลไม้เข้าสู่ห้างค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง พร้อมได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ซึ่งแสดงความพึงพอใจทั้งด้านราคาและคุณภาพ และยินดีร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเกษตรกรไทยในช่วงฤดูกาลผลผลิตล้นตลาด

สำหรับประชาชนหรือหน่วยงานที่สนใจสั่งซื้อผลไม้ในปริมาณมาก เช่น 500 กิโลกรัมขึ้นไป สามารถติดต่อได้ที่ กรมการค้าภายในโดยพร้อมประสานงานกับกลุ่มเกษตรกรที่มีสินค้าคุณภาพ เพื่อจัดส่งผลไม้สดจากสวนถึงมือท่านอย่างทั่วถึง

”กรมการค้าภายในขอขอบคุณ ห้างโกหกเซลล์ที่ช่วยซื้อผลไม้ไทยซึ่งเป็นการสั่งซื้อเพิ่มเติมในช่วงที่ผลไม้ต้องการตลาดรองรับ อย่างเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร และที่ขาดไม่ได้ ต้องขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกท่าน ที่ให้ความร่วมมือและกำลังใจแก่เกษตรกรไทย ไม่ว่าจะเป็นการสอบถามเพื่อสั่งซื้อ หรือการช่วยนำผลไม้ไปจำหน่ายต่อ ซึ่งล้วนเป็นพลังสำคัญในการร่วมฝ่าวิกฤตผลผลิตล้นตลาด และสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคเกษตรกรรมไทย“ นายวิทยากร กล่าว

"กรมศุลกากร"ร่วมกับ"กรมโรงงานอุตสาหกรรม" "กรมสอบสวนคดีพิเศษ และการท่าเรือแห่งประเทศไทย"ร่วมตรวจสอบสินค้านำเข้าจากต่างประ...
12/06/2025

"กรมศุลกากร"ร่วมกับ"กรมโรงงานอุตสาหกรรม" "กรมสอบสวนคดีพิเศษ และการท่าเรือแห่งประเทศไทย"
ร่วมตรวจสอบสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ เข้าข่ายเป็นของเสียอันตรายภายใต้อนุสัญญาบาเซล จำนวน 36 ตู้คอนเทนเนอร์ น้ำหนักรวม 736 ตัน

10 มิถุนายน 2568
เวลา 11.00 น.
นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร นางนันท์ฐิตา ศิริคุปต์ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร พร้อมด้วย นายเอกวุฒิ นาเอก ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ นางสาวช่อฉัตร หอวัง ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคการตรวจสอบสินค้า ร่วมกับ นางสาวนวพร สงวนหมู่ ผู้อำนวยการกองบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พันตำรวจโทพงศ์อินทร์ อินทรขาว รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พันตำรวจตรีวรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีคุ้มครองผู้บริโภค กรมสอบสวนคดีพิเศษ และการท่าเรือแห่งประเทศไทย ร่วมตรวจสอบสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ เข้าข่ายเป็นของเสียอันตรายภายใต้อนุสัญญาบาเซล จำนวน 36 ตู้คอนเทนเนอร์ น้ำหนักรวม 736 ตัน ณ สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพ

นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า ตามนโยบายของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับการป้องกันและปราบปรามการนำเข้าของเสียอันตราย เพื่อความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชน โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้สั่งการให้กรมศุลกากรเฝ้าระวังการลักลอบนำเข้าสินค้าที่เข้าข่ายของเสียอันตรายภายใต้อนุสัญญาบาเซล โดยการดำเนินการในครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกรมศุลกากร โดยสำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพและกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อควบคุมการนำเข้าสินค้าของเสียอันตรายภายใต้อนุสัญญาบาเซล ทั้งนี้ได้ตรวจสอบตู้สินค้าตกค้างระบุในใบตราส่งสินค้าเป็น ZINC CONCENTRATE จำนวน 36 ตู้คอนเทนเนอร์ น้ำหนัก 736,425 กิโลกรัม ประเทศต้นทางโมร็อกโก โดยสินค้ามีลักษณะเป็นผงละเอียดสีน้ำตาล มีกลิ่นฉุน บรรจุในถุงกระสอบ ตรวจสอบโดยเครื่อง X-ray fluorescence หรือ XRF พบปริมาณธาตุโลหะหลักเป็นสังกะสี 32.2% เหล็ก 13.5% และมีการปนเปื้อนของโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว 1.24% แคดเมียม 890 ppm และพลวง 540 ppm เข้าข่ายเป็นของเสียอันตรายตามอนุสัญญาระหว่างประเทศที่ควบคุมการเคลื่อนย้ายของเสียอันตรายข้ามแดน เพื่อป้องกันการถ่ายโอนของเสียอันตรายจากประเทศพัฒนาแล้วไปยังประเทศกำลังพัฒนา ตามอนุสัญญาบาเซล

