THE PEN ❝The PEN❞ สื่อที่ทำกิจการเพื่อสังคม โดย?

อึ้ง ! คนชายแดนใต้สูญเงิน 700 กว่าล้านจากแก๊ง Call Centerโลกต้องเผชิญความเสี่ยงจากข่าวลวง/บิดเบือนยาวไปอีก 10 ปี?มูลนิธิ...
25/08/2025

อึ้ง ! คนชายแดนใต้สูญเงิน 700 กว่าล้านจากแก๊ง Call Center
โลกต้องเผชิญความเสี่ยงจากข่าวลวง/บิดเบือนยาวไปอีก 10 ปี?

มูลนิธิ ดิจิทัลเพื่อสันติภาพ เผยข้อมูลสถิติน่าตกใจ คือ คนชายแดนใต้สูญเงิน 700 กว่าล้าน จากภัยทางออนไลน์ ปัตตานีหนักสุด มากถึง 5,521 คดี ตามด้วยยะลาและนราธิวาส มี 5 รูปแบบการหลอกลวงออนไลน์ที่คนชายแดนใต้ตกเป็นเหยื่อ และแนวโน้มสูงขึ้น เตือนสตรี ผู้สูงอายุให้ระวังมากๆ แต่ทุกคนมีสิทธิตกเป็นเหยื่อได้หากไม่รู้เท่าทันสื่อดิจิทัล เพราะมีสารพัดรูปแบบความท้าทายบนโลกไซเบอร์ในชายแดนใต้เสนอขอให้ขยายนโยบายสันติภาพครอบคลุมความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ขณะที่ World Economic Forum ชี้ว่า โลกที่ต้องอยู่กับความเสี่ยงเหล่านี้ยาวไปอีก 10 ปี?

“ความไม่สงบ” ไม่ใช่ภัยร้ายรุนแรงในชายแดนใต้อย่างเดียวที่ประชาชนต้องเผชิญในขณะนี้ เพราะปัญหาอาชญากรรมทางออนไลน์กลายเป็นเรื่องหนักหน้าสาหัสไปแล้วเช่นเดียวกัน

เพราะจากการเก็บข้อมูลของมูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ (Digital4Peace Foundation) พบข้อมูลที่น่าตกใจ คือในช่วง 4 ปี ตั้งแต่ปี 2565 ถึงเดือนมิถุนายน 2568 มีคดีอาชญากรรมออนไลน์ที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) มากถึง 12,546 คดี สร้างความเสียหายรวมประมาณ 705 ล้านบาท (เฉลี่ยคดีละ 56,193 บาท)

ปัตตานีหนักสุด มากถึง 5,521 คดี สูญไป 200 กว่าล้าน
ข้อมูลสถิติเหล่านี้มูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ (Digital4Peace Foundation) โดยนายมะรูฟ เจะบือราเฮง ได้รวบรวมไว้ในรายงานเรื่อง ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ : สถานการณ์ ความท้าทาย และข้อเสนอเชิงนโยบาย

โดย จ.ปัตตานีมีจำนวนคดีและความเสียหายสูงสุด 5,521 คดี มูลค่าความเสียหายรวม 259.58 ล้านบาท ตามมาด้วย จ.ยะลา 4,070 คดี มูลค่าความเสียหายรวม 224.33 ล้านบาท และ จ.นราธิวาส 2,955 คดี มูลค่าความเสียหายรวม 221.07 ล้านบาท

แม้สัดส่วนคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์ในชายแดนใต้คิดได้เพียง 7.78% ของทั้งประเทศ และมีสัดส่วนมูลค่าความเสียหายแค่ 5.20% ของทั้งประเทศ แต่มูลค่าความเสียหายเฉลี่ยต่อคดีก็อยู่ในระดับสูง

5 #รูปแบบการหลอกลวงออนไลน์ที่คนชายแดนใต้ตกเป็นเหยื่อ

โดยมี 5 รูปแบบการหลอกลวงที่พบบ่อยที่สุด คือ 1) หลอกลวงซื้อขายสินค้า/บริการ 2)หลอกให้โอนเงินเพื่อหารายได้พิเศษ 3) หลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล 4) หลอกให้กู้เงินแบบฉ้อโกง และ 5) ข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้โอนเงิน

จากข้อมูลคดีดังกล่าว เมื่อแยกย่อยของแต่ละจังหวัด จะพบว่า

#ปัตตานี
- คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการที่ไม่มีลักษณะเป็นขบวนการสูงถึง 1,989 คดี มูลค่าความเสียหาย 21.05 ล้านบาท
- หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ 690 คดี มูลค่าความเสียหาย 63.48 ล้านบาท และ
- การหลอกลวงออนไลน์ทางด้านการเงิน 399 คดี มูลค่าความเสียหาย 32.41 ล้านบาท

