Andamanreallife Phang-Nga People's Party

26/03/2025
24/03/2025

[ เปิดหลักฐานโรงแรมหรูของนายกแพทองธาร Thames Valley Khaoyai อยู่ในเขตพื้นที่ห้ามออกโฉนด-ทำธุรกิจ ]
📋 ในบัญชีทรัพย์สินของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ระบุว่าถือหุ้นใหญ่ในบริษัท เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ โฮเต็ล จำกัด และเป็นกรรมการบริษัทตั้งแต่ปี 2556 จนกระทั่งต้องลาออก เพื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2567
ที่ดินที่โรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ ตั้งอยู่ แบ่งออกเป็น 4 แปลง มีโฉนดทุกแปลง คือโฉนดเลขที่ 📂22054 📂76046 📂76047 และ 📂76048 อยู่ในตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
🫸 แต่จุดสำคัญก็คือ โฉนดที่ดินนั้นจะถูกกฎหมาย ก็ต่อเมื่อมันออกโดยชอบด้วยกฎหมาย
🔎 เมื่อตรวจสอบแล้วกลับพบว่าที่ดินตรงนี้เป็นที่ดินของ ‘นิคมสร้างตนเองลำตะคอง’ โดยนิคมสร้างตนเอง คือโครงการที่รัฐบาลสมัยก่อนจัดสรรพื้นที่ให้ประชาชนเข้าไปอยู่อาศัยและทำกิน และสำหรับกรณีนิคมสร้างตนเองลำตะคองมีที่มาจากการที่รัฐบาลจะสร้างเขื่อนลำตะคอง จึงอพยพชาวบ้านมายังนิคมแห่งนี้ เมื่อปี 2513 โดยให้ที่ดินชาวบ้านทำกินกันคนละไม่เกิน 50 ไร่
🔎 โดยกฎหมายบัญญัติว่าถ้าสมาชิกนิคมที่ได้สิทธิถือครองที่ดินทำกินในที่ดินครบ 5 ปี จะสามารถออกเอกสาร “หนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตนิคมสร้างตนเอง” หรือ น.ค.3 แล้วถ้าปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่นที่กฎหมายกำหนดครบถ้วน ก็สามารถเอา น.ค.3 ไปเปลี่ยนเป็น นส.3 หรือโฉนดที่ดินได้ต่อไป
🫸 แต่หลักการนี้มีข้อยกเว้นตามกฎหมาย
เพราะเมื่อตรวจสอบกับแผนที่ของกรมพัฒนาที่ดิน ที่จัดทำโดย GISTDA หรือสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ(องค์การมหาชน) ซึ่งแผนที่นี้จัดทำขึ้นมาเพื่อตรวจสอบการบุกรุกป่าบริเวณเขาใหญ่ในปี 2558
🌳 กลับพบว่าโรงแรมหรูนั้น อยู่ในเขตนิคมสร้างตนเองลำตะคอง และพื้นที่นั้นยังถูกกันไว้เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธาร (Watershed Area) จากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2514 ให้สงวนหวงห้ามไว้ ไม่ให้มีการเข้าไปทำประโยชน์และไม่ให้ออกเอกสารสิทธิใดๆ
🤔 แล้วนายกรัฐมนตรีของเรา มีโฉนดในพื้นที่หวงห้ามนี้ได้อย่างไร?
🗺️ ในสมัยก่อน เทคโนโลยีระบบแผนที่ต่างๆ ของประเทศไทยยังไม่ค่อยดี เวลาออก นค.3 ให้ชาวบ้านในนิคมสร้างตนเอง ก็ไม่ได้มีเทคโนโลยีดีๆ ไม่ได้มีการรังวัดอะไรเป็นกิจจะลักษณะเหมือนปัจจุบัน เจ้าหน้าที่แยกไม่ค่อยออกว่าชาวบ้านอยู่ที่ไหนอย่างไรกันแน่ ชาวบ้านเข้าไปอยู่ในพื้นที่สงวนหวงห้ามหรือเปล่าก็ตรวจสอบกันลำบาก ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่รู้แค่ว่าชาวบ้านมีตัวตนอยู่จริงก็ออกเอกสารให้ได้แล้ว
.
🏛️ แต่ในปี 2523 กรมที่ดินออกหนังสือเวียนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ กำชับให้เจ้าหน้าที่เขียนรายงานการรังวัดให้ครบถ้วน นับแต่บัดนั้น ถ้ากระบวนการออกโฉนดที่ดินเป็นไปตามกระบวนการปกติและถ้าเจ้าหน้าที่ดำเนินการโดยสุจริต ยากที่จะออกโฉนดที่ดินคลาดเคลื่อนผิดกฎหมายได้ แต่ถ้ายังมีการออกโฉนดที่ดินไปทับป่า ทับพื้นที่หวงห้าม ทับพื้นที่ต้นน้ำลำธาร เป็นต้น ก็สามารถสันนิษฐานได้เบื้องต้นว่า กระบวนการการออกโฉนดที่ดินนั้นน่าจะมิชอบด้วยกฎหมาย
🖥️🌐 ยิ่งในยุคที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ยากมาก เพราะเรามีระบบคอมพิวเตอร์ พอขอรังวัดปุ๊บ เอาแปลงที่ดินเข้าระบบ ก็จะรู้ได้ทันทีเลยว่าที่ดินแปลงนี้ขอออกโฉนดได้ไหม ทับที่ป่า ทับที่ สปก. หรือทับที่หวงห้าม เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธารหรือเปล่า
