สวท.พังงา กรมประชาสัมพันธ์

สวท.พังงา กรมประชาสัมพันธ์ F.M. 100 MHz "วิทยุแห่งประเทศไทย ให้ความรู้คู่ความสุข

วันที่ 19 กรกฎาคม 2519 สถานีวิทยุกระจายแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา ออกอากาศส่งกระจายเสียงอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกด้วยระบบ เอ.เอ็ม ความถี่ 1341 กิโลเฮริซ์ โดยใช้อาคารศาลากลางจังหวัดพังงาหลังเก่าปรับปรุงเป็นห้องส่งใช้ออกอากาศเผยแพร่ข้อมูล

ส่วนเครื่องส่งเป็นเครื่องที่กองช่างกรมประชาสัมพันธ์ จัดสร้างขึ้นเองขนาดกำลังส่ง10 กิโลวัตต์ เนื่องจากยังไม่ได้รับงบประมาณจนกระทั่งปี 2524 จึงได้รับการจัดสรรงบป

ระมาณ ในการก่อสร้างอาคาร สำนักงานและบ้านพัก พร้อมทั้งย้ายมาอยู่ ณ อาคารสำนักงานแห่งใหม่ เลขที่ 2 ถนนเทศบาลบำรุง ตำบลท้ายช้าง อำเภอเมือง จังหวัดพังงา เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม2526 เนื่องจากเครื่องส่งระบบ เอ. เอ็ม. ของ สวท.พังงา เป็นเครื่องส่งที่กองช่างกรมประชาสัมพันธ์ จัดสร้างขึ้นเองกอปรกับใช้งานมานานถึง 26 ปีเศษ ประสิทธิภาพของเครื่องส่งจึงลดน้อยด้อยลงตามกาลเวลา อุปกรณ์ต่าง ๆ หมดอายุการใช้งานจนไม่สามารถซ่อมแซมเพื่อใช้งานได้อีกต่อไป จึงเป็นที่น่ายินดีที่ในปีงบประมาณ 2545 กรมประชาสัมพันธ์ ได้จัดสรร งบประมาณจัดซื้อเครื่องส่ง เอ.เอ็ม เครื่องใหม่ขนาด 10 กิโลวัตต์ ให้สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา พร้อมอุปกรณ์ส่วนควบตลอดจนปรับปรุงห้องเครื่องส่ง ระบบการส่ง และอุปกรณ์ห้องส่งใหม่ทั้งหมด ดำเนินการติดตั้งเสร็จเรียบร้อยและเริ่มส่งกระจายเสียงตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2545 เป็นต้นมา

สำหรับระบบ เอฟ.เอ็ม ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2539 โดยผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา ( นางสาวนิ่มนวล เขียวหวาน ) ได้ขออนุมัติอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ในขณะนั้น ( นายชั้น พูลสมบัติ ) ขอนำเครื่องส่งเก่าจากสถานีวิทยุกระจายแห่งประเทศไทย จังหวัดชุมพร ซึงใช้งาน มานานถึง 30 ปีเศษ ปรับปรุงซ่อมแซมใหม่ จนสามารถใช้งานได้ในระดับหนึ่ง และถือฤกษ์ออกอากาศส่งกระจายเสียงด้วยความถี่ เอฟ.เอ็ม. ความถี่ 100 มกกะเฮริซ์ เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2539 ซึ่งเป็นวันฉัตรมงคล และถือเป็นกิจกรรมเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในปีกาญจนาภิเษก แต่เนื่องจากสภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปของจังหวัดพังงา เป็นภูเขาล้อมรอบ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการส่งกระจายเสียงเป็นอย่างมากเพราะรัศมีในการส่งกระจายเสียงไม่สามารถครอบคลุมได้ทุกพื้นที่ กอรป์กับประสิทธิภาพของเครื่องส่งก็ไม่สมบูรณ์ ร้อยเปอร์เซ็น จึงได้พิจารณาย้ายเครื่องส่งขึ้นไปติดตั้งบนเขาช้าง ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1000 ฟิต ทำให้รัศมีการส่งกระจายเสียงครอบคลุมพื้นที่ได้มากขึ้น

อย่างไรก็ดี เนื่องจากเป็นเครื่องส่งเก่าที่ใช้งานมานานถึง 30 ปีเศษอุปกรณ์ต่าง ๆ หมดอายุการใช้งานแล้ว เครื่องจึงขัดข้องบ่อยครั้งมากการส่งกระจายเสียงไม่เป็นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการประชาสัมพันธ์งานโครงการและนโยบายต่าง ๆของรัฐบาลเป็นอย่างมาก จึงได้รับอนุมัติจากรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ฝ่ายปฏิบัติการ ( นายสมพงษ์ วิสุทธิ์แพทย์ ตำแหน่งในขณะนั้น ) ให้นำเครื่องส่ง เอฟ.เอ็มจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดจันทบุรี ( ใช้งานมาแล้ว 7 ปี ) มาติดตั้งใช้งานที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา โดยเจ้าหน้าที่จากสำนักส่งเสริมและพัฒนางานเทคนิคกรมประชาสัมพันธ์ได้นำมาติดตั้งและใช้งานตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2541

11/08/2025

💥ครม. อนุมัติเงินเยียวยาผู้เสียชีวิต เหตุปะทะชายแดนไทย - กัมพูชา ทหาร 10 ล้าน ประชาชน 8 ล้าน💥

“เอกนัฏ” ผนึกทีมสุดซอย DSI ลุยปราบสินค้าด้อยมาตรฐาน ยึดกว่า 6 แสนชิ้น ปิดโกดังลักลอบนำเข้า สวม มอก. ดันแผงโซลาร์เซลล์–ชุ...
11/08/2025

“เอกนัฏ” ผนึกทีมสุดซอย DSI ลุยปราบสินค้าด้อยมาตรฐาน ยึดกว่า 6 แสนชิ้น ปิดโกดังลักลอบนำเข้า สวม มอก. ดันแผงโซลาร์เซลล์–ชุดชาร์จรถ EV เป็น มอก. บังคับ ปี 69
กระทรวงอุตสาหกรรม นำโดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ พร้อม “ทีมสุดซอย” ร่วมกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตรวจโกดังย่านบางขุนเทียน 2 แห่ง พบสินค้าด้อยมาตรฐานและสวม มอก. (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) ปลอมกว่า 642,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นภัยต่อความปลอดภัย เช่น ไฟฟ้าลัดวงจร เพลิงไหม้ และสารปนเปื้อน จึงใช้เทคโนโลยี “มอก. วอตซ์” และการสแกนเชิงลึกปิดช่องโหว่ต้นทาง เสนอแก้กฎหมายเพิ่มโทษ และให้ DSI รับเป็นคดีพิเศษเพื่อขยายผลปราบปราม ขณะเดียวกัน บอร์ด สมอ. เห็นชอบให้แผงโซลาร์เซลล์และชุดชาร์จรถ EV เป็นสินค้าควบคุม ต้องได้มาตรฐานภายในปี 2569 เพื่อป้องกันอุบัติภัยและเพิ่มความปลอดภัยผู้ใช้ รวมถึงอนุมัติมาตรฐานใหม่ 60 รายการ ครอบคลุมหลายสาขา พร้อมจัดทำเพิ่มอีก 14 มาตรฐานในปี 2568 โดยเปิดช่องทาง “แจ้งอุต” และไลน์ ให้ประชาชนร้องเรียนสินค้าที่ไม่มี มอก. เพื่อให้ตรวจสอบทันที

