04/04/2025
Thailand Web Stat
The Active
การพูดคุยสันติภาพชายแดนใต้นั้นเปราะบาง: จะไปต่อได้อย่างไร ?
23 กุมภาพันธ์ 2023
Feature & InterviewPoliticsชายแดนใต้
5
4
14
4
2
การริเริ่มพูดคุยสันติภาพอย่าง “เป็นทางการ” ระหว่างรัฐบาลไทยกับขบวนการปลดปล่อยปาตานี โดยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในปี 2556 นับเป็นจุดเปลี่ยนในเชิงนโยบายที่สำคัญส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพลวัตความขัดแย้งยืดเยื้อชายแดนใต้/ปาตานีก็จริง แต่ต้องเผชิญกับอุปสรรคและความล้มเหลวหลายต่อหลายครั้ง เพราะการพูดคุยนั้น, วางเป้าหมาย “สันติภาพเชิงลบ” (Negative Peace) อย่างโจ่งแจ้งว่ามุ่งยุติการก่อความไม่สงบที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2547 จนถึงบัดนี้มียอดผู้เสียชีวิตกว่า 7,438 คน และอีก 13,827 คน ได้รับบาดเจ็บ มีผู้ตั้งข้อสงสัยว่าทั้งสองฝ่ายเข้าร่วมการพูดคุยเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางยุทธวิธีมากกว่าจะมุ่งมั่นแก้ไขความขัดแย้งที่จะหาทางออกทางการเมืองร่วมกัน เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างให้เกียรติศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน (Positive Peace)
แย่กว่านั้น มีคนจำนวนมากตั้งข้อสังเกตว่าการพูดคุยสันติภาพชายแดนใต้/ปาตานี “อย่างเป็นทางการ” ที่ดำรงอยู่ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา จำกัดวงอยู่แค่กลุ่มคนแคบ ๆ วาทกรรมเรื่องการมีส่วนร่วมนั้นก็เป็นเพียง “ให้รับรู้” แต่ไม่มี ‘พื้นที่’ ให้ร่วมคิด ร่วมแสดงความเห็น หรือช่วยประคับประคองการพูดคุยระหว่างคู่ขัดแย้งให้เป็นรูปธรรม หรือ ‘พื้นที่’ ที่มีอยู่ก็ถูกครอบครองโดยฝ่ายความมั่นคงที่กำหนดทิศทาง, ชี้นำ และหวาดระแวง “เสียงที่ต่างออกไป” มิพักต้องกล่าวถึง, คนนอกพื้นที่ชายแดนใต้แทบประติดประต่อเรื่องราวความคืบหน้าไม่ได้เลย เช่นนี้แล้ว “กระบวนการสันติภาพชายแดนใต้” จะกลายเป็นวาระแห่งชาติได้อย่างไร?
กระบวนการสันติภาพที่ควรเป็นเส้นทางของหวังจึงกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ผู้คนทยอยถอดใจ ถอยห่างออกมา ความร่วมมือเชิงเครือข่ายของภาคประชาสังคมและคนที่มีใจให้ตลอด 10 ปีที่คอยหนุนเสริมสันติภาพในภาพใหญ่ (Peace writ Large) กลายเป็นต่างคนต่างทำในงานของตัวเองเป็นสันติภาพเชิงย่อยเล็ก ๆ (Peace writ Little) เต็มพื้นที่ จนเกือบขาดการเชื่อมโยงระหว่างกัน เพื่อไปสู่เป้าหมายเดียวกัน จึงควรที่จะได้มาทบทวนร่วมกัน…
ทำไมการพูดคุยสันติภาพชายแดนใต้นั้นเปราะบาง?
หมุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่สร้างมรดกของความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนใต้ไว้ คือ การลงนามในสนธิสัญญาอังกฤษ-สยาม ในปี 2452 (Anglo-Siamese Treaty of 1909) ส่งผลให้ดินแดนแถบนี้ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยามที่เป็นรัฐชาติสมัยใหม่ สมัยรัชกาลที่ 5 นโยบายกลมกลืนถูกต่อต้านอย่างหนักหน่วงจากคนมลายูมุสลิมในพื้นที่ การปราบปรามของรัฐไทยด้วยการจับกุมคุมขัง ดำเนินคดี ไปจนถึงการอุ้มหายนำไปสู่การต่อต้านที่รุนแรง มากขึ้น จนเกิดกลุ่ม/ขบวนการปลดปล่อยปาตานี และกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่ม ตั้งแต่ปี 2502 ซึ่งรากความคิดมีอิทธิพลต่อทิศทางของความขัดแย้งรุนแรงจนถึงปัจจุบัน
มีหลักฐานการพยายามหาทางออกทางการเมืองลักษณะ “การพูดคุย ทางลับ” (Peace talk) จากความขัดแย้งนี้ ริเริ่มครั้งแรกในปี 2534 สมัย รัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน เมื่อ 8 พฤศจิกายน 2534 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และต่อมา เมื่อวันที่ 9-12 เมษายน 2536 มีการพูดคุยกันอีก ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ จากนั้นได้มีการสานต่อโดยรัฐบาลชวน หลีกภัย (มีอำนาจช่วงปี 2536-2538) โดยมีการพูดคุยทางลับอีกครั้ง เมื่อวันที่ 12-16 เมษายน 2537 ณ กรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย การพูดคุยในช่วงเริ่ม แรกดำเนินการโดยคณะฝ่ายไทยกับแกนนำพูโล