🏨 แต่ที่เทมส์ วัลลีย์ของท่านแพทองธาร ที่ครอบครัวไปซื้อ นส.3ก. ในปี 2537 หลังจากนั้นเพียง 2 ปี ก็เอาที่ดินในนิคมสร้างตนเองแปลงนี้ ไปออกเป็นโฉนด ได้เป็นโฉนดเลขที่ 22054 ในปี 2539 แล้วต่อมา ในปี 2555 ก็เอาโฉนดแปลงนี้ ไปแบ่งเป็น 4 แปลง
.
⚠️ เท่ากับว่าที่ดินแปลงเหล่านี้ของครอบครัวนายกรัฐมนตรี ถึงรอดพ้นการตรวจสอบถึง 2 ครั้ง ในปี 2537 และ 2555 โดยเฉพาะในปี 2555 ที่มีระบบคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยแล้ว ⚠️
🌱 ยิ่งกว่านั้น ที่ดินผืนนี้ยังอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ที่กำหนดให้ใช้ประโยชน์ที่ดินได้ เฉพาะการอยู่อาศัยและการทำเกษตรกรรม เท่านั้น และจากการตรวจสอบในปี 2558 ก็ไม่พบว่ามีการขออนุญาตประกอบธุรกิจอื่นใดนอกจากที่กฎหมายกำหนดไว้แต่เดิม
📌 เท่ากับว่า ผิด 2 ชั้น คือ :
👉 1.เป็นพื้นที่นิคมสร้างตนเอง ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจอื่นนอกจากที่อยู่อาศัยและเกษตรกรรม
👉 2.มีการออกโฉนดผิดกฎหมายถึง 2 ครั้ง ทั้งที่อยู่ในพื้นที่ต้นน้ำลำธาร
🔥 ถ้าเป็นตาสี ตาสา ยายมี ยายมา ไปขอออกโฉนดแบบซื่อๆ ในพื้นที่แบบนี้ เจ้าหน้าที่กรมที่ดินไม่ออกโฉนดให้แน่นอน มิหนำซ้ำอาจจะส่งเรื่องไปเพิกถอน นส. 3ก หรือโฉนดที่ได้มาอีกด้วย 🔥
🗣️ “...แต่สิ่งที่ยิ่งน่ารังเกียจ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการไม่เคารพกฎหมาย แต่ยังเป็นการจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินโดยมิชอบ ท่านประธานคิดว่าการที่สนามกอล์ฟ แรนโช ชาญวีร์ ของครอบครัวท่านอนุทินถูกตรวจสอบ มันเป็นเรื่องบังเอิญเหรอครับ ขนาดท่านอนุทินยังไม่เชื่อเลย บอกว่ามันมีใบสั่งทางการเมือง 500%
แล้วใครครับ ที่จะออกใบสั่งเพื่อเล่นงานคนระดับท่านอนุทินได้ เป็นทั้งรองนายกรัฐมนตรี เป็นทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็มีแต่ท่านนายก หรือไม่ก็คนในครอบครัวของท่านเท่านั้นแหละ ที่มีอำนาจบารมีพอที่จะทำได้
ในเมื่อท่านนายกเห็นว่าที่ดินสนามกอล์ฟ แรนโช ชาญวีร์ อาจมีปัญหา ท่านนายกลืมไปแล้วเหรอครับว่า ที่ดินของตนเองและครอบครัวที่เขาใหญ่ มันน่าจะมีปัญหาหนักกว่าของครอบครัวท่านอนุทินเสียอีก เพราะแรนโช ชาญวีร์ เป็นแค่ นส.3ก ที่อาจทับพื้นที่ สปก. แต่กรณีโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่นั้น เป็นการโฉนดทับพื้นที่ต้นน้ำลำธาร และยังทำธุรกิจโรงแรมโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียด้วย
ท่านประธานคิดว่า คนอย่างแพทองธาร ชินวัตร ไม่รู้เรื่องรู้ราวจริงๆ หรือครับ
ท่านนายกรู้แน่ๆ แต่ท่านนายกจงใจที่จะละเลย ไม่ตรวจสอบการกระทำผิดของตนเองและครอบครัว
คนอย่างแพทองธาร ชินวัตร ไม่ใช่แค่ไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง แต่ยังทำให้กฎหมายกลายเป็นแค่เครื่องมือทางการเมืองของตนเองและครอบครัว เจตนาใช้กฎหมายอย่างฉ้อฉล นำไปใช้เล่นงานคู่ขัดแย้งทางการเมืองของตนเองเท่านั้น แต่ปกปิดอำพราง ไม่เคยคิดที่จะตรวจสอบการกระทำผิดของตนเองและครอบครัว
คนที่มีพฤติกรรม พฤติการณ์เช่นนี้ จะปล่อยให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปอีกไม่ได้แม้แต่วันเดียว
เมื่อสภาแห่งนี้ทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ผมก็ขอให้พวกเราร่วมกัน ใช้อำนาจที่ได้รับมาจากประชาชน ลงมติไม่ไว้วางใจ ไม่ให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อีกต่อไป…”
🗣️ ธีรัจชัย พันธุมาศ ผู้แทนราษฎรพรรคประชาชน อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในวันที่ 24 มีนาคม 2568
#พรรคประชาชน #อภิปรายไม่ไว้วางใจ #แพทองธาร