#ยะลา
- คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการฯ 1,623 คดี มูลค่าความเสียหาย 15.91 ล้านบาท
- หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ 524 คดี มูลค่าความเสียหาย 52.02 ล้านบาท และ
- หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือวัตถุประสงค์อื่น ๆ 292 คดี มูลค่าความเสียหาย 24.90 ล้านบาท

#นราธิวาส
- คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการฯ 1,114 คดี มูลค่าความเสียหาย 12.13 ล้านบาท
- หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ 392 คดี มูลค่าความเสียหาย 38.27 ล้านบาท และ
- หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือวัตถุประสงค์อื่นๆ 194 คดี มูลค่าความเสียหาย 14.73 ล้านบาท

#แนวโน้มสูงขึ้น ต้นต่อจากแหล่งสแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน

มูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ ระบุว่า อาชญากรรมออนไลน์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีรูปแบบคล้ายกับภาพรวมของประเทศ ซึ่งคนไทยตกอยู่ในสภาวะวิกฤตทางไซเบอร์นี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 70% ในช่วงปี 2565 - 2567 และสูญเงินไปมากถึง 7.95 หมื่นล้านบาทจากการฉ้อโกงออนไลน์ เฉลี่ย 77 ล้านบาทต่อวัน

โดยมี 5 คดีออนไลน์ที่พบบ่อยที่สุดในระดับประเทศ คือ 1) หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการที่ไม่มีลักษณะเป็นขบวนการ 56% 2)หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือวัตถุประสงค์อื่นๆ 15% 3) หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ 11% 4) หลอกลวงให้กู้เงินอันมีลักษณะฉ้อโกง กรรโชก หรือรีดเอาทรัพย์ 7% และ 5) ข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน 6%

ขณะที่ Whoscall ระบุว่า ปี 2567 จำนวนสายมิจฉาชีพทางโทรศัพท์และข้อความ SMS หลอกลวงในไทย พุ่ง 168 ล้านครั้ง สูงสุดในรอบ 5 ปี กลวิธีหลอกลวงใน SMS ทีพบอย่างแพร่หลาย ได้แก่ การชักชวนเล่นพนัน การปลอมเป็นบริษัทขนส่งพัสดุ การแอบอ้างเป็นธนาคาร สถาบันการเงิน องค์กร และหน่วยงานรัฐ

โดยการหลอกลวงเหล่านนี้มาจากแหล่งสแกมเมอร์ที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้านแถบชายแดนที่รายล้อมประเทศไทย ทั้งเมียนมาร์ ลาว และ กัมพูชา (ข้อมูลนี้สอดคล้องกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ยืนยันว่ากัมพูชากลายเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับปฏิบัติการฉ้อโกงทางไซเบอร์)

#ทุกคนตกเป็นเหยื่อได้หากไม่รู้เท่าทันสื่อดิจิทัล เตือนสตรี ผู้สูงอายุให้ระวัง

จากการวิเคราะห์ของมูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ พบว่า กลุ่มเปราะบางหลักๆ ที่ตกเป็นเหยื่อ ได้แก่
1. สตรีวัยทำงาน ซึ่งตกเป็นเหยื่อสูงสุด
2. สตรีผู้สูงอายุ (ผู้สูงอายุ 75.3% เคยถูกหลอกลวงออนไลน์)
3. ผู้สูงอายุในหมู่บ้านที่ห่างไกล (เพราะขาดทักษะการรู้ทันดิจิทัล)
4. ผู้ที่มีรายได้น้อยทำให้ตั้งใจหารายได้
5. เด็ก และเยาวชน ขาดความรู้เท่าทันสื่อ
6. ยังมีบุคคลทั่วไปที่ตกเป็นเหยื่อแต่ก็ไม่กล้าร้องเรียน
อย่างไรก็ตาม มูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ เตือนว่า ทุกคนสามารถตกเป็นเหยื่อได้หากขาดทักษะการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล เชื่อข่าวปลอม ขาดทักษะทางด้านเทคโนโลยี และไม่กล้าร้องเรียน