และต่อมารัฐบาลชวน หลีกภัย ได้มีการจัดทำนโยบายความมั่นคงแห่ง ชาติเกี่ยวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ (พ.ศ. 2542-2546) ของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) จากนโยบายดังกล่าว ทำให้แนวทางแก้ไขมีความเป็นเฉพาะมากขึ้นและได้ถือปฏิบัติ สานต่อโดยรัฐบาลสมัยหลัง การพูดคุย ก็ได้ดำเนินอย่างต่อเนื่องในประเทศตะวันออกกลาง ยุโรป อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย
ปี 2536 สมัยชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งส่งคนไปหาข่าว และพูดคุยเจรจาไปด้วยในตัว และพูดคุยเพื่อชักชวนให้กลับมาร่วมโครงการพัฒนาชาติไทย โดยเปิดทางแก้ปัญหาเกี่ยวกับคดีความและไกล่เกลี่ยคู่ความ การพูดคุยเจรจาในห้วงนี้เกิดขึ้นที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ และกรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย แต่ต้องยุติลงเพราะรัฐไทย กังวลว่าฝ่ายขบวนการจะยกระดับเป็นการเมืองระหว่างประเทศ 6 นั่นคือความพยายามแรกเมื่อ 22 ปี ก่อนจะมีการริเริ่มพูดคุยสันติภาพอย่างเป็นทางการ ปี 2556 สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ก่อร่างความคิดการพูดคุยสันติภาพเชิงนโยบาย
ตัดความมาที่ประวัติศาสตร์ระยะใกล้ หลังจากการประทุขึ้นของความตึงเครียดไม่ลงรอยระหว่างรัฐไทยกับชาวมลายูปาตานีที่ดำเนินมากว่าศตวรรษ เมื่อปี 2547 อีกครั้ง โดยยืดเยื้อเกือบ 20 ปี ด้านหนึ่ง เส้นทางกระบวนการ สันติภาพเดินทางอย่างเงียบ ๆ มาตลอด เดินหน้าบ้าง ถอยหลังบ้าง และสะดุดหยุดลงบ้าง จนกลายเป็นโครงสร้างเชิงนโยบายรองรับการพูดคุยสันติภาพอย่างเป็นทางการไว้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนอีกกี่รัฐบาลก็ต้องเดินตามเส้นทางนี้ต่อไป มีหลายช่วงเวลาที่สาธารณะควรรับรู้ไปพร้อมกัน อาทิ การพูดคุยที่ลังกาวี มาเลเชีย ช่วงปี 2548-2549 การพูดคุยที่โบกอร์ อินโดนีเชีย ช่วงปี 2551 ความริเริ่มขององค์กรความร่วมมืออิสลาม (OIC) ช่วงปี 2553-2555 กระบวนการเจนีวา ที่ใช้เวลายาวนาน ตั้งแต่ปี 2549-2554 จนกระทั่งการริเริ่มพูดคุยสันติภาพระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทยและตัวแทนขบวนการต่อสู้ด้วยอาวุธเพื่อปลดปล่อยชาวปาตานี “อย่างเป็นทางการ” เมื่อปี 2556 จนถึงปัจจุบัน
การพูดคุยที่ลังกาวี: หลังเหตุการณ์ปล้นปืนที่ค่ายปิเหล็ง จ.นราธิวาส ปี 2547 ความริเริ่มแรกที่ชัดเจนมากจาก มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ภายหลังจากที่เขาเดินทางมาประเทศไทยและได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 จากนั้น ช่วงปี 2548-2549 ทางมาเลเซียเริ่มประสานงานเพื่อนำตัวแทนฝ่ายขบวนการและฝ่ายไทยมาพูดคุยกันที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งบนเกาะลังกาวี ตอนเหนือของมาเลเซีย ในการพูดคุยครั้งนั้นมี ‘พลโท ไวพจน์ ศรีนวล’ ผู้อำนวยการศูนย์รักษาความปลอดภัย และ ‘พลเอก วินัย ภัททิยกุล‘ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สมัยนั้นเป็นตัวแทนฝ่ายไทย ส่วนตัวแทนฝ่ายขบวนการ ได้แก่ GMIP (Gerakan Mujahideen Islam Pattani) กลุ่มพูโล (Patani United Liberation Organization) กลุ่มบีอาร์เอ็น (Berisan Revolusi Nasional) และเบอร์ซาตู (องค์กรร่วมของขบวนการปลดปล่อยปาตานี ที่มี วันกาเดร์ เจ๊ะมัน เป็นประธาน ขณะนี้ไม่มีการเคลื่อนไหวแล้ว) จนได้ “รายงานข้อเสนอเพื่อสันติภาพสำหรับภาคใต้ของไทย” (Peace Proposal for Southern Thailand) ส่งถึง ‘ทักษิณ ชินวัตร’ นายกฯ ขณะนั้น ทว่า เขาไม่ให้ความสนใจกับเอกสารนั้นเท่าใดนัก มาเลเซียได้พยายามอีกหลายครั้งในการยื่นข้อเสนอในการช่วยประสานงานการพูดคุยกับขบวนการ แต่ไม่ได้รับการตอบรับจากไทย