รายละเอียด
(10 ส.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และนางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีฯ และหัวหน้าชุด “ทีมสุดซอย” นำกำลังร่วมกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ลงพื้นที่ตรวจสอบโกดังสินค้าย่านบางขุนเทียน กรุงเทพฯ 2 แห่ง ซึ่งเป็นเครือข่ายสำคัญในการลักลอบนำเข้าสินค้าไม่มีมาตรฐานและสวมเครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ปลอมพบของกลางรวมกว่า 642,000 ชิ้น มูลค่ารวมกว่า 10 ล้านบาท
การตรวจสอบพบว่า โกดังแรกของ บริษัท เอช เอส 138 จำกัด มีหลอดไฟ พัดลม เตารีด ลำโพง
บลูทูธ และหลอดไฟ LED รวม 42,263 ชิ้น ส่วนใหญ่ไม่มีมาตรฐาน มอก. หรือมี QR Code ปลอม ส่วนโกดังของ บริษัท ดีเอส ทูลส์ จำกัด พบฝักบัวอาบน้ำ ก๊อกน้ำ ปลั๊กไฟ สวิตช์ไฟ และอุปกรณ์ไฟฟ้ารวมกว่า 600,000 ชิ้น ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานหรือสวมเครื่องหมาย มอก. ปลอม เจ้าหน้าที่ได้อายัดของกลางทั้งหมดและเสนอให้ DSI รับเป็นคดีพิเศษเพื่อขยายผลหาผู้เกี่ยวข้องทั้งเครือข่าย
นายเอกนัฏ กล่าวว่า ปรากฏการณ์สินค้าผิดมาตรฐานที่ทะลักเข้ามาทางตลาดทั่วไปและออนไลน์
ไม่เพียงเป็นภัยร้ายแรงต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค กระทรวงอุตสาหกรรมจึงเดินหน้าปราบปรามเชิงรุก ใช้เทคโนโลยี “มอก. วอตซ์” และการสแกนเชิงลึกในโรงงานและโกดังเพื่อปิดช่องโหว่ตั้งแต่ต้นทาง พร้อมเตรียมแก้กฎหมายให้บทลงโทษเข้มงวดขึ้น โดยย้ำว่า รัฐบาลยืนยันว่า จะคุ้มครอง ความปลอดภัยของประชาชนและความเป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ ทุกสินค้าที่วางขายในประเทศไทยต้องมีคุณภาพและได้มาตรฐาน เพื่อให้คนไทยมั่นใจได้ว่าชีวิตและทรัพย์สินปลอดภัย และผู้ประกอบการที่ซื่อสัตย์สามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม
(9 ส.ค. 68) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมอบหมายให้ สมอ. ควบคุมแผงโซลาร์เซลล์ทั้งที่ผลิตในประเทศ และนำเข้ามาจำหน่ายต้องได้มาตรฐาน เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน ซึ่งการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (บอร์ด สมอ.) เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบให้ “แผงโซลาร์เซลล์ หรือ แผงเซลล์แสงอาทิตย์” เป็นสินค้าควบคุมต้องได้มาตรฐาน จากเดิมที่ประกาศเป็นมาตรฐานทั่วไป ซึ่งมีผู้ผลิตภายในประเทศได้รับใบอนุญาตจาก สมอ. แล้ว จำนวน 8 ราย
นายเอกนัฏ ระบุว่า “ปัจจุบันแผงโซลาร์เซลล์เป็นสินค้าที่ประชาชนนิยมใช้ในการกักเก็บพลังงานทดแทน สามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านจำหน่ายในท้องตลาด และผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งไม่มีการตรวจสอบระบบการควบคุมคุณภาพ และตรวจสอบผลิตภัณฑ์ว่าเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดหรือไม่ ดังนั้นการที่กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดให้เป็นสินค้าควบคุม ก็จะสามารถกำกับดูแลสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐาน
ได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันสินค้าที่ สมอ. ควบคุมมีจำนวน 147 รายการ ครอบคลุมสินค้ากว่า 300 ผลิตภัณฑ์ ที่ผู้ผลิตและผู้นำเข้าจะต้องขออนุญาตจาก สมอ. ก่อน หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ กรณีเป็นผู้รับใบอนุญาตนำเข้าแต่นำสินค้าไม่ได้มาตรฐานเข้ามาในราชอาณาจักร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”
ด้านนายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรฐานแผงโซลาร์เซลล์ ที่บอร์ด สมอ. เห็นชอบในครั้งนี้ มีด้วยกัน 2 มาตรฐาน ได้แก่
1. มาตรฐานแผงเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดผลึกซิลิคอน
2. มาตรฐานคุณสมบัติด้านความปลอดภัยของแผงเซลล์แสงอาทิตย์ ซึ่งมีข้อกำหนดสำหรับ
การทดสอบด้านความปลอดภัยที่สำคัญ เช่น การทนความร้อน การตัดไฟ การป้องกันไฟรั่ว การลามไฟ ระบบป้องกันไม่ให้เกิดความร้อนจนเกิดการลุกไหม้ เป็นต้น
รวมทั้งเห็นชอบชุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเป็นสินค้าควบคุมอีก 3 มาตรฐาน ได้แก่
1) มาตรฐานของชุดชาร์จแบบพกพาที่ใช้ได้กับไฟบ้านทั่วไป
2) มาตรฐานชุดชาร์จที่ใช้ได้กับไฟบ้าน ติดตั้งถาวรในบ้านและสถานที่สาธารณะทั่วไป
3) มาตรฐานชุดชาร์จแบบฟาสต์ชาร์จที่จ่ายไฟฟ้ากระแสตรง ซึ่งชุดชาร์จประเภทนี้ส่วนใหญ่จะติดตั้งอยู่ในปั๊มน้ำมัน
ทั้งนี้ สมอ. จะเร่งรัดดำเนินการเพื่อให้ทั้ง 5 มาตรฐานดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายภายในปี 2569
นอกจากนี้ บอร์ดยังเห็นชอบมาตรฐานสินค้าและมาตรฐานวิธีทดสอบต่าง ๆ รวมจำนวน 60 มาตรฐาน เช่น เทคโนโลยีสารสนเทศ – คลาวด์คอมพิวติง (cloud computing) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things (IoT) กายอุปกรณ์เทียมและกายอุปกรณ์เสริม เลนส์ตาเทียม น้ำมันหอมระเหย หน่อไม้ในภาชนะบรรจุปิดสนิท น้ำยางข้นธรรมชาติโปรตีนต่ำ เครื่องซักผ้าเชิงพาณิชย์ เป็นต้น พร้อมทั้งเห็นชอบรายชื่อมาตรฐานที่ สมอ. จะจัดทำเพิ่มเติมในปี 2568 อีก 14 มาตรฐาน รวมเป็น 785 มาตรฐาน เช่น เหล็กเส้นสำหรับคอนกรีตอัดแรง รางสายไฟแบบตะแกรง เม็ดยาง กระเบื้องเซรามิกมุงหลังคา แผ่นผนังเซรามิกมวลเบา เป็นต้น
หากประชาชนพบเห็นการขายสินค้าที่ไม่มีเครื่องหมาย มอก. ทั้งตามร้านค้าทั่วไป หรือช่องทางออนไลน์ สามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนผ่านแพลตฟอร์ม “แจ้งอุต” หรือไลน์ไอดี เลือกไปยัง
“แจ้งอุต” โดยเมื่อได้รับแจ้ง ทีมสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรมจะดำเนินการตรวจสอบทันที

