25/08/2025
อึ้ง ! คนชายแดนใต้สูญเงิน 700 กว่าล้านจากแก๊ง Call Center
โลกต้องเผชิญความเสี่ยงจากข่าวลวง/บิดเบือนยาวไปอีก 10 ปี?
มูลนิธิ ดิจิทัลเพื่อสันติภาพ เผยข้อมูลสถิติน่าตกใจ คือ คนชายแดนใต้สูญเงิน 700 กว่าล้าน จากภัยทางออนไลน์ ปัตตานีหนักสุด มากถึง 5,521 คดี ตามด้วยยะลาและนราธิวาส มี 5 รูปแบบการหลอกลวงออนไลน์ที่คนชายแดนใต้ตกเป็นเหยื่อ และแนวโน้มสูงขึ้น เตือนสตรี ผู้สูงอายุให้ระวังมากๆ แต่ทุกคนมีสิทธิตกเป็นเหยื่อได้หากไม่รู้เท่าทันสื่อดิจิทัล เพราะมีสารพัดรูปแบบความท้าทายบนโลกไซเบอร์ในชายแดนใต้เสนอขอให้ขยายนโยบายสันติภาพครอบคลุมความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ขณะที่ World Economic Forum ชี้ว่า โลกที่ต้องอยู่กับความเสี่ยงเหล่านี้ยาวไปอีก 10 ปี?
“ความไม่สงบ” ไม่ใช่ภัยร้ายรุนแรงในชายแดนใต้อย่างเดียวที่ประชาชนต้องเผชิญในขณะนี้ เพราะปัญหาอาชญากรรมทางออนไลน์กลายเป็นเรื่องหนักหน้าสาหัสไปแล้วเช่นเดียวกัน
เพราะจากการเก็บข้อมูลของมูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ (Digital4Peace Foundation) พบข้อมูลที่น่าตกใจ คือในช่วง 4 ปี ตั้งแต่ปี 2565 ถึงเดือนมิถุนายน 2568 มีคดีอาชญากรรมออนไลน์ที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) มากถึง 12,546 คดี สร้างความเสียหายรวมประมาณ 705 ล้านบาท (เฉลี่ยคดีละ 56,193 บาท)
ปัตตานีหนักสุด มากถึง 5,521 คดี สูญไป 200 กว่าล้าน
ข้อมูลสถิติเหล่านี้มูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ (Digital4Peace Foundation) โดยนายมะรูฟ เจะบือราเฮง ได้รวบรวมไว้ในรายงานเรื่อง ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ : สถานการณ์ ความท้าทาย และข้อเสนอเชิงนโยบาย
โดย จ.ปัตตานีมีจำนวนคดีและความเสียหายสูงสุด 5,521 คดี มูลค่าความเสียหายรวม 259.58 ล้านบาท ตามมาด้วย จ.ยะลา 4,070 คดี มูลค่าความเสียหายรวม 224.33 ล้านบาท และ จ.นราธิวาส 2,955 คดี มูลค่าความเสียหายรวม 221.07 ล้านบาท
แม้สัดส่วนคดีอาชญากรรมทางไซเบอร์ในชายแดนใต้คิดได้เพียง 7.78% ของทั้งประเทศ และมีสัดส่วนมูลค่าความเสียหายแค่ 5.20% ของทั้งประเทศ แต่มูลค่าความเสียหายเฉลี่ยต่อคดีก็อยู่ในระดับสูง
5 #รูปแบบการหลอกลวงออนไลน์ที่คนชายแดนใต้ตกเป็นเหยื่อ
โดยมี 5 รูปแบบการหลอกลวงที่พบบ่อยที่สุด คือ 1) หลอกลวงซื้อขายสินค้า/บริการ 2)หลอกให้โอนเงินเพื่อหารายได้พิเศษ 3) หลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล 4) หลอกให้กู้เงินแบบฉ้อโกง และ 5) ข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้โอนเงิน
จากข้อมูลคดีดังกล่าว เมื่อแยกย่อยของแต่ละจังหวัด จะพบว่า
#ปัตตานี
- คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการที่ไม่มีลักษณะเป็นขบวนการสูงถึง 1,989 คดี มูลค่าความเสียหาย 21.05 ล้านบาท
- หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ 690 คดี มูลค่าความเสียหาย 63.48 ล้านบาท และ
- การหลอกลวงออนไลน์ทางด้านการเงิน 399 คดี มูลค่าความเสียหาย 32.41 ล้านบาท
#ยะลา
- คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการฯ 1,623 คดี มูลค่าความเสียหาย 15.91 ล้านบาท
- หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ 524 คดี มูลค่าความเสียหาย 52.02 ล้านบาท และ
- หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือวัตถุประสงค์อื่น ๆ 292 คดี มูลค่าความเสียหาย 24.90 ล้านบาท
#นราธิวาส
- คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการฯ 1,114 คดี มูลค่าความเสียหาย 12.13 ล้านบาท
- หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ 392 คดี มูลค่าความเสียหาย 38.27 ล้านบาท และ
- หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือวัตถุประสงค์อื่นๆ 194 คดี มูลค่าความเสียหาย 14.73 ล้านบาท
#แนวโน้มสูงขึ้น ต้นต่อจากแหล่งสแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน
มูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ ระบุว่า อาชญากรรมออนไลน์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีรูปแบบคล้ายกับภาพรวมของประเทศ ซึ่งคนไทยตกอยู่ในสภาวะวิกฤตทางไซเบอร์นี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 70% ในช่วงปี 2565 - 2567 และสูญเงินไปมากถึง 7.95 หมื่นล้านบาทจากการฉ้อโกงออนไลน์ เฉลี่ย 77 ล้านบาทต่อวัน
โดยมี 5 คดีออนไลน์ที่พบบ่อยที่สุดในระดับประเทศ คือ 1) หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการที่ไม่มีลักษณะเป็นขบวนการ 56% 2)หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือวัตถุประสงค์อื่นๆ 15% 3) หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ 11% 4) หลอกลวงให้กู้เงินอันมีลักษณะฉ้อโกง กรรโชก หรือรีดเอาทรัพย์ 7% และ 5) ข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน 6%
ขณะที่ Whoscall ระบุว่า ปี 2567 จำนวนสายมิจฉาชีพทางโทรศัพท์และข้อความ SMS หลอกลวงในไทย พุ่ง 168 ล้านครั้ง สูงสุดในรอบ 5 ปี กลวิธีหลอกลวงใน SMS ทีพบอย่างแพร่หลาย ได้แก่ การชักชวนเล่นพนัน การปลอมเป็นบริษัทขนส่งพัสดุ การแอบอ้างเป็นธนาคาร สถาบันการเงิน องค์กร และหน่วยงานรัฐ
โดยการหลอกลวงเหล่านนี้มาจากแหล่งสแกมเมอร์ที่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้านแถบชายแดนที่รายล้อมประเทศไทย ทั้งเมียนมาร์ ลาว และ กัมพูชา (ข้อมูลนี้สอดคล้องกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ยืนยันว่ากัมพูชากลายเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับปฏิบัติการฉ้อโกงทางไซเบอร์)
#ทุกคนตกเป็นเหยื่อได้หากไม่รู้เท่าทันสื่อดิจิทัล เตือนสตรี ผู้สูงอายุให้ระวัง
จากการวิเคราะห์ของมูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ พบว่า กลุ่มเปราะบางหลักๆ ที่ตกเป็นเหยื่อ ได้แก่
1. สตรีวัยทำงาน ซึ่งตกเป็นเหยื่อสูงสุด
2. สตรีผู้สูงอายุ (ผู้สูงอายุ 75.3% เคยถูกหลอกลวงออนไลน์)
3. ผู้สูงอายุในหมู่บ้านที่ห่างไกล (เพราะขาดทักษะการรู้ทันดิจิทัล)
4. ผู้ที่มีรายได้น้อยทำให้ตั้งใจหารายได้
5. เด็ก และเยาวชน ขาดความรู้เท่าทันสื่อ
6. ยังมีบุคคลทั่วไปที่ตกเป็นเหยื่อแต่ก็ไม่กล้าร้องเรียน
อย่างไรก็ตาม มูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ เตือนว่า ทุกคนสามารถตกเป็นเหยื่อได้หากขาดทักษะการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล เชื่อข่าวปลอม ขาดทักษะทางด้านเทคโนโลยี และไม่กล้าร้องเรียน