การพูดคุยครั้งนี้ไม่ถูกสานต่อ เพราะรัฐบาลทักษิณเผชิญกับกระแสต่อต้านรุนแรงจาก “กลุ่มเสื้อเหลือง” ซึ่งนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนรัฐบาลต้องตัดสินใจยุบสภาฯ ต่อมา 19 กันยายน 2549 กลุ่มทหารได้ก่อรัฐประหารขึ้นเพื่อกันไม่ให้ ทักษิณกลับมามีอำนาจ และการเมืองไทยส่วนกลางเริ่มขัดแย้งมากขึ้นเรื่อย ๆ นับจากนั้น
การพูดคุยที่โบกอร์: 2 ปีต่อมา ในเดือนกันยายน 2551 ในยุคของนายกฯ สมัคร สุนทรเวช ยูซุฟ คาล์ล่าร์ รองประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ผู้มีบทบาทในการสร้างสันติภาพในอาเจะห์ ได้ริเริ่มการพูดคุยในกรอบใหม่ ที่วังของประธานาธิบดีในเมืองโบกอร์ ด้านตะวันตกของเกาะชวา ตัวแทนฝ่ายไทยนำโดย ‘พลเอก ขวัญชาติ กล้าหาญ’ ที่ปรึกษารัฐมนตรีกลาโหมและอดีตแม่ทัพภาค 4 และทีมรวม 5 คน ฝ่ายขบวนการ 15 คน ซึ่งเรียกตนเองว่า Pattani Malay Consultative Congress (PMCC) ประกอบด้วยตัวแทนจาก GMIP PULO BIPP ทว่า ยังไม่ทันเจรจาเนื้อหาใด ๆ การพูดคุยนี้ต้องยุติลง เพราะเป็นข่าวในสื่อท้องถิ่นของฟิลิปปินส์เสียก่อน ทำให้กระทรวงการต่างประเทศของไทยปฏิเสธว่าผู้ที่เดินทางไปนั้นไม่ใช่ตัวแทนรัฐ มีนักวิเคราะห์ระบุว่า รองประธานาธิบดียูซุฟต้องการสร้างชื่อเสียงในเวทีระหว่างประเทศ และเตรียมลงแข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดี ทำให้การพูดคุยครั้งนี้ต้องยุติไปโดยปริยาย
ความริเริ่มของโอไอซี: นอกจากมาเลเซียและฟิลิปปินส์ การเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนสร้างความกังวลใจให้กับรัฐบาลไทยมากที่สุด คือการดำเนินการขององค์การความร่วมมืออิสลาม (Organization of the Islamic) รัฐบาลไทยวิตกกังวลมาตลอดว่า หากความขัดแย้งชายแดนภาคใต้กลายเป็นประเด็นสากลก็อาจนำไปสู่การแบ่งแยกดินแดน และยืนยันอย่างต่อเนื่องว่าความขัดแย้งภาคใต้เป็นเรื่อง “ภายใน” (internal affairs) จะคัดค้านความเคลื่อนไหวใด ๆ ก็ตามที่นำเรื่องนี้ไปหารือในเวทีระหว่างประเทศ โดยนักวิเคราะห์มองว่า โอไอซีเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ฝ่ายขบวนการคาดหวังมากที่สุดที่จะใช้เป็นเวทีในการหาพันธมิตรและเสียงสนับสนุนต่อการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชของชาวปาตานี ซึ่งกลุ่มพูโลมีความถนัดในการเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศมากที่สุด ขณะที่ประเทศไทยไม่ได้เป็นสมาชิกของโอไอซี แต่ได้รับสถานะเป็น “ผู้สังเกตการณ์” ในปี 2541 ในฐานะประเทศที่มีคนมุสลิมเป็นประชากรส่วนน้อย ฝ่ายขบวนการต้องการให้โอไอซีเข้ามาเล่นบทบาทเป็นคนกลางเจรจาอย่างที่เคยทำในการคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลฟิลิปปินส์กับกลุ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราช (MNLF-Moro National Liberation front) ในหมู่เกาะมินดาเนา โดยพูโลพยายามเรียกร้องให้โอไอซีนำปัญหาภาคใต้เข้าไว้เป็นวาระพูดคุย และช่วงปลายเดือนกันยายน – ต้นเดือนสิงหาคม 2553
โอไอซีได้ร่วมพูดคุยกับขบวนการปลดปล่อยปาตานีหลายกลุ่มพร้อมกัน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย และที่นครเจดดาห์ ซาอุดิอาระเบีย เฉพาะการพูดคุยที่มาลเซียนั้น มีการตั้งองค์กรร่วมที่ชื่อว่า United Pattani People Council (UPPC) โดยหวังจะให้เป็นแกนกลางในการขับเคลื่อนการเมืองของกลุ่มปลดปล่อยปาตานีผ่านเวทีโอไอซี ทำให้รัฐบาลไทยไม่พอใจถึงกับส่งหนังสือประท้วงไปยังรัฐบาลมาเลเซียที่อนุญาตให้มีการจัดประชุมดังกล่าว