24/03/2025
🤝 ดีลแลกประเทศ 🔥❌ เมื่อช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกลาญ✅ เมื่อช้างสารดีลกัน ประชาชนก็แหลกลาญ🔥 18 เดือนภายใต้รัฐบาลที่ดีลกั...
18/03/2025

🤝 ดีลแลกประเทศ 🔥
❌ เมื่อช้างสารชนกัน หญ้าแพรกก็แหลกลาญ
✅ เมื่อช้างสารดีลกัน ประชาชนก็แหลกลาญ
🔥 18 เดือนภายใต้รัฐบาลที่ดีลกันบนผลประโยชน์ของชนชั้นนำ เหยียบย่ำเสียงของประชาชน คนไทยต้องสูญเสียไปเท่าไหร่ เพื่อให้คนบางคนได้กลับบ้าน ประเทศเสียหายไปแค่ไหน เพื่อให้แพทองธาร ชินวัตร ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
💸 ดิจิทัลวอลเล็ตกลายพันธุ์จนจำรูปร่างเดิมไม่ได้ แจกจ่ายไม่ทั่วถึง เศรษฐกิจโตต่ำรั้งท้ายอาเซียน คนไทยตกงานนับแสน ค่าครองชีพสูง ค่าแรงไม่ขึ้นตามสัญญา
🪖 กองทัพกลายเป็น "เขตทหาร ห้ามเข้า" รัฐบาลพลเรือนแตะต้องไม่ได้ ปฏิรูปกองทัพเป็นเพียงลมปาก
🏛️ แก้รัฐธรรมนูญไร้ความคืบหน้า นักโทษการเมืองติดคุกไม่ได้ประกัน ประเทศไทยถูกประณามเป็นที่อับอายในเวทีโลก
👀 ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ร่วมติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งแรกของพรรคประชาชน เปิดทุกดีลลับ คิดบัญชีทุกความสูญเสีย เปิดทุกแผลที่ถูกหมกเม็ด ของแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
🗓️ 24 มีนาคมนี้ เป็นต้นไป
#พรรคประชาชน #ประชุมสภา #อภิปรายไม่ไว้วางใจ

[ กำหนดการกิจกรรมสมาชิกสัมพันธ์ อำเภอเมือง จังหวัดพังงา และตารางการแข่งขัน ]​ เสวนา: "บอลไทยจะไปบอลโลก ต้องเริ่มที่บอลเย...
16/03/2025

[ กำหนดการกิจกรรมสมาชิกสัมพันธ์ อำเภอเมือง จังหวัดพังงา และตารางการแข่งขัน ]​

เสวนา: "บอลไทยจะไปบอลโลก ต้องเริ่มที่บอลเยาวชน"
📅 23 มีนาคม 2568
📍 สถานที่: สนามหญ้าเทียมองค์การบริหารส่วรจังหวัดพังงา

กำหนดการ
⏰ 08:00 – 08:15 | ลงทะเบียนและต้อนรับสมาชิก
⏰ 08:15 – 09:00 | เสวนา: "บอลไทยจะไปบอลโลก ต้องเริ่มที่บอลเยาวชน"
✨ประเด็นเสวนา
ระบบพัฒนาเยาวชนในไทยและต่างประเทศ
บทบาทของภาครัฐ เอกชน และสโมสรฟุตบอล
เส้นทางสู่ฟุตบอลอาชีพและทีมชาติ
⏰ 09:00 – 09:15 | พิธีเปิดการแข่งขันฟุตบอลเยาวชน
⏰ 09:15 – 16:00 | การแข่งขันฟุตบอลเยาวชน รุ่นอายุไม่เกิน 12 ปี (ทีม 7 คน)
🏆 พิธีมอบรางวัลและปิดงาน
⏰ 16.30 – 17:00 | มอบรางวัลแก่ทีมชนะเลิศ รองชนะเลิศ และทีมเข้าร่วม
📌 หมายเหตุ: กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม

#พรรคประชาชนพังงา

13/03/2025

💸 [ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย! : เลิกจ้างไม่จ่ายเงินชดเชย ผิดกฎหมายชัดๆ แต่กระทรวงแรงงานไร้น้ำยา นายจ้างไม่เกรงกลัว ]
ในการประชุมสภาฯ วันนี้ (13 มี.ค. 2568) เซีย จำปาทอง - Sia Jampathong สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ตั้งกระทู้ถามสดนายกรัฐมนตรี ถึงกรณีที่มีบริษัทหลายแห่งประกาศปิดกิจการ เลิกจ้างแรงงาน แต่นายจ้างกลับไม่จ่ายเงินชดเชยให้ตามกฎหมาย โดยนายกฯ มอบหมายให้ พิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มาเป็นผู้ตอบกระทู้แทน
เซียกล่าวว่า เมื่อปี 2567 มีโรงงานจำพวกที่ 2 และ 3 ตาม พ.ร.บ.โรงงาน เลิกกิจการไปมากกว่า 1,200 แห่ง หรือเฉลี่ยประมาณเดือนละ 100 แห่ง มีคนถูกเลิกจ้างมากกว่า 35,000 คน หรือเฉลี่ยเดือนละประมาณ 3,000 คน และมีมูลค่าความเสียหายจากการลงทุนไปกว่า 48,000 ล้านบาท ตัวเลขที่ยกมานี้ไม่นับรวมกิจการประเภทอื่นๆ ที่ปิดกิจการหรือมีการเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมาก 😔
การเลิกจ้างไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด คนที่ถูกเลิกจ้างย่อมได้รับผลกระทบ ไม่ว่าด้วยภาระค่าใช้จ่ายหรือหนี้สินส่วนบุคคล ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าเล่าเรียนบุตร ค่าภาษีสังคม บางคนอายุเริ่มมากขึ้น หางานใหม่ทำก็ลำบาก นายจ้างมักไม่รับคนที่มีอายุมากเข้าทำงาน
ถึงแม้นายจ้างจะสามารถเลิกจ้างลูกจ้างได้ แต่ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานระบุว่า หากนายจ้างจะเลิกจ้างต้องจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายให้แก่ลูกจ้าง แต่ที่ผ่านมานายจ้างหลายรายกลับไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่สนใจ ไม่ปฏิบัติตาม และนายจ้างยังระบุด้วยว่า หากลูกจ้างอยากได้เงินค่าชดเชยก็ให้ไปฟ้องร้องยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานเอง!
แม้พนักงานตรวจแรงงานจะออกคำสั่งให้นายจ้างจ่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านายจ้างจะยอมจ่ายตามคำสั่ง และกระทรวงแรงงานในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลก็ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายให้นายจ้างนำเงินมาจ่ายให้ลูกจ้างได้
หากนับรวมกันตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา มีลูกจ้างที่ไม่ได้รับเงินชดเชยตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานจำนวนมากถึง 43,690 คน รวมเป็นจำนวนเงินกว่า 2,888 ล้านบาท ตนจึงขอถามรัฐมนตรีว่า จะดำเนินการบังคับให้นายจ้างดำเนินตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน นำเงินมาจ่ายให้ลูกจ้างกว่า 40,000 คนได้อย่างไร และรัฐบาลจะมีมาตรการป้องกันการเลิกจ้างโดยไม่จ่ายเงินค่าชดเชยที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกแน่ๆ อย่างไร
ด้านพิพัฒน์ตอบคำถามว่า ในขั้นตอนของกระทรวงแรงงานได้จ่ายเงินให้ลูกจ้างตามความรับผิดชอบของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานไปแล้วจำนวน 70% ของเงินเดือน อีกส่วนหนึ่งคือประกันสังคม ซึ่งก็ได้จ่าย 50% ของเงินเดือนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตนได้ทำเรื่องเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรี ขออนุมัติงบกลางเพื่อช่วยเหลือแรงงานบริษัทยานภัณฑ์ที่ถูกเลิกจ้างโดยไม่จ่ายเงินชดเชย ซึ่ง ครม. ก็ได้ทำหนังสือเวียนไปถึงส่วนราชการหรือกระทรวงต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้อง โดยตนจะรอคำตอบจากการประชุม ครม. ต่อไป
🚨[ ขอเบิกงบกลางเยียวยาลูกจ้าง รอมานานนับเดือน ครม. ก็ยังไม่อนุมัติ ]
เซียถามคำถามที่สองว่า สำหรับกรณีบริษัทยานภัณฑ์ที่รัฐมนตรีได้ทำเรื่องส่งไปให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ตนต้องขอชื่นชมที่มีการดำเนินการตามที่รับปากกับแรงงานไว้ แต่ที่ต้องถามต่อคือเมื่อมีการส่งเรื่องไปแล้ว รัฐมนตรีได้ติดตามต่อหรือไม่ว่าติดเงื่อนไขอะไร ทำไมรับปากกับลูกจ้างไว้ว่าไม่เกิน 7-14 วัน วันนี้ผ่านมาเดือนกว่าแล้วกลับยังไม่มีความคืบหน้า และยังรอหน่วยงานต่างๆ ชี้แจงกลับมาว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ในการขออนุมัติงบประมาณมาช่วยเหลือลูกจ้างอยู่
นอกจากนี้ ในเอกสารที่ส่งไปยัง ครม. ข้อที่ 2 รัฐมนตรีระบุว่า “ไม่มีความเร่งด่วน” รัฐมนตรีไม่ทราบหรือว่าลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างไม่มีรายได้ และมีคนเสียชีวิตไปแล้วด้วย มันหมายความว่าอย่างไร ปากท้องของประชาชนที่เดือดร้อนไม่สำคัญหรือ ตนจึงขอสอบถามว่าการขออนุมัติงบกลางที่รัฐมนตรีเคยรับปากไว้ มีระยะเวลาในการบรรจุเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อใด และขณะนี้ติดปัญหาอะไร