#สารพัดรูปแบบความท้าทายบนโลกไซเบอร์ในชายแดนใต้

นอกจากคดีและความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว มูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ ยังได้ระบุถึงความท้าทายบนโลกไซเบอร์ในชายแดนใต้ด้วยว่า สามารถแยกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
1. Misinformation (ข้อมูลเท็จ) ได้แก่ การเสียดสี/ล้อเลียน ข้อมูลที่มีการเชื่อมโยงผิด และ ชี้นําให้เกิดการเข้าใจผิด ซึ่งเกิดขึ้นได้ด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา
2. Disinformation (ข้อมูลบิดเบือน) ได้แก่ เนื้อหาที่แต่งขึ้นมาใหม่ มีการดัดแปลงเนื้อหา นำเสนอแบบผิดบริบท หรือการแอบอ้าง
3. Mulinformation (ข้อมูลแฝงเจตนาร้าย) ได้แก่ การละเมิดความเป็นส่วนตัว การคุกคาม การใช้คําพูดที่สร้างความเกลียดชัง และข้อมูลที่ขัดต่อจรรยาบรรณ

ทั้ง 3 ประเภทนี้ เรียกรวมๆ ว่า “ #ความผิดปกติของข้อมูลขาวสาร” หรือ Information Disorder ที่เป็นเสมือนสารตั้งต้นที่นำไปสู่การ “ #การคุกคามทางไซเบอร์” (Cyberthreats) ซึ่งมีรูปแบบที่หลากหลายมาก หรือรุนแรงไปถึงขั้น “ #อาชญากรรมทางไซเบอร์” (Cybercrime) ที่เป็นการทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน

ตัวอย่างเช่น แชร์ลูกโซ่ การสะกดรอยตามทางไซเบอร์ (Cyberstalking) การแฉ/ปล่อยข้อมูลส่วนตัว (Doxing) การล่อลวงออนไลน์ (Online Grooming) การคุกคามทางเพศออนไลน์ (Online Sexual Harassment) หลอกเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ การใช้ AI ตัดต่อรูปในทางที่ผิด การเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดรัฐธรรมนูญ การพนันออนไลน์ แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ SMS หลอกลวง หลอกลงทุน หลอกให้รักแล้วโกงเงิน คําพูดสร้างความเกลียดที่เกี่ยวกับเพศ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม มูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ ไม่ได้กล่าวถึงปฏิบัติข่าวสาร หรือ ไอโอ (IO : Information Operations) ที่เป็นการใช้ข้อมูลโจมตีฝ่ายตรงข้ามในสถานการณ์ความขัดแย้งที่เป็นอยู่ในขณะนี้แต่อย่างใด

#ขอให้ขยายนโยบายสันติภาพ ครอบคลุมความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์

มูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ ยังได้มีข้อเสนอเชิงนโยบายที่สำคัญสำหรับการป้องกันและแก้ปัญหานี้ คือ การยกระดับปัญหานี้ให้เป็นวาระด้านความมั่นคง จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจแบบบูรณาการทั้งภาครัฐ สถาบันการเงิน และภาคประชาสังคม เร่งรัดกระบวนการอายัดบัญชีม้า สร้างเครือข่ายภูมิคุ้มกันดิจิทัลในระดับชุมชนผ่านการให้ความรู้และจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษา

นอกจากนี้ ควรให้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการสื่อสารและความปลอดภัยไซเบอร์ในชายแดนใต้มากขึ้น

แต่ข้อเสนอที่สำคัญ คือการขยายนโยบายสันติภาพชายแดนใต้ ให้ครอบคลุมถึงความมั่นคงปลอดภัยแบบใหม่ด้วย คือความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (ที่มา https://www.facebook.com/digital4peace)

#ภัยออนไลน์ โลกที่ต้องอยู่กับความเสี่ยงนี้ยาวไปอีก 10 ปี?

ไม่ใช่แค่ชายแดนใต้ หรือ ประเทศไทยเท่านั้น แต่ภัยออนไลน์ยังเป็นปัญหาระดับโลกด้วย โดยในรายงานความเสี่ยงโลกฉบับที่ 20 (Global Risks Report 2025) ที่จัดทำโดย World Economic Forum เผยให้เห็นความเสี่ยงของโลกจากข้อมูลออนไลน์ โดยรวบรวมมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญกว่า 900 คนทั่วโลก ในกรอบเวลา 1 ปี, 2 ปี และ 10 ปี

ผลปรากฏว่า โลกมีความเสี่ยงจากข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือน (Misinformation and disinformation) เป็นอันดับ 1 โยเฉพาะในกรอบเวลา 2 ปี จากความเสี่ยงโลก 33 ประการ และเป็นความเสี่ยงอันดับที่ 5 ในกรอบเวลา 10 ปี

โดย 4 อันดับแรก คือ 1)เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme weather events) 2) การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและการล่มสลายของระบบนิเวศ (Biodiversity loss and ecosystem collapse) 3) การเปลี่ยนแปลงสำคัญของระบบโลกธรรมชาติ (Critical change to Earth systems) และ 4 )การขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ (Natural resources shortages)