รัฐบาลไทยพยายามล็อบบี้ไอโอซีด้วยการเชิญตัวแทนระดับสูงมาเยือนประเทศไทย ในเดือนพฤษภาคม 2555 ปรากฏว่าช่วงที่ Sayed Kasim EI-Masry ที่ปรึกษาประธานโอไอซีและคณะ ลงพื้นที่ภาคใต้ และมีโอกาสเข้าร่วมประชุมที่จัดโดยภาคประชาสังคมกลับเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเปิดการพูดคุยกับฝ่ายขบวนการโดยเร็วเพื่อแก้ปัญหา และในที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของโอไอซีครั้งที่ 39 เดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ในแถลงการณ์เกี่ยวกับชาวมุสลิมที่เป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศที่ไม่ใช่สมาชิกไอโอซี ระบุว่า ความก้าวหน้าในการแก้ปัญหาภาคใต้นั้น “ยังไม่เพียงพอ” และเสนอให้รัฐบาลไทย “ดำเนินการพูดคุยกับแกนนำของคนมุสลิมเพื่อหาทางออกและอนุญาตให้ชาวมุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้นั้นมีสิทธิที่พึงจะได้รับ” กล่าวคือ โอไอซีเล่นบทประนีประนอมไม่เข้ามามีบทบาทโดยตรง แต่ใช้วิธีกดดันรัฐบาลไทยแทน
กระบวนการเจนีวา: มีลักษณะการขับเคลื่อนต่างออกไป โดยตัวละครหลักคือ องค์กรเอกชนระหว่างประเทศ คือ ‘HD Certer’ หรือ ‘ศูนย์การพูดคุยเพื่อมนุษยธรรม’ (Center for Humanitarian Dialogue) ซึ่งเป็นองค์กรหลักทำงานผลักดันให้เกิดการพูดคุยระหว่างรัฐบาลไทยกับกลุ่มขบวนการ มาตั้งแต่ปี 2549 ในช่วงสมัยรัฐบาลของ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งได้มีประกาศนโยบายปรองดองและแสดงความพร้อมในการเปิดการพูดคุยกับกลุ่มขบวนการปลดปล่อยปาตานี ‘เอชดี’ ได้ประสานให้เกิดการพบกันระหว่างนายกฯ สุรยุทธ์ และ คัสตูรี มาห์กอตา ตัวแทนพูโลที่ประเทศบาห์เรน ช่วงท้ายของปี 2550 ไม่นานนัก, รัฐบาลรักษาการ (หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549) ก็หมดอำนาจลง
ต่อมา ยุค ‘สมัคร สุนทรเวช’ เป็นนายกฯ ทางกลุ่มพูโลเสนอทำ “พื้นที่สันติภาพ” (Peace Zone) เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นสร้างความเชื่อมั่นระหว่างคู่ขัดแย้ง ในยุคนี้ สมัครไม่มีสมาธิในการแก้ไขปัญหาภาคใต้อำนาจจึงอยู่ในมือของกองทัพเป็นหลัก
เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว, ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน ในเดือนธันวาคม 2551 กลุ่มพูโลร่วมกับสมาชิกของบีอาร์เอ็น-โคออร์ดิเนทตั้งองค์กรร่วมชื่อ “ขบวนการปลดปล่อยปาตานีมลายู” (Patani Malay Liberation Movement – PMLM) ในเดือนมกราคม 2553 ต่อมาเดือนมิถุนายน ปีเดียวกัน PMLM ได้เสนอหยุดยิงฝ่ายเดียว 3 อำเภอ ใน จ.นราธิวาส คือ อ.เจาะไอร้อง อ.ยี่งอ และ อ.ระแงะ เพื่อแสดงให้เห็นว่าขบวนการมีความจริงใจในการพูดคุยและมีความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวในพื้นที่ได้ โดยการหยุดยิงครั้งนั้น ครอบคลุมเฉพาะปฏิบัติการโจมตีเจ้าหน้าที่ความมั่นคงและเป้าหมายของรัฐเท่านั้น
รัฐบาลอภิสิทธิ์ รับทราบการดำเนินการนั้นอย่างเงียบ ๆ และติดตามการพูดคุยสันติภาพชายแดนใต้มาโดยตลอด ทำให้งานของ ‘เอชดี’ เกิดจุดเปลี่ยนที่มีนัยสำคัญคือ ปลายสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์มีคำสั่งให้ สมช. ดำเนินการยกระดับการพูดคุยให้เป็น “ทางการ” ที่พึงตราเอาไว้ว่าเป็นการปูพื้นฐานอันชอบธรรมและถูกกฎหมายให้กับกระบวนการพูดคุยสันติภาพ โดยการออกนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2555 – 2557 ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการบริหาราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553 ในมาตรา 4 ความเป็นทางการ และ “ถูกกฎหมาย” ได้ปรากฏในนโยบายตามวัตถุประสงค์ที่ 8 ระบุถึงการสร้าง “สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและเอื้อต่อการพูดคุยในการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้ง” และให้หลักประกันในการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้เสียในการเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการสันติภาพ
ในมุมมองของ ‘ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี’ ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Watch) “นี่คือการวิเคราะห์ปัญหาและ ‘การตั้งโจทย์ปัญหา’ ต่อความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้น และปรากฏเป็นครั้งแรกในเอกสารนโยบายแห่งรัฐ”