กรณีนี้เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม
เรื่อง บัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2556 บัญชีที่ 5.2 ของเสียเคมีวัตถุ ลำดับที่ 2.2 และอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด

อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับของเสียอันตรายดังกล่าว กรมศุลกากรจะผลักดันออกนอกประเทศ พร้อมบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการป้องกันไม่ให้สินค้าอันตรายเข้ามาในประเทศ เพื่อความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดีของประชาชนอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ สถิติการจับกุมการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ เศษพลาสติก สังกะสีออกไซด์ ในปีงบประมาณ 2568
(1 ตุลาคม 2567 - 9 มิถุนายน 2568) แบ่งเป็น ขยะอิเล็กทรอนิกส์ จับกุมได้ 37 ราย จำนวน 505,073 กิโลกรัม
เศษพลาสติก จับกุมได้ 13 ราย จำนวน 445,122 กิโลกรัม สังกะสีออกไซด์ จับกุมได้ 2 ราย จำนวน 499,649 กิโลกรัม
โดยกรมศุลกากรจะบูรณาการความร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการข่าวและตรวจเข้มการนำเข้าส่งออกอย่างเคร่งครัดต่อไป

บทความทางกฎหมายโดย"อัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์"เรื่อง : ขับรถขณะเมาที่มีลักษณะไม่คำนึงถึงความปลอดภัย เสี่ยงถูกริบรถยนต์! ...
12/06/2025

บทความทางกฎหมายโดย"อัยการวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์"
เรื่อง : ขับรถขณะเมาที่มีลักษณะไม่คำนึงถึงความปลอดภัย เสี่ยงถูกริบรถยนต์! บทลงโทษที่ผู้ขับขี่ควรรู้

ปัญหาการขับขี่รถที่ไร้ความรับผิดชอบ เช่น การขับรถโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนและความปลอดภัยของผู้อื่น และการขับรถขณะมึนเมา รวมถึง การขับรถเสพยาเสพติดให้โทษ ยังคงเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน สร้างความสูญเสียทั้งชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมาก
พฤติกรรมการขับขี่ที่เป็นปัญหา :
• ขับรถขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่น
๑.๑ ขับรถในขณะมี ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดวัดได้ “เกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์” สำหรับ:
- ผู้ขับขี่อายุต่ำกว่า 20 ปี
- ผู้มีใบขับขี่ชั่วคราว
- ผู้ไม่มีใบขับขี่
- ผู้อยู่ระหว่างถูกพักใช้หรือเพิกถอนใบขับขี่
๑.๒ ขับรถในขณะมี ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดวัดได้ “ เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์” สำหรับบุคคลทั่วไป

(๒) :ขับรถโดย ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อน และความปลอดภัยของผู้อื่น
การขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น : ความผิดฐานนี้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ (๘) และมีบทกำหนดโทษในมาตรา ๑๖๐ วรรคสาม โทษปรับตั้งแต่ ๕,๐๐๐ - ๒๐,๐๐๐บาท และอาจถูกจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ. นอกจากนี้ ผู้ขับขี่อาจถูกตัดคะแนนความประพฤติทันที ๔ คะแนน
เช่น การขับรถด้วยความเร็วสูง, การขับรถแซงซ้ายแซงขวา โดยไม่ให้สัญญาณ, ขับปาด / เบียดรถคันอื่นในระยะกระชั้นชิด, หรือ การแข่งขันรถแข่งขันประลองความเร็วบนถนน เป็นต้น
ทั้งการ “ ขับรถขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่น” และ “ การขับรถโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนและความปลอดภัย” อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้อื่น พฤติกรรมดังกล่าวเป็นปัญหาสำคัญบนท้องถนน ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน และกระทบต่อความปลอดภัยทางถนนโดยรวม ถือเป็นการกระทำที่ร้ายแรง ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรการทางกฎหมายที่เข้มงวดเพื่อจัดการกับผู้กระทำผิด

การขับรถขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่น :

• เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ร่างกาย : โทษจำคุกตั้งแต่ ๑ – ๕ ปี และปรับ ตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ – ๑๐๐,๐๐๐ บาท และพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่ต่ำกว่า ๑ ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาต ขับขี่
• เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายบาดเจ็บสาหัส : โทษจำคุกตั้งแต่ ๒ – ๖ ปี และปรับ ตั้งแต่ ๔๐,๐๐๐ – ๑๒๐,๐๐๐ บาท และพักใบอนุญาตขับขี่ไม่น้อยกว่า ๑ ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาต ขับขี่
• เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายถึงแก่ความตาย : โทษจำคุกตั้งแต่ ๓ – ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๖๐,๐๐๐ – ๒๐๐,๐๐๐ บาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
- หากทำผิดซ้ำภายใน ๒ ปี โทษจะหนักขึ้น เป็น จำคุกไม่เกิน ๒ ปี ปรับตั้งแต่ ๕๐,๐๐๐ บาทถึง ๑๐๐,๐๐๐ บาทและพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ไม่ต่ำกว่า ๑ ปีหรือถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

ส่วนความผิดฐาน “ ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อน หรือ ความปลอดภัยในชีวิตหรือร่างกายของผู้อื่น โทษปรับตั้งแต่ ๕,๐๐๐ บาท - ๒๐,๐๐๐ บาท และจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ( เดิมปรับตั้งแต่ ๒,๐๐๐ –๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ)

แม้กฎหมายจะมีการแก้ไข โดยเพิ่มโทษให้หนักขึ้น แต่ความรุนแรงของผลกระทบจากพฤติกรรมการขับขี่ดังกล่าวยังไม่ลดน้อยถอยลง แต่กลับเพิ่มมากขึ้นและเกิดความเสียหายต่อสังคมประชาชนผู้ใช้รถผู้ใช้ถนนจำนวนมาก ฉะนั้น จึงมีความจำเป็นต้องมีการยกระดับ “มาตรการทางกฎหมาย” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้และป้องปรามการกระทำผิด

การขอให้ศาลมีคำสั่ง “ ริบรถยนต์” ที่ใช้ในการกระทำความผิดฐานดังกล่าว พร้อมทั้งมาตรการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงเป็น “ความจำเป็นและเร่งด่วน” ที่ “ สำนักงานอัยการสูงสุด” จะต้องมี “ แนวทางและมาตรการดำเนินคดีของพนักงานอัยการ” ในความผิดฐาน “ ขับรถขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่นและการขับรถโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนและความปลอดภัยของผู้อื่น” ดังกล่าว เพื่อให้สังคมปลอดภัยจากผู้ขับขี่รถที่มีพฤติการณ์ดังกล่าว

มาตรการริบรถยนต์ : บทลงโทษที่เข้มข้นขึ้น

ในอดีตที่ผ่านมา มีกรณีที่ พนักงานอัยการบางส่วนมีความเห็นและคำสั่ง “ ไม่ขอให้ศาลสั่ง ริบรถจักรยานยนต์ หรือรถอื่นใดของกลาง” ในคดีความผิดฐาน ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยฯ โดยให้เหตุผลว่า “ รถของกลางมิใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ (๑) แต่ต่อมา สำนักงานอัยการสูงสุดได้พิจารณาแล้วเห็นว่า