นอกจากข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือน (Misinformation and disinformation) แล้ว ผลกระทบด้านลบจากเทคโนโลยี AI (Adverse outcomes of AI technologies), การจารกรรมทางไซเบอร์และสงครามไซเบอร์ (Cyber espionage and warfare), อันตรายบนโลกออนไลน์ (Online harms) และ ผลกระทบด้านลบจากเทคโนโลยีล้ำสมัย (Adverse outcomes of frontier technologies) ถูกนับรวมอยู่ในความเสี่ยงของโลก 33 ประการด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงภัยร้ายทางไซเบอร์ ที่เราไม่อาจมองข้ามไปได้

รายงานฉบับนี้ ระบุว่า ในปี 2027 “ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือน (Misinformation and disinformation)” ยังคงเป็นความเสี่ยงอันดับหนึ่งของโลกติดต่อกันเป็นปีที่สอง

การแพร่กระจายของเนื้อหาที่เป็นเท็จหรือบิดเบือนนี้กำลังทำให้โลกที่ขัดแย้งอยู่แล้วยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีกในหลายมิติ โดยเฉพาะในทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น เป็นกลไกสำคัญที่ต่างชาติใช้เพื่อแทรกแซงการเลือกเลือกตั้ง สร้างความระแวงสงสัยให้สาธารณชนต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง หรือใช้ทำลายชื่อเสียงของสินค้าและบริการจากประเทศอื่น เป็นต้น

(ที่มา https://reports.weforum.org/docs/WEF_Global_Risks_Report_2025.pdf)

ดังนั้น ในท่ามกลางปัญหาความขัดแย้ง ความรุนแรงจากปัญหาความไม่สงบของประชาชนคนชายแดนใต้ จะต้องทำอย่างไรให้ปลอดภัยจากการหลอกลวงทางออนไลน์ รวมถึงการใช้ข้อมูลข่าวสารเท็จและบิดเบือน ที่สำคัญคือการไม่ขยายความขัดแย้งด้วย ติดตามได้ในตอนต่อไป

เล่าเรื่อง พี่น้องมุสลิมนั่งเรือใหญ่ที่ปัตตานีไปทำฮัจญ์  “สมัยผมยังเด็กได้แลเห็นคนที่จะไปทำพิธีฮัจญ์ ณ นครมักกะห์ เดินทา...
11/08/2025

เล่าเรื่อง พี่น้องมุสลิมนั่งเรือใหญ่ที่ปัตตานีไปทำฮัจญ์

“สมัยผมยังเด็กได้แลเห็นคนที่จะไปทำพิธีฮัจญ์ ณ นครมักกะห์ เดินทางไปกันยังไง แตกต่างกับปัจจุบันยังไง ซึ่งน้อง ๆ ลูกๆ คงไม่รู้ เพราะปัจจุบันไปกับเครื่องบินอย่างสะดวก วันเดียวก็ถึง

แต่เมื่อประมาณ 50-60 ปีที่แล้ว ยังไม่มีเครื่องบิน คนจะไปซาอุดีอาระเบีย ไม่ว่าจะไปทำพิธีฮัจญ์หรือไปเรียนศาสนาต้องเดินทางโดยทางเรือ และไม่ใช่เรือขนคนหรือเรือท่องเที่ยว แต่เป็นเรือสินค้า

โดยปกติเรือเหล่านั้นจะมารับส่งสินค้า เช่น ยางพาราที่ท่าเรือปัตตานีไปต่างประเทศ แต่เมื่อถึงช่วงทำพิธีฮัจญ์ก็จะขนคนไปทำฮัจญ์หรือไปเรียนหนังสือด้วย ซึ่งการเดินทางค่อนข้างยากลำบาก โดยจะขึ้นเรือเล็ก เรียกว่าเรือเอี้ยมจุ้น หรือ เรือกอและ หรือ เรือเบดา ที่ด่านปากน้ำไปยังเรือใหญ่ที่อยู่กลางทะเลมากกว่า 10 หรือ 20 กิโลเมตร

ถ้าคนที่อยู่ในอำเภอเมืองปัตตานีค่อยยังชั่วหน่อย แต่ถ้าคนที่อยู่ต่างอำเภอจะต้องเดินทางมาที่ปัตตานีก่อนและต้องนอนที่นี่วันสองวัน ยิ่งคนยะลา คนนราธิวาสก็ต้องมานอนที่ปัตตานีก่อน 2-3 คืน รวมถึงคนมาส่งด้วย ลองคิดดูว่ากว่าจะมาถึงนี่รถไม่มี เพราะฉะนั้นการเดินทางของเขายากลำบากมาก มาถึงก็จะไปนอนแถวปากน้ำที่เราเรียกว่าด่านปากน้ำ แต่ใครมีญาติก็อาจจะไปพักบ้านญาติ