ไม่กี่เดือนหลังจากได้รับ “ไฟเขียว” จากรัฐบาล วันที่ 9 พฤษภาคม 2554 ‘ถวิล เปลี่ยนศรี’ เลขาธิการ สมช. ขณะนั้น ก็ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่ารัฐบาลต้องการสนับสนุนการพูดคุยกับ “ผู้เห็นต่างจากรัฐ” ซึ่งคำนี้นับเป็นนวัตกรรมทางวาทกรรมที่สร้างการมองคู่ขัดแย้งด้วยมุมมองใหม่ เป็นภาษาที่เข้ามาทดแทนคำว่า “ผู้ก่อความไม่สงบ” หรือ “ผู้ก่อเหตุรุนแรง” ที่ฝ่ายความมั่นคงและสื่อมวลชนใช้กันอย่างเผยแพร่ก่อนหน้านี้ และ สมช.เห็นด้วยกับการกระจายอำนาจ ไม่มีอะไรขัดข้องหากมีการปกครองรูปแบบพิเศษชายแดนใต้ซึ่งนักวิเคราะห์ต่างประเทศกลับมองว่า นี่คือความอ่อนไหวของรัฐบาลไทย พยายามลดทอนความเป็นทางการเมืองของความขัดแย้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการเมืองของฝ่ายขบวนการยกระดับความรุนแรงในพื้นที่เป็น “การขัดกันทางอาวุธที่ไม่มีลักษณะระหว่างประเทศ” (non-international armed conflict) ตามอนุสัญญาเจนีวาหรือไม่ เพราะจะเป็นการเปิดประตูให้ประชาคมระหว่างประเทศภายใต้การดูแลของสหประชาชาติแทรกแซงการดำเนินการของรัฐบาลไทยได้
เปิดฉากการพูดคุยที่กรุงกัวลาลัมเปอร์
ไม่กี่เดือนหลังจากนั้นการเมืองศูนย์กลาง – กรุงเทพฯ มีส่วนอย่างสำคัญในการกำหนดทิศทางของการพูดคุยสันติภาพอีกครั้ง กระแสลมกลับเปลี่ยนทิศ หลังจาก ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ น้องสาวคนเล็กของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชนะการเลือกตั้งและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในเดือนสิงหาคม 2554 แกนหลักที่ขับเคลื่อนให้เกิดการพูดคุยกับกลุ่มขบวนการปลดปล่อยปาตานีอย่างเป็นทางการ ก็คือ อดีตนายกฯ ทักษิณ ซึ่งลี้ภัยการเมืองอยู่นอกประเทศนั่นเอง
นอกจากจะเปลี่ยนข้าราชการที่กุมบังเหียนงานภาคใต้จากฝ่ายทหารให้เป็นฝ่ายของตนเองแล้ว เช่น การแต่งตั้ง ‘พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง’ เป็นเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยเขาเคยลงมาคลุกภาคใต้หลังเหตุการณ์ปล้นปืนในบทบาทของรองอธิบดีกรมสอบสวนพิเศษ (DSI) และถูกวางตัวให้คุมงานภาคใต้ให้พรรคเพื่อไทย ส่วนอดีตนายกฯ ทักษิณ ได้ไปพบกับ ‘นาจิบ ราชัค’ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เดือนมกราคม 2555
โดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวที่เคยมีขอให้มาเลเซียช่วยประสานงานเรื่องการพูดคุย เพื่อให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ไปแนะนำตัวและสานต่อ หารือเรื่องนี้กับ นาจิบ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ท่าทีของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ นับว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญเชิง นโยบายของรัฐไทย ซึ่งที่ผ่านมายังลังเล กระทั่งปิดกั้นการเข้ามามีส่วนร่วมของรัฐบาลมาเลเซียในการแก้ปัญหาภาคใต้ เพราะมองว่ามาเลเซียอาจมีผลประโยชน์ไม่เป็นกลาง
ต่อมา ทั้งนักวิเคราะห์และฝ่ายความมั่นคงระบุว่า ทักษิณได้ไปพบแกนนำขบวนการปลดปล่อยปาตานี 17 คน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ช่วงกลางเดือนมีนาคม 2555 หลังจากนั้น 2 สัปดาห์เกิดเหตุระเบิดคาร์บอมพร้อมกันสองแห่งในวันที่ 31 มีนาคม ที่โรงแรมลี การ์เดน ใจกลางเมืองหาดใหญ่ และที่ถนนรวมมิตร ย่านธุรกิจการค้าในตัวเมืองยะลา แรงระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิต 14 คน และบาดเจ็บอีกว่า 400 คน ภายหลังเหตุการณ์นั้น, ฝ่ายค้านกล่าวโทษว่าเป็นผลจากทักษิณไปคุยกับกลุ่มขบวนการ ‘พลเอก ประยุทธ์ จันทรโอชา’ ผู้บัญชาการทหารบกกล่าวกับสื่อว่า เหตุการณ์ นี้อาจเกิดจากการพูดคุยไม่ครบกลุ่ม เพราะพวกเขาต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อแย่งชิงการนำ