#สารพัดรูปแบบความท้าทายบนโลกไซเบอร์ในชายแดนใต้
นอกจากคดีและความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว มูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ ยังได้ระบุถึงความท้าทายบนโลกไซเบอร์ในชายแดนใต้ด้วยว่า สามารถแยกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
1. Misinformation (ข้อมูลเท็จ) ได้แก่ การเสียดสี/ล้อเลียน ข้อมูลที่มีการเชื่อมโยงผิด และ ชี้นําให้เกิดการเข้าใจผิด ซึ่งเกิดขึ้นได้ด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา
2. Disinformation (ข้อมูลบิดเบือน) ได้แก่ เนื้อหาที่แต่งขึ้นมาใหม่ มีการดัดแปลงเนื้อหา นำเสนอแบบผิดบริบท หรือการแอบอ้าง
3. Mulinformation (ข้อมูลแฝงเจตนาร้าย) ได้แก่ การละเมิดความเป็นส่วนตัว การคุกคาม การใช้คําพูดที่สร้างความเกลียดชัง และข้อมูลที่ขัดต่อจรรยาบรรณ
ทั้ง 3 ประเภทนี้ เรียกรวมๆ ว่า “ #ความผิดปกติของข้อมูลขาวสาร” หรือ Information Disorder ที่เป็นเสมือนสารตั้งต้นที่นำไปสู่การ “ #การคุกคามทางไซเบอร์” (Cyberthreats) ซึ่งมีรูปแบบที่หลากหลายมาก หรือรุนแรงไปถึงขั้น “ #อาชญากรรมทางไซเบอร์” (Cybercrime) ที่เป็นการทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน
ตัวอย่างเช่น แชร์ลูกโซ่ การสะกดรอยตามทางไซเบอร์ (Cyberstalking) การแฉ/ปล่อยข้อมูลส่วนตัว (Doxing) การล่อลวงออนไลน์ (Online Grooming) การคุกคามทางเพศออนไลน์ (Online Sexual Harassment) หลอกเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ การใช้ AI ตัดต่อรูปในทางที่ผิด การเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดรัฐธรรมนูญ การพนันออนไลน์ แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ SMS หลอกลวง หลอกลงทุน หลอกให้รักแล้วโกงเงิน คําพูดสร้างความเกลียดที่เกี่ยวกับเพศ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม มูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ ไม่ได้กล่าวถึงปฏิบัติข่าวสาร หรือ ไอโอ (IO : Information Operations) ที่เป็นการใช้ข้อมูลโจมตีฝ่ายตรงข้ามในสถานการณ์ความขัดแย้งที่เป็นอยู่ในขณะนี้แต่อย่างใด
#ขอให้ขยายนโยบายสันติภาพ ครอบคลุมความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
มูลนิธิดิจิทัลเพื่อสันติภาพ ยังได้มีข้อเสนอเชิงนโยบายที่สำคัญสำหรับการป้องกันและแก้ปัญหานี้ คือ การยกระดับปัญหานี้ให้เป็นวาระด้านความมั่นคง จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจแบบบูรณาการทั้งภาครัฐ สถาบันการเงิน และภาคประชาสังคม เร่งรัดกระบวนการอายัดบัญชีม้า สร้างเครือข่ายภูมิคุ้มกันดิจิทัลในระดับชุมชนผ่านการให้ความรู้และจัดตั้งศูนย์ให้คำปรึกษา
นอกจากนี้ ควรให้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการสื่อสารและความปลอดภัยไซเบอร์ในชายแดนใต้มากขึ้น
แต่ข้อเสนอที่สำคัญ คือการขยายนโยบายสันติภาพชายแดนใต้ ให้ครอบคลุมถึงความมั่นคงปลอดภัยแบบใหม่ด้วย คือความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (ที่มา https://www.facebook.com/digital4peace)
#ภัยออนไลน์ โลกที่ต้องอยู่กับความเสี่ยงนี้ยาวไปอีก 10 ปี?