เวลาจะไปลงเรือก็ต้องผ่านด่านจ็อบพาสปอร์ตที่นั่นเลยแล้วก็ลงเรือไปส่งที่เรือใหญ่ ส่วนคนที่จะไปส่งก็จะขึ้นเรือต่างหาก เพราะไม่ต้องจ๊อบพาสปอร์ต เพราะบางคนอยากจะไปส่งถึงเรือใหญ่ ญาติพี่น้องก็ชอบ
บางครั้งมีคลื่นลูกใหญ่มา จะบอกว่าไม่รู้ก็ไม่เชิง แต่ชาวบ้านถือว่า มอบหมายให้อัลเลาะห์แล้ว และอาจจะรู้สึกสนุกด้วย ทั้งที่พวกชาวประมงก็บอกว่าอย่าไปเลยคลื่นแรง

พอไปก็เจอคลื่นแรงจริงๆ สูงเท่าภูเขา เรือก็ลอยขึ้นสูง สุดท้ายก็ล่มแล้วก็คนตายหมด แต่คนที่จะเดินทางไปทำพิธีฮัจญ์ไม่ตายเพราะขึ้นเรือใหญ่ไปแล้ว ปีนั้นคนปัตตานีจะไม่กินปลา เพราะก็คิดว่าปลากินซากศพ

การเดินเรือไปทำฮัจญ์สมัยก่อนต้องใช้เวลา 40 หรือ 45 วัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมั่นใจได้ เพราะบางคนอาจจะตายบนเรือ ถ้าตายบนเรือก็จะถูกหุ้มด้วยผ้าขาว ละหมาดศพเสร็จแล้วก็ปล่อยลงน้ำเลย พอปล่อยลงน้ำปุ๊บฉลามก็จะคาบเอาไปกินเลย บางทีเรืออาจจะแตกแถวหลงทางไปถึงแหลม Good hope ประเทศแอฟริกาใต้ก็มี ไปถึงก็ตั้งหลักแหล่งที่นั่นเลย

มีเรื่องเล่าจากอดีตเจ้าหน้าที่ทูตกระทรวงต่างประเทศบอกว่า คนของเราที่ไปตั้งหลักแหล่งที่นั่นยังละหมาดหันไปทางทิศตะวันตก เพราะยึดว่าที่ปัตตานีหันไปทางทิศตะวันตก ซึ่งไม่ถูกต้อง โดยไม่รู้ว่าต้องหันไปทางทิศอื่นแล้ว

เมื่อเรือออกท่าเรือที่ปัตตานีก็ไปจอดที่เคดาห์ มาเลเซีย จากนั้นก็ไปถึงมักกะห์ยังไงต่อผมก็ไม่ทราบ แต่จะบอกถึงความลำบากของการเดินทาง และเรือก็ไม่ใช่ว่าจะมาที่ปัตตานีทุกปี ถ้ามาปัตตานีก็จะไม่ไปนราธิวาส บางปีไปที่นราธิวาสคนปัตตานีก็ต้องไปขึ้นที่นราธิวาส คิดดูว่าจะไปกันยังไง มันถูกลักทุเลมาก คนที่ไปเรียนหนังสือก็กลับมาก็ตอนนู่นเลย ตอนเรียนจบ ไม่ได้กลับมาทุกปีเพราะความลำบากในการเดินทาง”
....
เรื่องเล่าโดย มุข สุไลมาน เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร ในงาน " Al-Arabi : Arab Street Festival in Pattani " เทศกาลถนนอาหรับ เสน่ห์วัฒนธรรมอาหรับ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 ณ มัสยิดกลางประจำจังหวัดปัตตานี
https://www.facebook.com/pattanimunicipality/videos
ภาพประกอบ: Khalid Al-emaraty islamhouse.muslimthaipost.com

เปิดคำแถลง  Melayu Raya 2025เพื่ออัตลักษณ์ สิทธิ และ ศักดิ์ศรีประชาชนปาตานี
05/04/2025

เปิดคำแถลง Melayu Raya 2025
เพื่ออัตลักษณ์ สิทธิ และ ศักดิ์ศรีประชาชนปาตานี

ภาคประชาสังคม 42 องค์กร ยื่นหนังสือให้นายกฯ เร่งรัดกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้วันนี้ 18 กุมภาพันธ์ 2568 ภาคประชาสังคม 42 ...
18/02/2025