แม้จะเกิดเสียงคัดค้านจากฝ่ายค้าน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังยืนยันส่งตัวแทนประสานงานกับทางมาเลเซียอย่างต่อเนื่อง ในที่สุด, การลงนามเปิดฉากการพูดคุยก็เกิดขึ้นในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดย ‘พล.ท. ภราดร พัฒนถาบุตร’ เลขาธิการ สมช. เป็นตัวแทนของฝ่ายไทย (ปาร์ตี้ A) กับ ‘อัสซัน ตอยิบ’ ตัวแทนของฝ่ายขบวนการปลดปล่อยปาตานี (ปาร์ตี้ B) ได้ร่วมลงนาม “ฉันทามติทั่วไปว่าด้วยการพูดคุยสันติภาพ” (General Consensus on the Peace Dialogue Process)
รายละเอียดข้อตกลงมีประเด็นสำคัญ คือ (1) พล.ท. ภราดร ในฐานะเลขาธิการ สมช. เป็นหัวหน้าคณะในการ “สร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการเสริมสร้างสันติภาพ” (2) รัฐบาลไทย (ปาร์ตี้ A) มีความต้องการที่จะ “ร่วมพูดคุยกับผู้ที่มีความเห็นและอุดมการณ์ที่แตกต่างจากรัฐ” (3) กระบวนการนี้จะเดินการภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญไทย (4) มาเลเซียจะเป็นผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) และ (5) ผู้ที่เกี่ยวข้องในกลุ่มที่ดำเนินการร่วมกันนี้จะได้รับหลักประกันเรื่องความปลอดภัย
‘รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช’ หนึ่งในนักวิเคราะห์สถานการณ์ขณะนั้น มองว่า การใช้คำว่า ปาร์ตี้ A และ B โดยไม่ได้ระบุชัดเจนลงไปว่าเป็นบีอาร์เอ็นเท่านั้น เป็นการเปิดโอกาสให้มีการรวมเอากลุ่มอื่น ๆ เข้าไปร่วมภายหลังได้ ซึ่งจะเห็นต่อไปว่ามีการพัฒนาการที่จะนำเอากลุ่มพูโล และบีไอพีพี เข้ามาร่วมด้วย แม้ไม่ได้ใช้ชื่อบีอาร์เอ็น แต่ว่าในข้อตกลงนี้ก็มีตราประทับว่า “BRN” ในการลงนามของปาร์ตี้ B ด้วย ทำให้ภายหลังมีข้อสงสัยว่า บีอาร์เอ็นที่เชื่อกันว่าแยกออกเป็นสามฝ่าย คือ อูลามา, คองเกรส และโคออร์ดิเนทนั้น รวมตัวกันแล้วหรือ แล้วการลงนามจึงกระทำโดยกลุ่มบีอาร์เอ็น โดยไม่มีคำขยายต่อท้าย
ส่วนข้อตกลงที่ว่าด้วยการพูดคุยนี้จะดำเนินไป “ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญไทย” ทำให้ชาวมลายูปาตานีส่วนหนึ่งที่ยังต้องการสู้เพื่อเอกราช ทั้งที่อยู่ในขบวนการและผู้สนับสนุน เช่น กลุ่มนักศึกษา และอดีตนักศึกษาที่เคยเคลื่อนไหวอย่างสันติ ได้ออกมาแสดงความเคลือบแคลงสงสัยว่า คณะผู้แทนฝ่ายปาร์ตี้ B นั้นเป็นตัวแทนที่แท้จริงของขบวนการปลดปล่อยปาตานีหรือไม่ ทำไมจึงยอมรับที่จะพูดคุยในกรอบรัฐธรรมนูญไทยโดยง่าย ซึ่งโดยนัยก็หมายความว่าได้ยอมละเป้าหมายสูงสุดเรื่อง “เอกราช” ไปแล้ว การยอมรับเงื่อนไขนี้, ทำให้นักเคลื่อนไหวบางส่วนไม่มั่นใจที่จะสนับสนุนหรือกระทั่งต่อต้านการพูดคุยในกรอบนี้ทั้งหมด
เรื่องสถานะและหน้าที่ของมาเลเซียก็เป็นอีกประเด็นที่มีการถกเถียงอย่างกว้างขวาง ในข้อตกลงนี้ ระบุให้มาเลเซียทำหน้าที่ “ผู้อำนวยความสะดวก” (facilitator) ไม่ใช่ “ผู้ไกล่เกลี่ย” (mediator) นายกฯ นาจิบ ได้แต่งตั้ง ‘อาหมัด ซัมซามิน ฮะซิม’ อดีตรองอธิบดีหน่วยข่าวกรองให้ทำหน้าที่นี้ และเป็นประธาน “คณะทำงานร่วมว่าด้วยกระบวนการพูดคุยสันติภาพในภาคใต้ของไทย” (Joint Working Group on Peace Dialogue Process on Southern Thailand – JWG-PDP)
รุ่งรวี ระบุว่า ความหมายอย่างเคร่งครัดของผู้อำนวยความสะดวก คือ มีหน้าที่ดำเนินการเพื่อให้คู่ขัดแย้งได้พบและพูดคุยเท่านั้น โดยไม่ได้เข้าไปมีบทบาทเป็นคนกลางในการพูดคุยด้วย บทบาทของมาเลเซียและการเมืองของ “ชื่อเรียก” นี้เป็นประเด็นสำคัญในการถกเถียงภายหลังหลายครั้ง
และยังมีผู้ตั้งข้อสังเกตกันมากว่าการลงนามในครั้งนี้ “บีอาร์เอ็น” อาจถูกกดดันจากรัฐบาลมาเลเซีย เพราะคนเตรียมการพูดคุยครั้งนี้ คือ ‘อาวัง ยาบะ’ ฝ่ายประสานงานขบวนการ ผู้มีความใกล้ชิดกับตำรวจสันติบาลของมาเลเซีย ส่วน ‘อุสตาซฮัสซัน’ เพิ่งมาเข้าร่วมไม่กี่วันก่อนหน้าลงนาม ทั้งยังมีเรื่องเล่าจากผู้ใกล้ชิดเหตุการณ์ว่าเขาถูกควบคุมตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์จากตอนเหนือของมาเลเซียไปยังกัวลาลัมเปอร์ โดยมีนัยว่าเขาอาจจะถูกบังคับให้เข้าร่วมลงนาม รวมทั้งบางกระแสก็อ้างว่าเขายังไม่ได้รับอนุมัติจาก “สภาองค์กรนำ” (Dewan Pimpinan Parti – DPP) แต่หลังจากลงนามแล้ว ทางสภาองค์กรนำได้มีการปรึกษาหารือกัน โดยได้มีฉันทามติร่วมในช่วงต้นเดือนมีนาคม 2556 ว่าให้เดินหน้าเรื่องการพูดคุยต่อไป