ในส่วนของพิพัฒน์ได้ตอบคำถามว่า กรณีที่ตนได้ทำเรื่องเข้า ครม. ไปนั้น ตนนำเสนอในสิ่งที่รับปากกับผู้ใช้แรงงานที่ได้รับความเดือดร้อนไว้ แต่ตนก็เร่งรัดตามหน้าที่ด้วยการพูดคุยและเจรจาเป็นการภายใน คงไม่สามารถชี้แจงได้ว่าในแต่ละส่วนงานหรือกระทรวงมีความคิดเห็นเป็นอย่างไร เป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละกระทรวงที่จะตอบมา แต่ก็มีเงื่อนไขของเวลาที่โดยปกติแล้วจะตอบภายในไม่เกิน 1 เดือน ซึ่งตนจะไปหารือกับทางสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีว่าเรื่องนี้มีความคืบหน้าอย่างไรต่อไป
ตนขอบคุณ สส.เซียที่เร่งรัด แต่การที่หน่วยราชการจะตอบมาเมื่อใดก็เป็นสิทธิของแต่ละกระทรวง ที่สำคัญคือต้องดูว่าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะมีความเห็นว่าอย่างไร การใช้งบกลางสำหรับเรื่องนี้เหมาะสมหรือทำได้หรือไม่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตนได้ยื่นเอกสารไป ตนเคยยื่นไปครั้งหนึ่งแล้ว และได้รับการตอบกลับมาว่าไม่เข้าข่ายที่จะใช้งบกลางได้ แต่ตนก็จะพยายามติดตามเรื่องนี้ต่อไป
❤️‍🩹 [ แค่เยียวยาเฉพาะหน้าไม่พอ แต่ต้องมีมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก ]
เซียถามคำถามที่สามว่า สิ่งที่สำคัญกว่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คือมาตรการป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ตอนนี้ลูกจ้างบริษัทยานภัณฑ์ บริษัทเอเอ็มซี บริษัทอัลฟ่า และบริษัทบอดี้แฟชั่นกำลังชุมนุมอยู่หน้าทำเนียบรัฐบาล ตนได้รับแจ้งจากพี่น้องแรงงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังไปก่อกวนให้ย้ายที่ชุมนุม วันนี้ถ้ารัฐมนตรีบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นจริงจัง บังคับให้นายจ้างนำเงินค่าชดเชยมาจ่ายให้ลูกจ้างได้ ลูกจ้างก็ไม่มาชุมนุม แต่เมื่อกระทรวงแรงงานไม่สามารถบังคับใช้กฎหมายได้ วันนี้เขาถึงต้องมาหารัฐบาลเพื่อให้มีมาตรการในการติดตามนำเงินมาจ่ายลูกจ้าง เพราะฉะนั้นจึงขอฝากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานช่วยเข้าไปดูแลลูกจ้างด้วย
จากข้อมูลที่ตนกล่าวถึงก่อนหน้านี้ มีการออกคำสั่งให้นายจ้างจ่ายเงินลูกจ้างมากกว่า 43,600 คน แต่นายจ้างก็ไม่จ่ายเงิน บางแห่งกลายเป็นบุคคลล้มละลาย บางแห่งใช้วิธีการโอนย้ายทรัพย์สิน ตนจึงขอสอบถามรัฐมนตรีว่าจะมีมาตรการบังคับอายัดทรัพย์ของนายจ้าง ป้องกันการโยกย้ายทรัพย์สินที่เป็นรูปธรรมได้อย่างไร และสิ่งที่รัฐมนตรีบอกว่าจะแก้ปัญหาให้ลูกจ้างที่เดือดร้อนด้วยการเร่งขออนุมัติงบกลาง ขอให้มีการเร่งรัด อย่ารอเวลาถึงหนึ่งเดือนเลย
ในส่วนของพิพัฒน์ได้ตอบคำถามว่า กรณีบริษัทบอดี้แฟชั่นนั้นศาลแรงงานภาค 1 พระนครศรีอยุธยา และศาลแรงงานภาค 6 นครสวรรค์ ได้มีคำสั่งพิพากษาแล้ว และกรมบังคับคดีมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์นายจ้าง 3 รายการและประกาศขายทอดตลาดแล้วจำนวน 6 ครั้ง แต่ยังไม่มีผู้ซื้อ เมื่อใดที่มีผู้ซื้อก็คงจะนำทรัพย์มาเฉลี่ยให้ผู้ใช้แรงงานได้ ส่วนการดำเนินคดี อัยการสั่งฟ้องแล้ว 10 คดี อยู่ในชั้นพนักงานอัยการ 2 คดี และมีการออกหมายจับนายจ้างแล้ว ผู้ต้องหาสัญชาติไทยถูกจับกุมเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2567 ปัจจุบันฝากขังอยู่ที่เรือนจำจังหวัดสมุทรปราการ ส่วนอีก 2 รายที่เป็นชาวต่างชาติ ตอนนี้ได้ประสานไปยังกองการต่างประเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อหารือและขอออกหมายแดงในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป
นี่คือตัวอย่างของส่วนที่กระทรวงแรงงานได้พยายามดำเนินการไปให้ถึงที่สุด และเมื่อถึงที่สุดแล้วก็จะมีการยึดทรัพย์นำมาขายทอดตลาดเพื่อเฉลี่ยทรัพย์ในส่วนต่างๆ ส่วนวิธีการป้องกัน ตนขอตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าคงไม่มีความสามารถในการป้องกันไม่ให้เกิดการปิดกิจการหรือการล้มละลายได้ เป็นเหตุสุดวิสัยของแต่ละธุรกิจ สามารถทำได้เพียงให้เจ้าหน้าที่สอดส่องดูแลว่ามีบริษัทใดบ้างที่ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปและจะมีการปิดกิจการ ก็จะหาวิธีเจรจากับนายจ้างว่าก่อนปิดกิจการต้องดูแลและเยียวยาผู้ใช้แรงงาน ส่วนกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไปทำอะไรกับผู้ชุมนุมทั้ง 4 บริษัท ตนจะส่งเจ้าหน้าที่ไปดูและเจรจาไกล่เกลี่ยให้ อะไรที่ตนรับผิดชอบได้ ตนก็จะพยายามทำอย่างเต็มที่ต่อไป