ภาคประชาสังคม 42 องค์กร ยื่นหนังสือให้นายกฯ เร่งรัดกระบวนการสันติภาพชายแดนใต้

วันนี้ 18 กุมภาพันธ์ 2568 ภาคประชาสังคม 42 องค์กร ยื่นจดหมายเปิดผนึก เสนอข้อเรียกร้องเพื่อสร้างสันติภาพ ถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในโอกาสที่ท่านเดินทางมาประชุม ครม.สัญจร ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ 60 ปี มอ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เป็นตัวแทนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มารับหนังสือข้อเสนอเพื่อสันติภาพจาก นายแวรอมลี แวบูละ ตัวแทนจาก 42 องค์กรร่วมจัดงานมหกรรมสันติภาพชายแดนใต้ ที่จะจัดขึ้น ณ มอ.ปัตตานีในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ที่จะถึงนี้

——————-
โดยมีเนื้อหาในจดหมายเปิดผนึก ดังนี้:-

เรียน นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี

เหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ดำเนินมาแล้วเป็นเวลากว่า 20 ปี โดยในปี 2556 รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นคณะรัฐบาลชุดแรกที่ให้ความสำคัญและริเริ่มการเจรจาสันติภาพ เพื่อสร้างพื้นที่พูดคุยกับกลุ่มขบวนการผู้เห็นต่างอย่างเป็นทางการผ่านการแต่งตั้งคณะเจรจาพูดคุยสันติภาพ (สันติสุข) นับแต่นั้นมาและส่งผลให้สถิติของความรุนแรงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ดังนั้นองค์กรร่วมที่มีรายนามท้ายจดหมายเปิดผนึกนี้ จึงมีความเห็นพ้องร่วมกันและตระหนักว่ากระบวนการเจรจาสันติภาพคือทางออกของการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและเป็นกุญแจสำคัญในการยุติความรุนแรง การยับยั้งความสูญเสียชีวิตของผู้คน การฟื้นฟูความเชื่อมั่นระหว่างกลุ่มคนหรือภาคส่วนต่าง ๆ ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งของกระบวนการสันติภาพ ที่ต้องเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมและช่วยสร้างความเข้าใจต่อกระบวนการพูดคุยสันติภาพ รวมทั้งเคารพในความแตกต่าง และส่งเสริมแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกด้าน อาทิเช่น พัฒนาเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การศึกษา นอกจากนี้กระบวนการสันติภาพ ยังเกี่ยวโยงกับการเคารพสิทธิและเสรีภาพของทุกคนในสังคม การปกป้องหลักสิทธิมนุษยชนให้ประชาชนมีความเท่าเทียม จึงเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างกระบวนการสันติภาพที่ยั่งยืน

องค์กรร่วมดังรายนามเชื่อมั่นว่าการเจรจาสันติภาพและการสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างความสงบสุขจะนำมาซึ่งสันติภาพที่ยั่งยืนในสังคมที่มีความหลากหลายนี้ อย่างไรก็ตาม องค์กรร่วมที่มีรายนาม ท้ายจดหมายเปิดผนึกนี้ มีข้อห่วงกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ในห้วงเวลานี้ หลังจากที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ประกาศแนวนโยบายทบทวนการบริหารจัดการกับ ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะประเด็นการพิจารณาตั้งคณะเจรจาเพื่อสันติภาพ และ ยังไม่มีความชัดเจนในแนวนโยบายการเจรจาสันติภาพ จึงขอนำเรียนต่อท่านนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาดังนี้

1. ขอให้นายกรัฐมนตรีแสดงเจตจำนงทางการเมืองที่หนักแน่นชัดเจนว่าจะสานต่อกระบวนการพูดคุยสันติภาพโดยรัฐบาลเป็นเจ้าภาพหลัก โดยจัดทำเป็นวาระแห่งชาติ และแต่งตั้งคณะพูดคุยสันติภาพเพื่อเป็นการเปิดพื้นที่ให้กับทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะ แนวทางแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้

2. ขอให้รัฐบาลดำเนินการให้ภาคประชาสังคมได้จัดเวทีปรึกษาหารือสาธารณะ (Public consultation) เพื่อแสวงหาทางออกทางการเมืองอย่างครอบคลุมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตกับประชาชนในด้านต่างๆ เช่น รูปแบบการเมืองการปกครองเศรษฐกิจ การศึกษา ภาษา อัตลักษณ์และวัฒนธรรม รวมถึงกระบวนการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน เป็นต้น

3. ขอให้รัฐบาลสนับสนุนแผนงานพัฒนาของภาคประชาสังคมในด้านต่างๆโดยประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เช่น การสร้างชุมชนเข้มแข็ง การพัฒนาวิสาหกิจ ชุมชน สุขภาพอนามัยชุมชน การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่มีประชาชนเป็นแกนหลัก

4. ขอให้รัฐบาลและฝ่ายขบวนการผู้เห็นต่าง ตระหนักถึงความรุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อพลเรือนและผู้บริสุทธิ์ โดยยึดหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law - IHL) โดยให้มีการยกเลิกกฎอัยการศึกและ ยุติการใช้ความรุนแรง