โดยหลังจากนั้น ฝ่ายปาร์ตี้ B มีการตั้งองค์ประกอบของคณะผู้แทนการพูดคุยใหม่รวมทั้งสิ้น 6 คน โดย ‘อัสซัน ตอยิบ’ ยังเป็นหัวหน้าคณะเหมือนเดิม ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2556 พวกเขาได้พบปะกับกลุ่มนักข่าวไทย 7 คนจากกรุงเทพฯ และเปิดเผยว่า พวกเขาเข้าร่วมพูดคุยด้วยความเต็มใจ แม้ว่าในช่วงแรก ๆ จะมีบางกลุ่มที่ไม่อยากเข้าร่วม เพราะว่าทักษิณเป็นผู้แสดงบทบาทนำในการชักชวนให้เข้าร่วมพูดคุย และพวกเขามีเงื่อนไข 3 ประการ คือ (1) ฝ่ายไทยต้องประกาศดำเนินการพูดคุยอย่างชัดเจน (2) มีมาเลเซียเป็นคนกลางประสานงาน และ (3) การพูดคุยต้องครอบคลุมทุกกลุ่มที่ปฏิบัติการในพื้นที่ และพวกเขายอมรับว่าในช่วงเวลาลงนามนั้น ฝ่ายขบวนการยังไม่พร้อม แม้จะมีเจตนาจะเข้าร่วมอยู่แล้ว หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้แก้ไขกระบวนการภายในที่เป็นจุดอ่อน
การพบกันของ “นักล่าอาณานิคมสยามกับบีอาร์เอ็น”
การลงนาม“ฉันทามติทั่วไปว่าด้วยการพูดคุยสันติภาพ” ของคู่ขัดแย้ง คือแรงเหวี่ยงไปสู่วาทกรรมสันติภาพจึงถูกยกระดับขึ้นอย่างชัดเจน ในปี 2556 หลังจากนั้นทำให้เกิดการพูดคุยร่วมกันถึง 3 รอบ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ทว่า เรื่องที่ควรถูกบันทึกไว้ อย่างที่กล่าวข้างต้น, “ข้างนอก” โต๊ะพูดคุยเริ่มมีกระแสจากแนวร่วมบางส่วนของขบวนการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยปาตานีต่อต้านกรอบการพูดคุยภายใต้รัฐธรรมนูญไทย เพราะเห็นว่าเป็นการละวางเป้าหมายเอกราช ดังนั้น
ในการพบกันครั้งแรกระหว่างตัวแทนรัฐไทยและฝ่ายขบวนการ วันที่ 28 มีนาคม 2556 ‘ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี’ อาจารย์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี หนึ่งใน 9 ตัวแทนฝ่ายรัฐบาลไทย เล่าว่า ทางฝ่ายบีอาร์เอ็นใช้เวลาค่อนข้างนานเพื่ออธิบายถึงความอึดอัดคับข้องใจที่ถูกรัฐสยามกระทำในอดีต ตัวแทนฝ่ายขบวนการอธิบาย “ปัญหารากเหง้าของความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นความผิดของขบวนการบีอาร์เอ็นฝ่ายเดียว แต่จะต้องพูดถึงว่ารัฐไทยก็เป็นเงื่อนไขที่ทำให้เกิดความรุนแรงด้วยเช่นกัน”
โดยอธิบายถึงความรู้สึกสะเทือนใจที่พี่น้องมลายูปาตานีถูกรัฐไทยกระทำมาตั้งแต่อดีต เช่น กรณีการหายตัวไปของหะยีสุหลง อับดุลกอเดร์ ผู้นำศาสนาคนสำคัญ เหตุการณ์กบฎดุซงญอ การสังหาร 6 ศพที่สะพานกอตอในปี 2518 ซึ่งส่งผลให้เกิดการประท้วงใหญ่ที่ จ.ปัตตานี และเกิดการปราบปรามรุนแรงขึ้นหลังจากนั้น จนมาถึงเหตุการณ์กรือเซะและตากใบ ในปี 2547 ‘ศรีสมภพ’ กล่าวว่า ฝ่ายขบวนการบีอาร์เอ็นบางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ในขณะที่เล่าถึงเรื่องราวในอดีต ขณะที่คณะผู้แทนของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐไทยก็นั่งนิ่งรับฟังอย่างสงบ ทุกคนตั้งใจที่จะรับฟังความเจ็บปวดของพี่น้องประชาชนปาตานี
และก่อนการพูดคุยครั้งที่ 2 เพียงสามวัน คือวันที่ 26 เมษายน 2556 ‘ฮัสซัน ตอยิบ’ และ ‘อับดุลการิม คาลิบ’ สมาชิกระดับนำ ดูแลฝ่ายเปอร์มูดอ (วัยรุ่นชาย) ตัวแทนของฝ่ายขบวนการบีอาร์เอ็น สร้างความประหลาดใจด้วยการแถลงการณ์ต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกผ่านยูทูบ โดยมิได้แจ้งแก่ฝ่ายไทยและผู้อำนวยความสะดวกล่วงหน้า ได้อธิบายการก่อตั้งบีอาร์เอ็นมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติของชาวมลายูปาตานี เพื่อสร้างอุมมะห์ (ประชาชาติ) ที่มีความแข็งแกร่ง ซึ่งหมายรวมถึงทั้งคนเชื้อสายไทย มลายู จีน ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินปาตานี พวกเขาต่อสู้เพื่อให้ได้อิสรภาพและการปกครองที่มีความยุติธรรมสูงสุด รวมทั้งอธิบายถึงสาเหตุที่ปาตานี “ตกเป็นอาณานิคม” ของสยามตั้งแต่ ค.ศ. 1776 ทำให้ต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบ “กดขี่” และ “โหดร้าย”