“ การใช้ดุลยพินิจเช่นนั้นไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เนื่องจากรถของกลางดังกล่าว ศาลมีคำพิพากษาให้ริบได้ โดยอ้างอิงถึงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๒๐๐ / ๒๕๔๖ )
ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินคดีประเภทนี้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สำนักงานอัยการสูงสุดจึงได้กำหนด แนวทางในการดำเนินคดี โดยให้พนักงานอัยการใช้ดุลยพินิจ “ ขอให้ศาลสั่งริบรถของกลาง” ที่เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดในคดีความผิดฐาน “ ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น ” ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ (๘) , ๑๖๐ วรรคสาม
ทั้งนี้ ตามหนังสือสำนักงานอัยการสูงสุดที่ อส ( สฝปผ.) ๐๐๑๘/ ว. ๓๘๐ ลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๔๙
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในช่วงนั้น คือ “ การขับรถแข่งขันกันบนถนนหลวงของกลุ่มเด็กและเยาวชนแล้วก่อให้เกิดอุบัติเหตุ เฉี่ยวชนกันมีผู้เสียชีวิต ทรัพย์สินเสียหายไม่ว่าจะเป็นผู้ร่วมแข่งขันและประชาชนผู้สัญจรไปมา” แต่รถยนต์/ รถจักรยานยนต์ที่กลุ่มเด็กและเยาวชนขับขี่แข่งขันบนท้องถนนโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น กลับไม่ได้ถูกริบ โดย พนักงานอัยการ ไม่ได้ขอให้ศาลมีคำสั่งริบ โดย “ใช้ดุลพินิจ” ไม่ขอให้ศาลสั่งริบ และเมื่อไม่ได้ขอให้ศาลสั่ง ริบรถจักรยานยนต์ / รถยนต์ ก็จะถูกกลุ่มเด็กและเยาวชนเหล่านั้น นำกลับมาใช้ในการกระทำซ้ำผิดอีก
ดังนั้น สำนักงานอัยการสูงสุด จึงกำหนดแนวทางดังกล่าว เพื่อให้เป็นมาตรการในการคุ้มครองสังคมให้ปลอดภัย

ต่อมา แนวทางนี้ ( ขอให้ศาลมีคำสั่งริบรถยนต์ที่ใช้ในการกระทำผิด) ได้ถูกนำมาใช้กับคดี “ ขับรถขณะเมาสุรา” แล้วทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้อื่นด้วยเช่นกัน โดยสำนักงานอัยการสูงสุดได้กำหนด “ แนวทางปฏิบัติให้พนักงานอัยการพิจารณาขอให้ศาลสั่งริบรถของกลางซึ่งเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด” ดังกล่าว
ทั้งนี้ ตามหนังสือสำนักงานอัยการสูงสุดที่ อส ๐๐๐๗ (ปผ) / ว. ๑๙๗ ลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๘ โดยกำหนดหลักเกณฑ์ ดังนี้

กำหนดแนวทางปฏิบัติกรณีพนักงานอัยการได้รับสำนวนคดีที่มีการดำเนินคดีกับผู้ขับรถขณะเมาสุราแล้วก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้อื่นไว้พิจารณา โดยให้พนักงานอัยการพิจารณาว่า
“ พฤติการณ์ในการขับรถขณะเมาสุราของผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีมีลักษณะเป็นการขับรถโดยไม่คำนึงถึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.ศ. ๒๕๒๒๒ มาตรา ๔๓ (๘) ด้วยหรือไม่ ”
หากพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ต้องหาได้ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นอันเป็นความผิดดังกล่าวด้วย และ ยังมิได้มีการแจ้งข้อหาดังกล่าวแก่ผู้ต้องหา
ให้พนักงานอัยการสั่งให้พนักงานสอบสวน “แจ้งข้อหาดังกล่าวเพิ่มเติม” แก่ผู้ต้องหา
และในการฟ้องคดี “ ให้พนักงานอัยการขอให้ศาลสั่งริบรถของกลาง” หากพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ต้องหาได้ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น”