5. ขอให้รัฐบาลดำเนินนโยบายสันติภาพตามวิถีทางประชาธิปไตย ที่ระบุไว้ใน รัฐธรรมนูญไทย หมวด 3 ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย

6. ขอให้รัฐบาลพิจารณาจัดโครงสร้างความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างรัฐกับประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้ ให้มีความรู้สึกเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง เช่น ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรัฐกับประชาชน ความสัมพันธ์เชิงการพัฒนาโดยมีประชาชนเป็นแกนหลักเป็นต้น

ดังนั้นขอให้รัฐบาลและกลุ่มขบวนการผู้เห็นต่างร่วมกันสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยทางเสรีภาพทั้งในเชิงกายภาพและในเชิงความรู้สึกในพื้นที่ให้ประชาชนทุกกลุ่มวัฒนธรรมให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัย เพื่อเป็นรากฐานที่มั่นคงต่อสังคม องค์กรร่วมที่มีรายนามท้ายจดหมายเปิดผนึกนี้ เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่ากระบวนการพูดคุยสันติภาพคือกุญแจสำคัญอันจะนำสันติภาพมาสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างยั่งยืน

ด้วยความเคารพอย่างสูง

ภาพประกอบโดย Tuwaedanial Tuwaemaengae

03/12/2024

บ้านยือโมะใน

03/12/2024

วันแรกที่ภายนอกเข้ามาถึง หลังน้ำท่วมมา 6 วัน
สถานการณ์น้ำท่วม บ้านยือโมะ ม.2 ต.ปะกาฮารัง อ.เมือง จุ.ปัตตานี

แถลงการณ์ "ตากใบ ต้องไม่เงียบ"
15/10/2024

แถลงการณ์ "ตากใบ ต้องไม่เงียบ"

إنا لله وإنا اليه راجعوناللهم ! اغفرله وارحمه ، واعف عنه وعافه،وأكرم نزله، ووسع مدخله، واغسله بماء وثلج وبرد،ونقه من الخ...
15/09/2024

إنا لله وإنا اليه راجعون
اللهم ! اغفرله وارحمه ، واعف عنه وعافه،وأكرم نزله، ووسع مدخله، واغسله بماء وثلج وبرد،ونقه من الخطايا كما ينقى الثوب الأبيض من الدنس،وأبدله دارا خيرامن داره، وأهلا خيرا من أهله،وزوجا خيرا من زوجه، وقه فتنة القبر وعذاب النار.
สำนักข่าว The PEN
ขอร่วมไว้อาลัยต่อการกลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮ ของ อัฟกัน เจ๊ะเตะ แห่งสำนักสื่อ WARTANI
สื่อสันติภาพที่ร่วมเป็นสักขีพยานเพื่อสันติภาพ ณ ปาตานี
วันอาทิตย์ ที่ 15 กันยายน 2567 (11 Rabiul Awal 1446) เวลา 13.50 น.

حول شيج دأود الفطاني งานยิ่งใหญ่แห่งปี Haul Syeikh Daud รำลึกถึงชีวประวัติและเกียรติประวัติเชคดาวูดฟาฏอนีย์29 สิงหาคม 25...
29/08/2024

حول شيج دأود الفطاني
งานยิ่งใหญ่แห่งปี Haul Syeikh Daud รำลึกถึงชีวประวัติและเกียรติประวัติเชคดาวูดฟาฏอนีย์
29 สิงหาคม 2567
สถานที่: สภาอูลามะอฺ ฟาฏอนีย์ ดารุสสลาม บ้านปาเระ ต.บาราโหม อ.เมือง จ.ปัตตานี
(ฝ่ายสตรีจัดช่วงบ่ายที่มัสยิดกรือเซะ)

26/08/2024

ชายแดนใต้: เผยช่องว่างความเหลื่อมล้ำ 20 เท่า แก้จนด้วยนวัตกรรม

ในปี 2566 สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส มีประชากรทั้งสิ้น 2,510,000 คน โดยมีสัดส่วนคนจนถึง 249,300 คน หรือเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งตัวเลขนี้สูงกว่าระดับประเทศถึง 3.8 เท่า นอกจากนี้ รายได้เฉลี่ยของคนในพื้นที่นี้ยังต่ำสุดเพียง 5,725 บาทต่อเดือน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศที่ 9,409 บาทต่อเดือน ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยที่สุดและคนจนที่สุดในพื้นที่นี้ก็สูงถึง 20.6 เท่า โดยกลุ่มคนรวยได้รับส่วนแบ่งรายได้ถึง 41.4% ขณะที่กลุ่มคนจนมีส่วนแบ่งเพียง 2% เท่านั้น