#เอกนัฏผนึกทีมสุดซอยDSIลุยปราบสินค้าด้อยมาตรฐานยึดกว่า6แสนชิ้น #ทีมสุดซอย #ปราบสินค้าด้อยมาตรฐาน #กระทรวงอุตสาหกรรม #สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง

6 รัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา เยี่ยมให้กำลังใจประชาชน เดินหน้าเยียวยารอบด้านจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ...
11/08/2025

6 รัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา เยี่ยมให้กำลังใจประชาชน เดินหน้าเยียวยารอบด้าน
จากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา รัฐมนตรีหลายกระทรวงลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และ
ให้กำลังใจผู้ได้รับผลกระทบอย่างใกล้ชิด โดยที่จังหวัดศรีสะเกษ นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และนางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม วางดอกไม้แสดงความอาลัยเยี่ยมครอบครัวผู้ประสบภัย ตรวจความเสียหายบ้านเรือน และอำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยติดเตียงเดินทางกลับบ้านอย่างปลอดภัย ขณะที่จังหวัดบุรีรัมย์นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตรวจพื้นที่เกษตรและสัตว์เลี้ยงที่ได้รับผลกระทบ พร้อมเร่งสำรวจเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีเยียวยา ส่วนด้านการศึกษา นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
ตรวจโรงเรียนที่เสียหาย จัดการเรียนการสอนชดเชย และเตรียมเปิดเรียน 13 สิงหาคมนี้ ทางด้านแรงงาน นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยืนยันการคุ้มครองแรงงานกัมพูชาและเร่งหาแรงงานทดแทนจากต่างประเทศ ขณะที่จังหวัดอุบลราชธานี นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วย
ว่าการกระทรวงมหาดไทย ตรวจติดตามการรื้อถอนบ้านเรือนที่เสียหาย และเป็นประธานพิธีพระราชทานเพลิงศพ มอบเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัย โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อจัดทำมาตรการช่วยเหลือรอบสองอย่างมีประสิทธิภาพ

รายละเอียด
(10 ส.ค. 68) นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วย
นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อให้กำลังใจและติดตามการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สู้รบชายแดนไทย–กัมพูชา โดยได้ร่วมวางดอกไม้
แสดงความอาลัยแก่ผู้เสียชีวิตจากเหตุลูกปืนใหญ่ BM-21 ตกใส่ร้านสะดวกซื้อ ภายในปั๊มน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อำเภอกันทรลักษ์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 7 ราย ท่ามกลางสายฝน ซึ่งทุกคนยังคงร่วมแสดงความไว้อาลัยอย่างสงบ
จากนั้น คณะได้ลงพื้นที่เยี่ยมครอบครัวผู้ประสบภัย ที่บ้านเลขที่ 201 หมู่ 13 บ้านภูมิซรอล ตำบล
เสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ ซึ่งถูกระเบิดตกใส่จนเสียหายทั้งหลังพร้อมมอบสิ่งของเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและให้กำลังใจแก่เจ้าของบ้าน โดยย้ำว่ารัฐบาลยืนยันให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่ ไม่ให้
มีผู้ใดตกหล่น พร้อมสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งสำรวจความเสียหายในพื้นที่ และหากเกินขอบเขตอำนาจ
ให้รายงานมายังรัฐบาลเพื่อพิจารณาช่วยเหลือโดยด่วน ขณะนี้พบว่ามีบ้านเรือนเสียหายอย่างหนักประมาณ 30 หลัง และเสียหายบางส่วนกว่า 170 หลัง กำลังอยู่ระหว่างการสำรวจให้ครบถ้วนทุกพื้นที่
นอกจากนี้ ได้เข้าเยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงที่ศูนย์พักพิงวิทยาลัยเทคนิคกันทรลักษ์ ซึ่งเดิมมีผู้ป่วยติดเตียงจำนวน 29 ราย ได้ทยอยกลับบ้านแล้วบางส่วน โดยหน่วยงานราชการจัดรถส่งพร้อมมีผู้นำชุมชนรับกลับ
อย่างปลอดภัย
สำหรับพื้นที่บุรีรัมย์ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจข้าราชการและเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุปะทะชายแดน ย้ำเป็นข่าวดีที่ไม่มีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บหรือเสียชีวิตและประชาชนส่วนใหญ่กลับเข้าที่พักได้แล้ว แต่ยังต้องฟื้นฟูความเสียหาย
ต่อชีวิต ทรัพย์สิน และสภาพจิตใจอย่างต่อเนื่อง ในส่วนพื้นที่เกษตรและสัตว์เลี้ยงบางส่วนยังไม่สามารถสำรวจได้ครบเพราะมีความเสี่ยง โดยจะเร่งสำรวจทันทีเมื่อปลอดภัย เพื่อนำข้อมูลเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อเยียวยาและสนับสนุนเครื่องมือ อุปกรณ์ และปัจจัยการผลิตให้เกษตรกรอย่างมีประสิทธิภาพ
นายอรรถกร ย้ำว่า “การลงพื้นที่รับฟังปัญหาโดยตรงจากเกษตรกรเพื่อให้ความช่วยเหลือและมาตรการเยียวยาตรงกับความต้องการที่แท้จริง และตนจะติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ โดยได้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรในพื้นที่อย่างเร่งด่วน รวมถึงได้ทำงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ในการที่จะใช้เงินจากกองทุนต่าง ๆ เพื่อนำมาเยียวยาประชาชนและเกษตรกรที่ได้รับผลเสียหายอย่างครอบคลุมและทั่วถึง”
ทั้งนี้ จังหวัดบุรีรัมย์มีพื้นที่และสัตว์ได้รับผลกระทบใน 3 อำเภอ ได้แก่ บ้านกรวด 220 ครัวเรือน ละหานทราย 359 ครัวเรือน และเฉลิมพระเกียรติ 11 ครัวเรือน รวมสัตว์ที่ได้รับความช่วยเหลือ 4,672 ตัว
ด้านนายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ลงพื้นที่โรงเรียนบ้านกรวด
วิทยาคาร อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ มอบเครื่องอุปโภค-บริโภค 100 ชุดแก่ลูกเสือ บุคลากรทางการศึกษาและประชาชน และรับฟังปัญหาของพื้นที่ และขอให้สถานศึกษาดูแลความปลอดภัยและจัดการเรียนชดเชย หลังต้องหยุดเรียนราว 2 สัปดาห์ ยืนยันกระทรวงศึกษาธิการพร้อมเยียวยาและสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยพื้นที่อำเภอบ้านกรวดมีประชากร 76,725 คน ได้รับผลกระทบ 41,338 คน จากเหตุปะทะระหว่างวันที่ 24–28 กรกฎาคม 2568 ต้องอพยพ 29,672 คน โรงเรียน 47 แห่งปิดการเรียนการสอน และจะเปิดอีกครั้งวันที่ 13 สิงหาคมนี้
ที่จังหวัดสุรินทร์ นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมคณะ ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพ 1,400 ชุดให้ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ณ โรงเรียนประสาทวิทยาคาร อำเภอปราสาท พร้อมระบุว่า จะนำข้อมูลไปวางแผนแก้ไขและเยียวยาในรอบสอง รวมถึงให้ความช่วยเหลือด้านแรงงานอย่างครอบคลุม และยืนยันแรงงานกัมพูชายังคงทำงานในไทยได้อย่างปลอดภัยและได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายโดยไม่เลือกปฏิบัติ พร้อมส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสถานการณ์จริงและประสานนายจ้างเพื่อป้องกันความขัดแย้งระหว่างแรงงานไทยและกัมพูชา
นายพงศ์กวิน ย้ำว่า กระทรวงแรงงานพร้อมสนับสนุนสถานประกอบการที่กังวลเรื่องแรงงาน
ขาดแคลน โดยเร่งทำบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับศรีลังกาและแรงงานชาติอื่น ๆ จำนวน 10,000 คน
เพื่อเสริมแรงงานทดแทน ขณะนี้แรงงานกัมพูชากลับประเทศแล้วประมาณ 30,000 คน ซึ่งจะทยอยกลับมาทำงานเมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ
ที่จังหวัดอุบลราชธานี นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
ลงพื้นที่ติดตามการซ่อมแซมบ้านของประชาชน 2 ครัวเรือน ในตำบลสีวิเชียร อำเภอน้ำยืน พร้อมได้รับการสนับสนุนจาก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จัดบ้าน knock down (บ้านสำเร็จรูป) ให้ประชาชนอยู่อาศัยชั่วคราว และเป็นประธานพิธีพระราชทานเพลิงศพนางฮุ่ง โจรสา ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ชายแดน ณ วัดกุดเชียงมุน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ในการจัดงานบำเพ็ญกุศลและพระราชทานเพลิงศพ ซึ่งสร้างความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแก่ครอบครัวโจรสาและประชาชนในพื้นที่อย่างลึกซึ้ง
นางสาวธีรรัตน์ เปิดเผยว่า ได้มอบเงินกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย จำนวน 800,000 บาท ให้กับนายปอด ตามมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งเงินเยียวยาตามระเบียบการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สำหรับนางฮุ่ง ซึ่งเป็นพลเมืองสัญชาติลาว ถือเป็นกรณีพิเศษ ทางจังหวัดโดยนายอำเภอน้ำยืนจะตรวจสอบข้อเท็จจริงและเสนอเรื่องให้คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องพิจารณาช่วยเหลือต่อไป
ขณะที่ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำถึงการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 โดยผู้เสียชีวิตได้รับชดเชยรายละ 8 ล้านบาท (ประชาชนทั่วไป) และ 10 ล้านบาท (ข้าราชการทหาร-ตำรวจ)
ส่วนผู้บาดเจ็บและทุพพลภาพก็จะได้รับการเยียวยาอย่างครบถ้วนไม่มีตกหล่น ด้านการเยียวยาบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้น
รับฟังข้อมูลและข้อเสนอแนะจากประชาชนและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เพื่อนำไปวางแนวทางเยียวยาความเสียหายทางเกษตร ปศุสัตว์ และที่อยู่อาศัย รวมทั้งรวบรวมรายละเอียดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในรอบสอง

#6รัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดชายแดนไทยกัมพูชาเยี่ยมให้กำลังใจประชาชนเดินหน้าเยียวยารอบด้าน #ชายแดนไทยกัมพูชา #กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา #กระทรวงคมนาคม #กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ #กระทรวงศึกษาธิการ #กระทรวงแรงงาน #กระทรวงมหาดไทย #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง

11/08/2025

รายการ ผู้ว่าพังงาพบประชาชน สวท.พังงา FM 100 MHz

กรุงเทพฯ คว้าแชมป์เมืองยอดนิยมในเอเชีย รัฐบาลเดินหน้า “Amazing Thailand Grand Sale 2025” เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว จาก...
10/08/2025

กรุงเทพฯ คว้าแชมป์เมืองยอดนิยมในเอเชีย รัฐบาลเดินหน้า “Amazing Thailand Grand Sale 2025” เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว
จากการจัดอันดับให้ กรุงเทพมาหนคร เป็นเมืองยอดนิยมในเอเชียที่มีนักท่องเที่ยวกลับมาเยือนซ้ำ มากที่สุดในเอเชียของเว็บไซต์อโกด้าแพลตฟอร์มท่องเที่ยวระดับโลก สะท้อนเสน่ห์เมืองไทยที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของนักเดินทาง โดยเฉพาะความคึกคักของเมือง อาหารรสชาติเฉพาะตัว แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมระดับโลก ความสะดวกในการเดินทางและการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากคนไทย และเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น รัฐบาลได้จัดแคมเปญ Amazing Thailand Grand Sale 2025 ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม – 15 สิงหาคม นี้ โดยเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศเป้าหมาย ได้แก่ อินเดีย จีน มาเลเซีย ลาว และเวียดนาม ส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการท่องเที่ยวในปัจจุบัน โดยรัฐบาลยืนยันความพร้อมทั้งด้านความปลอดภัย มาตรฐานบริการ และเสน่ห์เฉพาะตัว พร้อมเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้ภาค การท่องเที่ยวไทยเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน นอกจากนี้รัฐบาลยังส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศโดยเฉพาะช่วงวันหยุดต่อเนื่องวันแม่แห่งชาติ ด้วยการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จำนวน 3 สายทาง ได้แก่ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษอุดรรัถยา ตั้งแต่เวลา 00.01 – 24.00 น. ของวันอังคาร ที่ 12 สิงหาคม 2568 ส่วนประชาชนที่สนใจใช้สิทธิ์โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แจ้งว่า ขณะนี้เหลือสิทธิ์ท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยวอีกเพียง 92,000 สิทธิ์สุดท้ายเท่านั้น