12/03/2025
11/03/2025
10/03/2025

⚡[ แฉต่อ! ประกันสังคมถลุงเงิน 7 พันล้าน ซื้อตึกมูลค่า 3 พันล้าน ดีลนี้แย่ต่อเรา ดีต่อใคร? ]
พรรคประชาชนลุยต่อ เพื่อพิทักษ์เงินของผู้ประกันตนทุกคน วันนี้ (10 มี.ค.) ที่หน้าอาคาร SKYY9 Centre ย่านพระราม 9 รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพฯ และ สหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน ร่วมแถลงข่าว “แฉเสียดฟ้า กองทุนประกันสังคมจงใจลงทุนผิดพลาด เพื่อเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องหรือไม่” กรณีสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ซื้ออสังหาริมทรัพย์ย่านพระราม 9 ที่มีข้อสงสัยถึงปัญหาธรรมาภิบาล
รักชนกกล่าวว่า การลงทุนคือหัวใจสำคัญของกองทุนประกันสังคม เพราะการที่กองทุนจะอยู่ได้หรือจะล้มอยู่ที่การนำเงิน 2.6 ล้านล้านบาทในกองทุนไปบริหารจัดการอย่างไร ซึ่งกรณีวันนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้เห็นถึงปัญหาธรรมาภิบาลในการลงทุนของ สปส. ที่เล่นแร่แปรธาตุซื้อตึกมูลค่า 3 พันล้านบาทด้วยราคา 7 พันล้านบาทในปี 2565-2566 ซึ่งไม่ใช่ตึกที่เพิ่งสร้างเสร็จ แต่เป็นตึกที่ในอดีตช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเป็นตึกร้าง จนกระทั่งมีบริษัทแห่งหนึ่งซื้อตึกไปปรับปรุงซ่อมแซม เมื่อปรับปรุงเสร็จก็ประจวบเหมาะกับช่วงที่ สปส. ปรับแก้ระเบียบต่างๆ ทำการศึกษา และมีการตัดสินใจลงทุนพอดี
📉 [ แผนงานสวยหรู แต่จำนวนผู้เช่าไม่เป็นไปตามเป้า ขาดทุนยับ ]
ตึกแห่งนี้ในช่วงปลายปี 2565 มีอัตราการเข้าทำกำไรหรืออัตราการเช่าอยู่ที่ 1% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม สปส. ได้เข้าซื้อตึกนี้โดยมีการทำแผนงานที่สวยหรูเกินจริง อ้างถึงผลตอบแทนที่จะได้รับอย่างเหมาะสม แต่เมื่อเริ่มดำเนินการกลับมีผู้เช่าในปีแรกเพียง 1-2% เท่านั้น ปัจจุบันตัวเลขที่ สปส. รายงานมีคนเข้าใช้ตึกประมาณ 40% แต่เป็นตัวเลขที่น่าสงสัย น่าจะมีการรวมผู้เช่าที่คาดว่าจะเข้ามาใช้ในอนาคตด้วย และตัวเลขจริงอาจต่ำกว่า 40% อยู่ที่เพียง 20-30% เท่านั้น
ตึกนี้ทำกำไรในปี 2567 ประมาณ 40 ล้านบาท แต่ค่าบริหารจัดการรวมกับค่าจ้างกองทุนในการบริหารอยู่ที่ประมาณ 50 ล้านบาท ถ้าทำกิจการด้วยอัตรานี้ต่อไปเท่ากับจะติดลบทุกปี เงิน 7 พันล้านบาทที่ สปส. ทุ่มลงทุนไปจะสูญเปล่า ตึกแห่งนี้ถูกตั้งเป้าจัดทำประเมินการคาดการณ์ไว้อย่างสวยหรู แต่ตัวเลขที่ปรากฏในปัจจุบันต่ำกว่าเป้าทั้งหมด ทั้งการคาดการณ์ที่บอกว่าภายใน 2 ปีจะมีผู้มาเช่าใช้ 60% แต่ตัวเลขตามรายงานอยู่ที่ 40% และต่อให้มีคนมาเช่าใช้ 100% ก็ต้องใช้เวลา 30 ปีกว่าจะคืนทุน
กรณีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า สำนักงานประกันสังคมในยุคที่ผ่านมามีปัญหาเรื่องธรรมาภิบาล เอกสารทุกอย่างในการศึกษามีความพยายามตีความให้เข้าข้างว่าต้องซื้อ และยังมีคำถามอีกว่าทำไม สปส. ถึงตัดสินใจใช้เงิน 7 พันล้านบาทในการลงทุนตึกแห่งเดียว แทนที่จะมีการกระจายความเสี่ยงไปยังแหล่งอื่นๆ สปส. ไม่มีประสบการณ์ในการบริหารสินทรัพย์แบบนี้ แล้วทำไมถึงยังลงทุนในตึกแห่งนี้
💰 [ ชวนสื่อและสังคมช่วยจับตา ดีลนี้ใครได้ประโยชน์? ]