ไม่ใช่แค่ชายแดนใต้ หรือ ประเทศไทยเท่านั้น แต่ภัยออนไลน์ยังเป็นปัญหาระดับโลกด้วย โดยในรายงานความเสี่ยงโลกฉบับที่ 20 (Global Risks Report 2025) ที่จัดทำโดย World Economic Forum เผยให้เห็นความเสี่ยงของโลกจากข้อมูลออนไลน์ โดยรวบรวมมุมมองจากผู้เชี่ยวชาญกว่า 900 คนทั่วโลก ในกรอบเวลา 1 ปี, 2 ปี และ 10 ปี
ผลปรากฏว่า โลกมีความเสี่ยงจากข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือน (Misinformation and disinformation) เป็นอันดับ 1 โยเฉพาะในกรอบเวลา 2 ปี จากความเสี่ยงโลก 33 ประการ และเป็นความเสี่ยงอันดับที่ 5 ในกรอบเวลา 10 ปี
โดย 4 อันดับแรก คือ 1)เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme weather events) 2) การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพและการล่มสลายของระบบนิเวศ (Biodiversity loss and ecosystem collapse) 3) การเปลี่ยนแปลงสำคัญของระบบโลกธรรมชาติ (Critical change to Earth systems) และ 4 )การขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ (Natural resources shortages)
นอกจากข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือน (Misinformation and disinformation) แล้ว ผลกระทบด้านลบจากเทคโนโลยี AI (Adverse outcomes of AI technologies), การจารกรรมทางไซเบอร์และสงครามไซเบอร์ (Cyber espionage and warfare), อันตรายบนโลกออนไลน์ (Online harms) และ ผลกระทบด้านลบจากเทคโนโลยีล้ำสมัย (Adverse outcomes of frontier technologies) ถูกนับรวมอยู่ในความเสี่ยงของโลก 33 ประการด้วยเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงภัยร้ายทางไซเบอร์ ที่เราไม่อาจมองข้ามไปได้
รายงานฉบับนี้ ระบุว่า ในปี 2027 “ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือน (Misinformation and disinformation)” ยังคงเป็นความเสี่ยงอันดับหนึ่งของโลกติดต่อกันเป็นปีที่สอง
การแพร่กระจายของเนื้อหาที่เป็นเท็จหรือบิดเบือนนี้กำลังทำให้โลกที่ขัดแย้งอยู่แล้วยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีกในหลายมิติ โดยเฉพาะในทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น เป็นกลไกสำคัญที่ต่างชาติใช้เพื่อแทรกแซงการเลือกเลือกตั้ง สร้างความระแวงสงสัยให้สาธารณชนต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง หรือใช้ทำลายชื่อเสียงของสินค้าและบริการจากประเทศอื่น เป็นต้น
(ที่มา https://reports.weforum.org/docs/WEF_Global_Risks_Report_2025.pdf)
ดังนั้น ในท่ามกลางปัญหาความขัดแย้ง ความรุนแรงจากปัญหาความไม่สงบของประชาชนคนชายแดนใต้ จะต้องทำอย่างไรให้ปลอดภัยจากการหลอกลวงทางออนไลน์ รวมถึงการใช้ข้อมูลข่าวสารเท็จและบิดเบือน ที่สำคัญคือการไม่ขยายความขัดแย้งด้วย ติดตามได้ในตอนต่อไป