รายละเอียด
(9 ส.ค. 68) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เว็บไซต์
อโกด้า (Agoda) แพลตฟอร์มท่องเที่ยวระดับโลก ได้จัดอันดับเมืองที่นักท่องเที่ยวกลับมาเยือนซ้ำมากที่สุดในเอเชีย โดย กรุงเทพมหานคร ได้รับคะแนนโหวตสูงสุด ครองตำแหน่ง “เมืองยอดนิยม” ประจำปี 2568 นอกจากนี้
เมืองท่องเที่ยวสำคัญของไทยอีก 4 แห่ง ได้แก่ ภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ และหาดใหญ่ ยังติดอันดับเมืองที่นักท่องเที่ยวเลือกกลับมาเยือนซ้ำเช่นกัน สะท้อนถึงความหลากหลายและเสน่ห์ของเมืองไทยที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของนักเดินทาง ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กรุงเทพมหานคร เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม ได้แก่ ความคึกคักของเมือง อาหารรสชาติเฉพาะตัว แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมระดับโลก อาทิ พระบรมมหาราชวัง และวัดอรุณราชวราราม รวมถึงความสะดวกในการเดินทางและการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากคนไทย
นอกจากนี้ กรุงเทพมหานคร ยังได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในระดับ “Level 1 – Exercise Normal Precautions” จากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยว ตามประกาศ Travel Advisory ฉบับล่าสุดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568
เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เดินหน้าแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Sale 2025” ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม – 15 สิงหาคม 2568 ร่วมกับพันธมิตรในภาคเอกชนทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว โดยเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศเป้าหมาย ได้แก่ อินเดีย จีน มาเลเซีย ลาว และเวียดนาม โดยมอบข้อเสนอพิเศษด้านที่พัก โรงแรม แพ็กเกจท่องเที่ยว และการจับจ่ายซื้อสินค้าทั่วประเทศ พร้อมส่งเสริมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ อาทิ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เทศกาลดนตรี กีฬา และกิจกรรมระดับนานาชาติ เพื่อสร้าง “ประสบการณ์” ให้กับนักเดินทางตามเทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่
รัฐบาลยืนยันความพร้อมของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางระดับโลก ทั้งด้านความปลอดภัย มาตรฐานบริการ และเสน่ห์เฉพาะตัว พร้อมเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งให้ภาคการท่องเที่ยวไทยเติบโต อย่างมั่นคงและยั่งยืน
สำหรับในช่วงวันที่ 9 – 12 สิงหาคม นี้ เป็นช่วงวันสำคัญคือวันแม่แห่งชาติ ซึ่งเป็นวันหยุดยาว
นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ
จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท จากนักท่องเที่ยวคนไทยเที่ยวเมืองไทยตลอด 3 วัน ไม่ต่ำกว่า 3.16 ล้านคน กระจายการเดินทางแต่ละภูมิภาค
วันอังคารที่ 12 สิงหาคม 2568 เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม
ออกประกาศแจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของการทางพิเศษรวม 3 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 21 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 32 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 10 ด่าน ตั้งแต่เวลา 00.01 – 24.00 น. ของวันอังคารที่ 12 สิงหาคม 2568 เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชน รวมทั้งช่วยลดปัญหาจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ประชาชนที่สนใจใช้สิทธิ์โครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
แจ้งว่า ขณะนี้สิทธิ์ท่องเที่ยวเมืองหลักหมดแล้ว แต่ยังเหลือสิทธิ์ท่องเที่ยวเมืองน่าเที่ยว 55 จังหวัดทั่วไทย
อีก 92,000 สิทธิ์ โดยรัฐช่วยจ่ายสูงสุด 50% ที่พักสะดวกสบาย คุ้มค่า คุ้มสิทธิ์ สามารถลงทะเบียนผ่าน
แอป Amazing Thailand หรือที่ www.เที่ยวไทยคนละครึ่http://xn--72c.com/

#กรุงเทพคว้าแชมป์เมืองยอดนิยมในเอเชีย #ยกเว้นค่าผ่านทางวันแม่แห่งชาติ #เที่ยวไทยคนละครึ่ง #กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา #กระทรวงคมนาคม #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง

“รองนายกฯ ภูมิธรรม” ส่งผู้อพยพจังหวัดสุรินทร์ กลับภูมิลำเนา ย้ำ “ทุกข์ของประชาชนคือทุกข์อันดับหนึ่งที่รัฐบาลต้องดูแล”  น...
10/08/2025