ดร.ไอร์นี แอสะดง รองหัวหน้าโครงการวิจัย “โครงการแก้จนคนตานี” ซึ่งเป็นโครงการวิจัยแก้ไขปัญหาความยากจนจังหวัดปัตตานี สนับสนุนโดย บพท. หรือ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ กล่าวว่าครัวเรือนยากจนในพื้นที่ส่วนใหญ่ประสบปัญหาการขาดแคลนทุน 5 ด้าน อันได้แก่ ทักษะอาชีพ(ทุนมนุษย์) เงินออม(ทุนการเงิน) การช่วยเหลือกันในชุมชน(ทุนสังคม) ที่ดินทำกิน(ทุนกายภาพ) และบ้านอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติ(ทุนธรรมชาติ)

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ โครงการวิจัยได้พัฒนาขึ้นมาทั้งหมด 104 โมเดลแก้จน ซึ่งครอบคลุมหลายมิติ ทั้งการสนับสนุนแบบครัวเรือน การเสริมศักยภาพการรวมกลุ่ม และการยกระดับเครือข่ายเพื่อให้ความช่วยเหลือครอบคลุมกว้างขวางขึ้น

เมื่อคนรวยกับคนจนมีช่องว่างของรายได้ถึงกว่า 20 เท่า ก็ยากจะปฏิเสธว่าการแก้ปัญหาความยากจนในพื้นที่ชายแดนใต้เป็นสิ่งที่ไม่อาจละเลยได้อีกต่อไป

#ทุนท้องถิ่น #ชายแดนใต้ #ความยากจน #ความเหลื่อมล้ำ #ปัตตานี #เศรษฐกิจ #ความยั่งยืน

26/08/2024

แก้จนด้วยนวัตกรรม

25/08/2024

BOOK TALK “เกิดบนเรือนมลายู” พูดคุยในความธรรมดาสามัญและความเป็นมนุษย์ของชาวมลายูผ่านสายตา “คนใน” จากหนังสือ “เกิดบนเรือนมลายู” เขียนโดย ณายิบ อาแวบือซา กับบทสนทนาในหลากความทรงจำต่างมุมมองกับ
💬ศ.ดร.นิติ ภวัครพันธุ์ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
💬รศ.ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
💬คุณดลยารัตน์ บากา
คุณณายิบ อาแวบือซา ผู้เขียน หนังสือ “เกิดบนเรือนมลายู”
💬คุณดลยารัตน์ บากา
ดำเนินรายการโดย นวลน้อย ธรรมเสถียร บรรณาธิการหนังสือ “เกิดบนเรือนมลายู” และคอลัมนิสต์ Decode.plus

ที่อยู่

300/109 ถ. หนองจิก ม. 4 ต. รูสะมิแล อ. เมือง จ. ปัตตานี
Pattani
94000

เบอร์โทรศัพท์

+66882357777

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ THE PENผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง THE PEN:

แชร์

About THE PEN

THE PEN เป็นองค์กรที่พยายามทำงานมุ่งไปสู่การเป็น “สื่อเพื่อสร้างสรรค์สังคม” โดยจะนำเสนอ เรื่องราว เนื้อหา มุมมอง ความคิด ที่มีความแปลกใหม่ แตกต่าง เท่าทันกระแส มีกลิ่นอายชวนถกเถียง แต่มีประโยชน์ต่อการสร้างการเรียนรู้ การสร้างสรรค์ และการสร้างความร่วมมือ โดยหวังว่าจะนำไปสู่การสร้างการเปลี่ยนแปลงในแบบที่สอดคล้องกับบริบทชุมชนวัฒนธรรมและบริบทสังคมสมัยใหม่ บนพื้นฐานความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ปตานี/ชายแดนใต้

THE PENเป็นองค์กรสื่อที่มุ่งพัฒนารูปแบบการสื่อสารใหม่ๆ ที่หลากหลาย เพื่อวัตถุประสงค์..

1. เพื่อ “เป็นช่องทางสร้างการมีส่วนร่วม” จากทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหา พัฒนา จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยหวังว่าจะนำไปสู่การสร้างการเปลี่ยนแปลงในแบบที่สอดคล้องกับบริบทของชุมชน บริบทของสังคม และความต้องการของภาคประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง

2. เพื่อ “การเป็นพื้นที่สื่อสารทำความเข้าใจ” ถึงความคิด ความรู้ มุมมอง และเสียง ของกลุ่มคนที่แตกต่างหลากหลาย หรือ คล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นภาคราชการ ภาคประชาชน ภาควิชาการ ภาคธุรกิจ และภาคชุมชน