และปิดท้ายด้วยการยื่นข้อเรียกร้อง 5 ข้อถึง “นักล่าอาณานิคมสยาม” คือรัฐไทย คือ (1) ยอมรับให้มาเลเซียเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ไม่ใช่เพียงผู้อำนวยความสะดวก (2) ยอมรับการพูดคุยกับชาวปาตานีครั้งนี้ นำโดยบีอาร์เอ็น (3) ยอมรับให้มีสักขีพยานจากประเทศอาเซียน โอไอซี และเอ็นจีโอต่างประเทศ (4) ยอมปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมตัวและยกเลิกหมายจับในคดีความมั่นคงทั้งหมด โดยไม่มีเงื่อนไข และ (5) ยอมรับว่าบีอาร์เอ็นเป็นขบวนการปลดปล่อยปาตานีไม่ใช่กลุ่มแบ่งแยกดินแดน
นักวิเคราะห์วงในอธิบายการแถลงผ่านยูทูบที่แข็งกร้าวนี้ เพื่อเรียกศรัทธาและแรงสนับสนุนจากสมาชิกระดับปฏิบัติการได้มากขึ้น บีอาร์เอ็นเองจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับสมาชิกระดับปฏิบัติการและผู้สนับสนุนตนเช่นกัน เพราะหากปราศจากการสนับสนุนของมวลชนแล้ว ขบวนการก็เสี่ยงที่จะเผชิญการล่มสลายได้
แต่การยื่นข้อเรียกร้องนอกโต๊ะพูดคุยทำให้ฝ่ายไทยรู้สึกไม่สบายใจส่งผลให้เกิดกความตึงเครียดในการพูดคุยครั้งที่สอง มีการวิพากษ์วิจารณ์กันในสื่ออย่างกว้างขวางว่ารัฐบาลเพลี่ยงพล้ำ ถูกฝ่ายบีอาร์เอ็นรุกคืบ ‘พลเอกประยุทธ์’ ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องทั้งห้า และย้ำว่าเรื่องนี้ควรจะเป็น “เรื่องภายใน” ของไทย แม้แต่ อภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านก็กังวลใจ เห็นว่าหากมาเลเซียเข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย และองค์กรต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้องอาจจะทำให้ปัญหา “ลุกลามมากขึ้น”
ทำให้ตัวแทนบีอาร์เอ็นออกแถลงการณ์ผ่านยูทูบอีกเป็นครั้งที่ 2 วันที่ 24 พฤษภาคม 2556 อธิบายย้ำถึง 3 ประเด็นหลักที่ทำให้เกิดขบวนการปลดปล่อยปาตานี (1) ชาวมลายูปาตานีถูกบังคับให้ใช้ชีวิตภายใต้การกดขี่ปกครองแบบอาณานิคมของสยามที่โหดร้ายเป็นเวลาหลายร้อยปี มีการสังหารชาวมลายูจำนวนมากและถูกทำให้หายตัวไป โดยไม่ทราบว่าหลุมฝังศพอยู่ที่ใด (2) คนรุ่นใหม่สูญเสียอัตลักษณ์อันเป็นผลจากการเปลี่ยนระบบการศึกษาแบบมลายูเป็นไทย และ (3) ชาวมลายูต้องมีชีวิตอยู่อย่างยากจน แม่ว่าดินแดนจะอุดมสมบูรณ์ ชาวมลายูหลายแสนคนต้งอพยพไปทำงานที่มาเลเซียหรือประเทศอื่น ๆ เพราะไม่สามารถทำงานที่บ้านเกิดได้ แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่เรื่องการเรียกร้องให้รัฐไทยยอมรับ “สิทธิความเป็นเจ้าของแผ่นดินปาตานี”
จากนั้นอีก 4 วันต่อมา, บีอาร์เอ็นได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 3 ได้วิพากษ์วิจารณ์ความไร้เอกภาพของรัฐไทยในการดำเนินนโยบายภาคใต้และเรียกร้องให้รัฐกำหนดให้เรื่องนี้เป็น “วาระแห่งชาติ” การเคลื่อนไหวนอกเวทีนี้เกิดขึ้นประมาณสองสัปดาห์ ก่อนการพูดคุยครั้งที่สามจะเกิดขึ้น
รอมฎอนกับการริเริ่มลดความรุนแรง
‘ศรีสมภพ’ เห็นว่า ในการบันทึกเส้นทางกระบวนการสันติภาพปาตานีนั้น ภาพที่น่าจดจำหนึ่ง คือการที่สองฝ่ายคู่ขัดแย้งร่วมกันประกาศ “ความเข้าใจร่วมกัน: ความริเริ่มสันติภาพในเดือนรอมฎอน 2556” ในวันที่ 12 กรกฎาคม 2556 สองวันหลังเดือนละศีลอดได้เริ่มต้นขึ้น การหยุดความรุนแรงมีผลอย่างชัดเจนในช่วงสัปดาห์แรก หลังคำประกาศดังกล่าว แต่แล้วก็มีการกล่าวหาซึ่งกันและกันเรื่องการละเมิดข้อตกลง จนกระทั่งสองวันก่อนสิ้นสุดเดือนรอมฎอน ทางบีอาร์เอ็นได้ประกาศออกทางยูทูปยุติข้อตกลงหยุดยิง พร้อมทั้งประณามฝ่ายไทยว่าไม่จริงใจด้วยคำพูดที่รุนแรงเสียดแทงใจ
ความพยายามยุติความรุนแรงในเดือนรอมฎอนนี้จึงดูเหมือนล้มเหลวในที่สุด แต่การที่ความรุนแรงลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงแรกก็สะท้อนความจริงบางอย่างว่า บีอาร์เอ็นสามารถควบคุมสั่งการฝ่ายปฏิบัติการที่อยู่ในพื้นที่ได้ แม้กระนั้น ผู้สังเกตการณ์ต่างประเทศบางคนก็ระบุว่า การหยุดยิงในครั้งนี้ไม่มีความหม