“รองนายกฯ ภูมิธรรม” ส่งผู้อพยพจังหวัดสุรินทร์ กลับภูมิลำเนา ย้ำ “ทุกข์ของประชาชน
คือทุกข์อันดับหนึ่งที่รัฐบาลต้องดูแล”
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี นำคณะลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ เยี่ยมให้กำลังใจประชาชนในศูนย์อพยพ ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุรินทร์ พร้อมส่งผู้อพยพกลับภูมิลำเนา โดยนายภูมิธรรม ได้ย้ำความห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบ พร้อมระบุว่าทุกข์ของประชาชนคือทุกข์อันดับหนึ่งที่รัฐบาลจะต้องดูแล ซึ่งรัฐบาลเตรียมปรับหลักเกณฑ์การเยียวยา
ไว้อย่างเหมาะสมครอบคลุม พร้อมสั่งการ 5 แนวทางการบริหารจัดการในอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด ประกอบด้วย 1. อำนวยความสะดวกประชาชนกลับบ้าน 2. สำรวจความเสียหาย 3. สำรวจการประกอบอาชีพและสาธารณสุข 4. การเบิกจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบ 5. ค่าตอบแทนชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน รวมถึงการสำรวจความเสียหายของโรงพยาบาลในอำเภอพนมดงรัก ส่วนเหตุทหาร 3 นายเหยียบทุ่นระเบิดที่จังหวัดศรีสะเกษ ได้กำชับให้กองทัพภาคที่ 2 ดูแลอย่างใกล้ชิด และให้เพิ่มความระมัดระวังในการลาดตระเวนพื้นที่ ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ประท้วงและเรียกร้องกัมพูชาให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมตามแนวชายแดน ด้านนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามการให้ความช่วยเหลือประชาชน และตรวจสอบหลุมหลบภัยที่ชุมชนบ้านนาสามัคคี จังหวัดอุบลราชธานี และร่วมกิจกรรม “โครงการฝึกวิชาชีพผู้ต้องขังด้านทักษะพิเศษด้านดนตรีและการแสดง” ที่จังหวัดอุบลราชธานี ร่วมกับกระทรวงยุติธรรมจัดขึ้น เพื่อคลายความตึงเครียดให้กับประชาชน นอกจากนี้ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม นี้ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ผ่อนปรนการใช้โดรนเพื่อการเกษตร แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
ที่กำหนด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่เกษตรกร และผู้ประกอบการบินโดรนเพื่อการเกษตร
รายละเอียด
(9 ส.ค. 68) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร อธิบดีกรมการปกครอง ร.ต.ท.ภพชนก ชลานุเคราะห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นางสุดฤทัย เลิศเกษม อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ นายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ และคณะ ให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนผู้อพยพ ที่อาคารวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุรินทร์ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์
นายภูมิธรรม กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เนื่องจากห่วงใยในความยากลำบากของทุกคน ในขั้นต้นเจ้าหน้าที่ที่ดูแลพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังพยายามดูแลประชาชนทุกส่วนอย่างเต็มที่ และพยายามที่จะพิทักษ์รักษาช่วยเหลือดูแลครอบครัวและบ้านของประชาชนเป็นอย่างดี มีความเห็นอกเห็นใจและเห็นว่าทุกข์ของพี่น้องประชาชนคือทุกข์อันดับหนึ่งที่เราต้องดูแลรวมทั้งทรัพย์สินพี่น้องประชาชนด้วย เข้าใจเป็นอย่างดีว่าขณะนี้ประชาชนทุกคนคิดถึงบ้านเป็นอย่างมาก รัฐบาลได้จัดชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) และเจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน (อส.) ดูแลบ้านเรือนประชาชนอย่างดี พร้อมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือ ขณะนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้ส่งเจ้าหน้าที่สำรวจความเสียหายของที่พักอาศัยแล้ว หากเสียหายรุนแรงรัฐบาลจะหาที่พักให้ก่อนและรีบจัดการซ่อมแซม ด้วยการระดมสรรพกำลังทั้งทหารช่าง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) อาชีวะ อาสาสมัคร คอยช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน นอกจากนี้กรมบัญชีกลางได้อนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ได้แก่
1. เห็นชอบหลักเกณฑ์ให้เงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในกรณีเสียชีวิตและทุพพลภาพ : เจ้าหน้าที่รัฐ ทหาร ตำรวจ รายละ 10 ล้านบาท ประชาชนที่เสียชีวิตรายละ 8 ล้านบาท (จากเดิม 1 ล้านบาท) กรณีบาดเจ็บมาก : เจ้าหน้าที่รัฐ ทหาร ตำรวจ รายละ 5 แสนบาท ประชาชน 4 แสนบาท
2. ขยายวงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในกรณีฉุกเฉินและอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว จันทบุรี และตราด เพิ่มเติมเป็นจังหวัดละ 100 ล้านบาท จาก 20 ล้านบาท
3. อนุมัติปฏิบัตินอกเหนือหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ กรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2563 โดยเป็นค่าใช้จ่ายในการอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการศูนย์พักพิงชั่วคราว ปรับปรุงสถานที่ เครื่องอุปโภคบริโภค และเป็นค่าตอบแทนให้กับผู้ปฏิบัติงานทุกประเภทที่ได้รับมอบหมาย ให้ออกปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย
จากนั้น นายภูมิธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ผ่านระบบ Video Conference จากหอประชุมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตสุรินทร์ โดยนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ประชุมผ่านระบบ Video Conference จากที่ว่าการอำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี
นายภูมิธรรม กล่าวว่า สถานการณ์ภายหลังจากพลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เจรจาในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย – กัมพูชา ที่ประเทศมาเลเซีย มีผลการเจรจาเป็นที่น่ายินดี โดยต้องขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศที่เข้ามาดูแล พูดคุยและรักษาสันติภาพ รวมถึงกระทรวงมหาดไทยทั้งกรมการปกครอง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ที่ร่วมขับเคลื่อนและสนับสนุนบทบาทของพื้นที่อย่างเต็มกำลังตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ รวมถึงสำนักนายกรัฐมนตรี ในเรื่องเงินกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย และด้านการสื่อสารประชาสัมพันธ์ของกรมประชาสัมพันธ์
พร้อมกันนี้ได้มีข้อสั่งการ 5 แนวทาง การบริหารจัดการในอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด ได้แก่
1. อำนวยความสะดวกประชาชนกลับบ้าน โดยขอให้วางแผนบูรณาการความร่วมมือทุกส่วน
เพื่อช่วยเหลือประชาชนกลับให้ได้เร็วที่สุด
2. การสำรวจความเสียหาย สภาพความพร้อมบ้านพักอาศัย สาธารณูปโภค ให้พร้อมเข้าอยู่ โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและการประปาส่วนภูมิภาคจะไม่เรียกเก็บสำหรับบ้านเรือนที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ รวมทั้งศูนย์พักพิงทั้งหมด ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม - สิงหาคม 2568
3. การสำรวจประกอบอาชีพและสาธารณสุข ทั้งเรื่องสุขภาพกายใจ รวมถึงผู้ปฏิบัติงานต้องดูแลให้ครอบคลุมครบถ้วน
4. การเบิกจ่ายเยียวยาในภาวะที่ประชาชนเผชิญกับความทุกข์ ต้องใช้จ่ายอย่างมีคุณภาพ ครบถ้วน เต็มที่
5. ค่าตอบแทนชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) จะดูแลให้ดีที่สุด โดยหากทำงานวันละ 6 ชั่วโมงขึ้นไปแต่ไม่ถึง 12 ชั่วโมง 120 บาทต่อวัน แต่หากเกินจาก 12 ชั่วโมงขึ้นไป 240 บาทต่อวัน รวมแล้วประมาณ 117 ล้านบาท
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ยังได้ติดตามและรับฟังข้อมูลและข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากพื้นที่ โดยเฉพาะในประเด็นผลกระทบจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชา ต่อพลเรือนและพื้นที่พลเรือนของไทย รวมทั้งการวางทุ่นระเบิดของกองทัพกัมพูชา ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศยังคงเดินหน้าร้องเรียนต่อเวทีสหประชาชาติและประชาคมโลก เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบและความยุติธรรมต่อประชาชนไทยผู้บริสุทธิ์ รวมทั้งทหารไทยที่เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสจากการเหยียบกับระเบิดที่ฝ่ายกัมพูชาวางไว้ในดินแดนของไทย
นอกจากนี้ นายภูมิธรรม พร้อมคณะ ยังได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา โดยมี พญ.วรวรรณ กอปรกิจงาม ผู้อำนวยการโรงพยาบาล สรุปข้อมูลเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24-25 กรกฎาคม 2568 ที่ทหารกัมพูชาได้ยิงจรวด BM-21 ทำให้อาคารและบริเวณโรงพยาบาลได้รับความเสียหายมูลค่าความเสียหายประมาณ 45 ล้านบาท จากนั้นลงพื้นที่บำรุงขวัญกำลังใจ ชรบ. และให้กำลังใจประชาชน
โดยนางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นางสุดฤทัย เลิศเกษม
อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและมอบถุงยังชีพแก่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.)