รักชนกกล่าวว่า ตึกแห่งนี้ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งเดิมชื่อ ICE ในช่วงโควิด-19 มีการประเมินมูลค่าของตึกนี้อยู่ที่ 3 พันล้านบาท ทำไม สปส. ถึงยอมจ่ายเงิน 7 พันล้านบาทเพื่อซื้อของในราคา 3 พันล้านบาท ทั้งที่ทุกล้านบาทที่ สปส. ประหยัดได้และนำไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทน 5% ไปอีก 30 ปี จะงอกขึ้นมาเป็นเงิน 4.32 ล้านบาท นี่คือค่าเสียโอกาสที่เกิดขึ้นของผู้ประกันตน
ตนอยากให้สื่อมวลชนลองคุ้ยประวัติของตึกนี้ว่ามือแรกและมือถัดๆ มามีชื่อใครเป็นเจ้าของ มีชื่อใครปรากฏอยู่บ้าง มีนักการเมืองพรรคไหนบ้างหรือไม่ ตึกนี้ปรับปรุงเสร็จเมื่อต้นปี 2565 หลังจากพร้อมใช้งานก็พร้อมขายต่อให้ สปส. เลย เป็นการตกแต่งหน้าตาของตึกโดยรู้อยู่แล้วว่า สปส. พร้อมจะซื้อเลยหรือไม่ นอกจากนี้ตนยังได้ยินข่าวลือมาอีกว่า สปส. พยายามย้ายสำนักงานบางส่วนเข้ามาใช้พื้นที่ในตึกนี้ แต่มันเป็นเพียงการย้ายเงินจากกระเป๋าซ้ายมาเข้ากระเป๋าขวาหรือไม่ หรืออาจจะเป็นการอยากให้ตัวเลขการเช่าใช้ตึกสูงขึ้นหรือไม่
รักชนกยังกล่าวด้วยว่า จากเรื่องที่ตนได้เปิดมาตั้งแต่มีการแฮ็กงบประมาณ สปส. นอกจากโครงการเว็บแอป 850 ล้านบาทที่ทุกวันนี้ยังไม่เสร็จ ยังไม่มีการปรับ และยังมีพิรุธเต็มไปหมด หรือโครงการต่างๆ ที่เป็นการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่าและไม่สอดคล้องกับงานของ สปส. เช่นการทำปฏิทิน วันนี้สังคมไปไกลหลายเรื่องแล้ว แต่ฝ่ายการเมืองถึงที่สุดกลับยังไม่ออกมาทำอะไรเรื่องนี้ ไม่ตั้งกรรมการสอบ ไม่สืบหาข้อเท็จจริง ตนจึงขอเรียกร้องไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน อย่างน้อยที่สุดควรตั้งกรรมการในการสอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง
“การลงทุนซื้อตึก 7 พันล้าน ส่วนต่างของมูลค่าจริงกับเงินที่จ่ายไปคือ 4 พันล้าน ดิฉันอยากตั้งคำถามว่าใครได้กำไร ประกันสังคมไม่ได้กำไรแน่นอน แต่ดิฉันเชื่อว่ามีคนกำไรแล้ว นอกจากนี้ในปีที่มีการลงทุนซื้อตึกนี้ก็เป็นช่วงที่ใกล้เลือกตั้งพอดี มีพรรคการเมืองใดมาหากินโดยเอาส่วนต่างของประกันสังคมไปเป็นทุนทรัพย์ในการเลือกตั้งหรือไม่”
💫 [ นักการเมืองย้ายเด็กหน้าห้อง มาเพื่อทำดีลนี้โดยเฉพาะ!? ]
สหัสวัตกล่าวว่า ในการเข้าลงทุนของประกันสังคม โดยปกติแล้ว สปส. จะทำแผนการลงทุน 5 ปีโดยบอร์ดใหญ่ ซึ่งเป็นเพียงการกำหนดกรอบการลงทุนใหญ่ๆ แต่คนที่ตัดสินใจจริงคืออนุกรรมการการลงทุนที่พิจารณาแผนลงทุนรายปี และคนที่มีอำนาจตัดสินใจจริงๆ ในการอนุมัติลงทุนนอกตลาดแบบนี้คือเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม
ในช่วงปี 2565 มีความพยายามให้ สปส. ลงทุนนอกตลาดหุ้นมากขึ้น มีการพิจารณาแผนรายปีขึ้นมา ซึ่งตนขอตั้งคำถามว่ามีการแทรกแซงของฝ่ายการเมืองในการตัดสินใจซื้อสินทรัพย์ต่างๆ หรือไม่ เพราะคนที่มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในส่วนนี้คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งในช่วงปี 2565 มีการแต่งตั้งโยกย้ายเด็กหน้าห้องของตัวเองมาอยู่ในกลุ่มงานบริหารความเสี่ยงและกำกับการลงทุน เพื่อทำแผนรายปีและตัดสินใจว่าจะซื้ออะไร โดยอนุกรรมการการลงทุนนอกตลาดที่ตั้งขึ้นมาก็มีคนหน้าห้องคนเดิมเข้าไปอยู่ในอนุกรรมการชุดนั้นด้วย นอกจากนั้นยังมีที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในขณะนั้นเข้ามาอยู่ในอนุกรรมการด้วย
นอกจากนี้ การเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ของ สปส. สามารถซื้อโดยตรงได้ แต่การลงทุนซื้อตึกนี้กลับมีความซับซ้อน เพราะเป็นการตั้งกองทรัสต์ขึ้นมากองหนึ่งมูลค่า 9.8 พันล้านบาท โดย 30% เป็นการลงทุนในต่างประเทศ แต่ 70% กลับทุ่มมาซื้อตึกนี้ที่เดียว แล้วยังให้กองทรัสต์ไปซื้อบริษัทแห่งหนึ่งที่มีสินทรัพย์เพียงอย่างเดียวคือตึกแห่งนี้ เป็นการลงทุนซ้ำซ้อนและมีความพยายามปกปิด ทำให้น่าสงสัยว่าทำไมต้องมีการปกปิดขนาดนี้
ปกติกองทุนใหญ่ๆ ทั่วโลกที่มีการลงทุนนอกตลาดหุ้นในอสังหาริมทรัพย์ครั้งแรก มักจะไปร่วมลงทุนกับกองทุนอื่นๆ ที่มีความเชี่ยวชาญ มีการกระจายความเสี่ยง ไม่มีใครทุ่มซื้อตึกแห่งเดียวแบบนี้ จนตนต้องตั้งข้อสงสัยว่าดีลตึกนี้มีความเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมืองหรือไม่ เพราะมีการโยกเด็กหน้าห้องตัวเองมาทำดีลนี้โดยตรง และมาอยู่ในอนุกรรมการที่ผลักดันให้เกิดดีลนี้
“ที่ผ่านมาการลงทุนของประกันสังคมไม่เคยเปิดเผยต่อประชาชนว่าทำอะไร ซื้อตึกที่ไหนบ้าง เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ตราบใดที่การลงทุนของประกันสังคมยังอยู่ในมุมมืดแบบนี้ก็อาจจะเปิดช่องให้นักการเมืองเข้าไปแทรกแซงแล้วหาเงินกับเรื่องนี้ได้ การโยกย้ายข้าราชการในปี 2565 เป็นอำนาจโดยตรงของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในขณะนั้น ท่านเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ และท่านได้ประโยชน์อย่างไรจากการซื้อตึกแห่งนี้”
💪 [ เดินหน้าตรวจสอบต่อไป เพื่อพิทักษ์เงินทุกบาทของผู้ประกันตน ]
สหัสวัตกล่าวว่า เงินของผู้ประกันตนทุกบาทควรถูกพิจารณาอย่างโปร่งใส ไม่ควรมีใครได้ผลประโยชน์เอื้อพวกพ้องจากเรื่องนี้ การลงทุนของ สปส. มีปัญหาและถูกแทรกแซงจากผู้มีอำนาจ อีกทั้งโครงสร้างของ สปส. ทุกวันนี้ก็มีปัญหาจริงๆ และต้องได้รับการปฏิรูป นายกรัฐมนตรีควรตั้งกรรมการสอบสวนเรื่องนี้และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการซื้อตึกนี้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีอำนาจในการอนุมัติคือเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ซึ่งในขณะนั้นคือ บุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปัจจุบันเป็นปลัดกระทรวงแรงงาน ซึ่งไม่เคยออกมาตอบคำถามใดๆ ว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ รวมถึงอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สุชาติ ชมกลิ่น เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่
และต่อให้แม้เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและเลขาธิการ สปส. คนปัจจุบัน แต่รัฐมนตรีฯ ก็ควรตั้งกรรมการสอบสวนย้อนหลังถึงการลงทุนที่ผิดปกติของ สปส. โดยในการประชุมบอร์ด สปส. วันพรุ่งนี้นอกจากเรื่องการพิจารณาปรับสูตรคำนวณเงินบำนาญแล้ว ยังจะมีการพิจารณาหลักเกณฑ์ในการเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง ซึ่งสังคมและสื่อมวลชนควรต้องช่วยกันจับตามองเพื่อไม่ให้เกิดการซื้อตึกแบบแปลกๆ เช่นนี้อีกในอนาคต
#พรรคประชาชน #ประกันสังคม

ที่อยู่

Phangnga
83110

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Andamanreallifeผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์