ดังนั้น ผู้ขับขี่ที่กระทำความผิดฐาน “ ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น” หรือ “ ขับรถขณะเมาสุรา” แล้วก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินผู้อื่น ควรตระหนักว่า รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการกระทำผิดนั้น “ มีความเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะถูกศาลสั่งริบ”ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๒๐๐/๒๕๔๖ : จุดเปลี่ยนสำคัญ
ดังที่กล่าวมาข้างต้น แนวทางการขอให้ศาลริบรถของกลางในคดีขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยฯ นั้น อาศัยหลักการจากคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๔๒๐๐/๒๕๔๖ ว่า เป็นคำพิพากษาที่แสดงให้เห็นว่า “ รถของกลางในคดีขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยฯ ศาลมีคำพิพากษาให้ริบได้” คำพิพากษาฉบับนี้จึงเป็นส่วนสำคัญที่สนับสนุนแนวคิดว่า “ รถที่ใช้ในการกระทำผิดดังกล่าวถือเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด” ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแนวปฏิบัติด้านการขอริบทรัพย์ของพนักงานอัยการในเวลาต่อมา และต่อมา แนวทางนี้ยังได้ถูกนำมาใช้เป็นหลักในการขอริบรถในคดีขับรถขณะเมาสุราแล้วทำให้เกิดอันตรายฯ ด้วย

มาตรการเสริมอื่นๆ นอกเหนือจากการริบรถ
นอกจากการขอให้ศาลสั่งริบรถของกลางแล้ว “พนักงานอัยการ” ยังมีแนวทางในการขอให้ศาลใช้มาตรการอื่นๆ เพื่อความปลอดภัยควบคู่ไปด้วย มาตรการเหล่านี้ ได้แก่:

- การเรียกประกันทัณฑ์บน: การขอให้ศาลกำหนดให้จำเลยวางเงินประกัน หรือให้มีผู้รับประกัน เพื่อเป็นหลักประกันว่าจำเลยจะไม่กระทำผิดซ้ำอีก
- การพักหรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ยานพาหนะ : การขอให้ศาลมีคำสั่งพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ของจำเลย เพื่อป้องกันไม่ให้จำเลยกลับไปขับขี่และก่ออันตรายบนท้องถนนได้อีก
- การขอให้ศาลลงโทษในอัตราขั้นสูง : การขอให้ศาลใช้ดุลยพินิจกำหนดโทษจำเลยในอัตราสูงสุดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
- การขอเพิ่มโทษ : ในกรณีที่จำเลยเคยกระทำความผิดในลักษณะคล้ายคลึงกันมาก่อน อาจมีการขอให้ศาลเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย
มาตรการเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความจริงจังของ “ สำนักงานอัยการสูงสุด” ในการจัดการกับปัญหาการขับขี่ที่เป็นอันตราย โดยมุ่งหวังให้ผู้กระทำผิดได้รับบทลงโทษที่เหมาะสม และป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายซ้ำเติมขึ้นอีก

บทสรุป “ การขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่น และการขับรถขณะเมาสุราหรือของมึนเมาอย่างอื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย และ/หรือ ทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่ได้เพียงแต่ จะนำมาซึ่งโทษปรับหรือจำคุกเท่านั้น หากแต่ยังมีความเสี่ยงสูงที่ศาลจะสั่ง “ ริบรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์” ที่ใช้ในการกระทำความผิดดังกล่าว ซึ่งเป็นผลมาจากแนวทางการดำเนินคดีที่เข้มข้นขึ้นของพนักงานอัยการ โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ (๑) และหลักการตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๒๐๐ / ๒๕๔๖ รวมถึงมาตรการเสริมอื่นๆ เช่น การเรียกประกันทัณฑ์บน หรือการพัก/เพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ เป็นต้น

ดังนั้น การไม่ขับขี่รถในขณะเมาสุรา การไม่ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อนของผู้อื่น รวมทั้งการไม่ขับรถโดยขาดความยั้งคิดเพียงชั่วขณะ ซึ่งอาจนำมาซึ่งความสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้ ทั้งต่อตนเอง ผู้อื่น และทรัพย์สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รถยนต์ รถจักรยานยนต์ที่ขับขี่ อาจถูกศาลสั่งริบได้ หากนำไปใช้ในการกระทำความผิดร้ายแรงดังกล่าว

• นายวรเทพ สกุลพิชัยรัตน์
อัยการศาลสูงจังหวัดสมุทรปราการ
(อดีต) รองประธานคณะอนุกรรมาธิการการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน (คนที่สอง) ในคณะกรรมาธิการ การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน (สมัยที่ ๒๕) สภาผู้แทนราษฎร
๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๘

ที่อยู่

Paknam

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ ทั่วไทย Reportผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง ทั่วไทย Report:

แชร์