ณ หอประชุมโรงเรียนพนมดงรักวิทยา อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ จากนั้น ได้เดินทางต่อไปยังศาลากลางบ้าน บ้านละเอาะ หมู่ 4 ตำบลจีกแดก อำเภอพนมดงรัก เพื่อรับฟังสภาพความเป็นอยู่จริงของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ พร้อมให้กำลังใจ โดย นางสาวจิราพร ย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้
ซึ่งนายภูมิธรรม ได้กล่าวย้ำว่า สถานการณ์เหตุปะทะที่เกิดขึ้นทำให้เราทุกคนในฐานะ “คนไทย” พร้อมใจกันดำรงรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยของชาติ และสิ่งสำคัญที่สุด คือ “ชีวิตของคนไทยทุกคนต้องได้รับการปกป้องและคุ้มครองอย่างปลอดภัยสูงที่สุด” รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยไม่เคยทอดทิ้งประชาชนและพร้อมสนับสนุน ทุกภารกิจให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ และทุกคนที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัย และสามารถกลับมาดำรงชีวิตได้อย่างปกติให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชรบ. ได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายด้วยความเสียสละโดยไม่มีค่าตอบแทนใด ถือเป็นเกียรติยศต่อชีวิตและเป็นบุญคุณของประเทศที่ประชาชนช่วยกันทำงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทยในการรับผิดชอบพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง และในการประชุมคณะรัฐมนตรีสัปดาห์หน้า จะเสนอเรื่องค่าตอบแทน ชรบ. ผู้ปฏิบัติงานในเหตุการณ์นี้เข้าที่ประชุม และขณะนี้หน้าที่พวกเรายังไม่สิ้นสุดเราต้องทำงานอย่างแข็งขันและเต็มที่ในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
และจากกรณีล่าสุด (9 ส.ค. 68) กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 111 รวม 3 นาย ที่ลาดตระเวนพื้นที่บริเวณรอยต่อโดนเอาว์-กฤษณา จังหวัดศรีสะเกษ ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดได้รับบาดเจ็บ หลังจากได้รับรายงานจากคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) และกองทัพภาคที่ 2 แล้ว
นายภูมิธรรม ได้สั่งการให้กองทัพภาคที่ 2 ดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บอย่างใกล้ชิด และขอแสดงความเสียใจกับทหารที่ได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ โดยได้ให้กระทรวงการต่างประเทศเก็บรวบรวมข้อมูลและจะนำเป็นประเด็นพูดคุยในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ไทย-กัมพูชา เพื่อช่วยกันแก้ปัญหา พร้อมกำชับให้การลาดตระเวนเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของพื้นที่กระทำด้วยความระมัดระวังยิ่งขึ้น
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ประท้วงเหตุการณ์ดังกล่าว ระบุว่า ตามที่เมื่อวันที่
9 สิงหาคม 2568 กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 111 รวม 3 นาย ซึ่งทำการลาดตระเวนในดินแดนของไทยในพื้นที่บริเวณรอยต่อโดนเอาว์-กฤษณา จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้มีการเก็บกู้ทุ่นระบิดเรียบร้อยแล้ว ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล นั้น หลักฐานทุ่นระเบิดที่พบสอดคล้องกับผลการตรวจสอบการพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของกองทัพก่อนหน้านี้ว่าเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ ดังนั้น การวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใหม่นี้ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง และนับเป็นครั้งที่ 3 ที่กองกำลังไทยประสบเหตุการณ์เช่นนี้ในเวลาเพียงไม่ถึง 1 เดือนจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
การกระทำดังกล่าวเป็นอุปสรรคอย่างร้ายแรงต่อการดำเนินการตามมาตรการหยุดยิงที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไว้ในการประชุม GBC เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ไทยจึงขอเรียกร้องฝ่ายกัมพูชาหยุดการกระทำที่ละเมิดอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) โดยทันที และให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมตามแนวชายแดนตามที่นายกรัฐมนตรีของทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันภายในกรอบทวิภาคี และตามที่ฝ่ายไทยได้เสนอต่อที่ประชุม GBC ที่ผ่านมา แต่ฝ่ายกัมพูชาไม่ตอบสนอง
สำหรับที่จังหวัดอุบลราชธานี นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย
ลงพื้นที่ติดตามการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่บ้านเรือนได้รับความเสียหาย และตรวจสอบหลุมหลบภัย
ณ ชุมชนบ้านนาสามัคคี อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี
นางสาวธีรรัตน์ เปิดเผยว่า ภายหลังจากฝ่ายความมั่นคงได้อนุญาตให้ประชาชนสามารถเข้าพื้นที่ได้อย่างปลอดภัยก็มีประชาชนเริ่มทยอยกลับสู่ภูมิลำเนาซึ่งพบว่าความเสียหายเกิดขึ้นเป็นวงกว้าง ทั้งจากแรงระเบิด และผลกระทบอื่น ๆ โดยกระทรวงมหาดไทยได้มอบหมายให้ ปภ. ร่วมกับจังหวัดและ อปท. ลงพื้นที่สำรวจและประเมินค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมตามระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชน หากบ้านเรือนที่มีมูลค่าความเสียหายเกินกว่าหลักเกณฑ์ ยังได้ผ่อนผันข้อระเบียบเพื่อให้สามารถช่วยเหลือได้ และยังมีเงินจากกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจากสำนักนายกรัฐมนตรีที่สามารถมอบความช่วยเหลือได้ทันทีสูงสุด 230,000 บาทต่อหลัง รวมถึงหน่วยอื่น ๆ บูรณาการให้ความช่วยเหลือประชาชน ปัจจุบันหลายพื้นที่ได้สำรวจความเสียหายเสร็จสิ้นแล้ว
และอยู่ระหว่างประมวลข้อมูลส่งไปยังส่วนกลาง
นอกจากนี้ นางสาวธีรรัตน์ ได้ร่วมส่งมอบสิ่งของบริจาคให้กับกำลังพลทหาร ตำรวจ อส. ชรบ. และประชาชน เพื่อส่งมอบต่อเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่และประชาชนใน “โครงการฝึกวิชาชีพผู้ต้องขังด้านทักษะพิเศษด้านดนตรีและการแสดง” โดย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานพิธี ณ โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่ง พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็นการให้กำลังใจและคลายความกังวลแก่ผู้ต้องขังที่ห่วงใยความปลอดภัยของครอบครัวในพื้นที่เสี่ยงภัยชายแดน
นางสาวธีรรัตน์ กล่าวว่า กิจกรรมในครั้งนี้นับเป็นโอกาสดีที่จังหวัดศรีสะเกษได้ร่วมกับกระทรวงยุติธรรมโดยกรมราชทัณฑ์จัดขึ้น เพื่อร่วมสร้างขวัญกำลังใจประชาชน ผ่อนคลายบรรเทาความทุกข์ก่อนที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนา
ทั้งนี้ในกิจกรรมมีการแสดงพิเศษชุด “ขวานไทยใจหนึ่งเดียว” จากวง “ฟ้างามขามแก่น” เรือนจำกลางขอนแก่น การแสดงวงดนตรี “KP Band” เรือนจำกลางคลองไผ่ และมินิคอนเสิร์ตจาก “วงมีนบุรี” เรือนจำพิเศษมีนบุรี นำโดยศิลปิน “เสก โลโซ” มาร่วมแสดงมินิคอนเสิร์ตให้กับประชาชนได้รับชมอีกด้วย
สำหรับผลกระทบจากประกาศห้ามบินอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน (โดรน) ทุกประเภททั่วราชอาณาจักร ส่งผลกระทบกับการบินโดรนเพื่อการเกษตร สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ออกประกาศฉบับที่ 3 ยังคงห้ามทำการบิน โดรน ทุกประเภททั่วราชอาณาจักร จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2568 หรือจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง เพื่อความมั่นคงและความปลอดภัยทางการบิน อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป CAAT จะผ่อนปรนอนุญาตเฉพาะการบินโดรนเพื่อการเกษตร ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ได้แก่
• ผู้บังคับโดรนและตัวโดรนต้องขึ้นทะเบียนกับ CAAT ครบถ้วน และยังไม่หมดอายุ
• ได้รับอนุญาตปฏิบัติการบินเพื่อการเกษตรจาก CAAT
• ไม่มีประวัติฝ่าฝืนหรือถูกเพิกถอนสิทธิการบิน
• ทำการบินได้เฉพาะในพื้นที่เกษตรของตน หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่
• แจ้งการบินล่วงหน้าอย่างน้อย 12 ชั่วโมง ผ่านเว็บไซต์ uasportal.caat.or.th หรือแอปพลิเคชัน UAS Portal ของ CAAT และอีเมล ศตอ.น. [email protected] และตำรวจท้องที่ หรือกำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน
• ความสูงการบินไม่เกิน 30 เมตร
• ทำการบินได้ระหว่างเวลา 06.00–18.00 น. เท่านั้น (ห้ามบินกลางคืน)
• ใช้เพื่อโปรย หว่าน สารอินทรีย์ สารอนินทรีย์ สารเคมี เพื่อการเกษตร น้ำ หรือปุ๋ยเท่านั้น ห้ามใช้เพื่อถ่ายภาพหรือสำรวจ
ทั้งนี้ CAAT ได้กำหนดพื้นที่ห้ามทำการบินโดรนทุกประเภทโดยเด็ดขาด ได้แก่ พื้นที่หวงห้าม/อันตรายตามที่ประกาศใน AIP Thailand จังหวัดชายแดนที่ประกาศกฎอัยการศึก หรือมีกองกำลังปฏิบัติการภาคพื้น (7 จังหวัด) อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี อำเภอเมือง จังหวัดระยอง รัศมี 9 กิโลเมตรรอบสนามบินและจุดขึ้นลงอากาศยานทุกแห่ง และพื้นที่ที่หน่วยงานความมั่นคงประกาศเป็นการเฉพาะเพิ่มเติม
ผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเจ้าหน้าที่มีอำนาจทำลายหรือตอบโต้อากาศยาน รวมถึงใช้ระบบต่อต้านอากาศยานไร้นักบิน (Anti-Drone System) ได้

#รองนายกภูมิธรรมส่งผู้อพยพจังหวัดสุรินทร์กลับภูมิลำเนา #ชายแดนไทยกัมพูชา #ผ่อนปรนบินโดรนเกษตร
#กระทรวงมหาดไทย #กระทรวงการต่างประเทศ #กระทรวงยุติธรรม #สำนักนายกรัฐมนตรี #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง

ที่อยู่

เลขที่ 2 ถนนเทศบาลบำรุง ตำบลท้ายช้าง อำเภอเมือง
Phangnga
82000

เวลาทำการ

จันทร์ 08:30 - 16:30
อังคาร 08:30 - 16:30
พุธ 08:30 - 16:30
พฤหัสบดี 08:30 - 16:30
ศุกร์ 08:30 - 16:30

เบอร์โทรศัพท์

+6676460660

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สวท.พังงา กรมประชาสัมพันธ์ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง สวท.พังงา กรมประชาสัมพันธ์:

แชร์

Our Story

วันที่ 19 กรกฎาคม 2519 สถานีวิทยุกระจายแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา ออกอากาศส่งกระจายเสียงอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกด้วยระบบ เอ.เอ็ม ความถี่ 1341 กิโลเฮริซ์ โดยใช้อาคารศาลากลางจังหวัดพังงาหลังเก่าปรับปรุงเป็นห้องส่งใช้ออกอากาศเผยแพร่ข้อมูล ส่วนเครื่องส่งเป็นเครื่องที่กองช่างกรมประชาสัมพันธ์ จัดสร้างขึ้นเองขนาดกำลังส่ง10 กิโลวัตต์ เนื่องจากยังไม่ได้รับงบประมาณจนกระทั่งปี 2524 จึงได้รับการจัดสรรงบประมาณ ในการก่อสร้างอาคาร สำนักงานและบ้านพัก พร้อมทั้งย้ายมาอยู่ ณ อาคารสำนักงานแห่งใหม่ เลขที่ 2 ถนนเทศบาลบำรุง ตำบลท้ายช้าง อำเภอเมือง จังหวัดพังงา เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม2526 เนื่องจากเครื่องส่งระบบ เอ. เอ็ม. ของ สวท.พังงา เป็นเครื่องส่งที่กองช่างกรมประชาสัมพันธ์ จัดสร้างขึ้นเองกอปรกับใช้งานมานานถึง 26 ปีเศษ ประสิทธิภาพของเครื่องส่งจึงลดน้อยด้อยลงตามกาลเวลา อุปกรณ์ต่าง ๆ หมดอายุการใช้งานจนไม่สามารถซ่อมแซมเพื่อใช้งานได้อีกต่อไป จึงเป็นที่น่ายินดีที่ในปีงบประมาณ 2545 กรมประชาสัมพันธ์ ได้จัดสรร งบประมาณจัดซื้อเครื่องส่ง เอ.เอ็ม เครื่องใหม่ขนาด 10 กิโลวัตต์ ให้สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา พร้อมอุปกรณ์ส่วนควบตลอดจนปรับปรุงห้องเครื่องส่ง ระบบการส่ง และอุปกรณ์ห้องส่งใหม่ทั้งหมด ดำเนินการติดตั้งเสร็จเรียบร้อยและเริ่มส่งกระจายเสียงตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2545 เป็นต้นมา สำหรับระบบ เอฟ.เอ็ม ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2539 โดยผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา ( นางสาวนิ่มนวล เขียวหวาน ) ได้ขออนุมัติอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ในขณะนั้น ( นายชั้น พูลสมบัติ ) ขอนำเครื่องส่งเก่าจากสถานีวิทยุกระจายแห่งประเทศไทย จังหวัดชุมพร ซึงใช้งาน มานานถึง 30 ปีเศษ ปรับปรุงซ่อมแซมใหม่ จนสามารถใช้งานได้ในระดับหนึ่ง และถือฤกษ์ออกอากาศส่งกระจายเสียงด้วยความถี่ เอฟ.เอ็ม. ความถี่ 100 มกกะเฮริซ์ เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2539 ซึ่งเป็นวันฉัตรมงคล และถือเป็นกิจกรรมเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในปีกาญจนาภิเษก แต่เนื่องจากสภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปของจังหวัดพังงา เป็นภูเขาล้อมรอบ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการส่งกระจายเสียงเป็นอย่างมากเพราะรัศมีในการส่งกระจายเสียงไม่สามารถครอบคลุมได้ทุกพื้นที่ กอรป์กับประสิทธิภาพของเครื่องส่งก็ไม่สมบูรณ์ ร้อยเปอร์เซ็น จึงได้พิจารณาย้ายเครื่องส่งขึ้นไปติดตั้งบนเขาช้าง ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1000 ฟิต ทำให้รัศมีการส่งกระจายเสียงครอบคลุมพื้นที่ได้มากขึ้น อย่างไรก็ดี เนื่องจากเป็นเครื่องส่งเก่าที่ใช้งานมานานถึง 30 ปีเศษอุปกรณ์ต่าง ๆ หมดอายุการใช้งานแล้ว เครื่องจึงขัดข้องบ่อยครั้งมากการส่งกระจายเสียงไม่เป็นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการประชาสัมพันธ์งานโครงการและนโยบายต่าง ๆของรัฐบาลเป็นอย่างมาก จึงได้รับอนุมัติจากรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ฝ่ายปฏิบัติการ ( นายสมพงษ์ วิสุทธิ์แพทย์ ตำแหน่งในขณะนั้น ) ให้นำเครื่องส่ง เอฟ.เอ็มจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดจันทบุรี ( ใช้งานมาแล้ว 7 ปี ) มาติดตั้งใช้งานที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา โดยเจ้าหน้าที่จากสำนักส่งเสริมและพัฒนางานเทคนิคกรมประชาสัมพันธ์ได้นำมาติดตั้งและใช้งานตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2541

ปี พ.ศ. 2551 ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณจากกรมประชาสัมพันธ์ จัดซื้อเครื่องส่งพร้อมอุปกรณ์ส่วนควบ ปรับปรุงห้องส่งพร้อมติดตั้งอุปกรณ์ห้องส่งใหม่ทั้งหมด ซึ่งได้ใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน