สวท.พังงา กรมประชาสัมพันธ์

สวท.พังงา กรมประชาสัมพันธ์ F.M. 100 MHz "วิทยุแห่งประเทศไทย ให้ความรู้คู่ความสุข

วันที่ 19 กรกฎาคม 2519 สถานีวิทยุกระจายแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา ออกอากาศส่งกระจายเสียงอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกด้วยระบบ เอ.เอ็ม ความถี่ 1341 กิโลเฮริซ์ โดยใช้อาคารศาลากลางจังหวัดพังงาหลังเก่าปรับปรุงเป็นห้องส่งใช้ออกอากาศเผยแพร่ข้อมูล

ส่วนเครื่องส่งเป็นเครื่องที่กองช่างกรมประชาสัมพันธ์ จัดสร้างขึ้นเองขนาดกำลังส่ง10 กิโลวัตต์ เนื่องจากยังไม่ได้รับงบประมาณจนกระทั่งปี 2524 จึงได้รับการจัดสรรงบป

ระมาณ ในการก่อสร้างอาคาร สำนักงานและบ้านพัก พร้อมทั้งย้ายมาอยู่ ณ อาคารสำนักงานแห่งใหม่ เลขที่ 2 ถนนเทศบาลบำรุง ตำบลท้ายช้าง อำเภอเมือง จังหวัดพังงา เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม2526 เนื่องจากเครื่องส่งระบบ เอ. เอ็ม. ของ สวท.พังงา เป็นเครื่องส่งที่กองช่างกรมประชาสัมพันธ์ จัดสร้างขึ้นเองกอปรกับใช้งานมานานถึง 26 ปีเศษ ประสิทธิภาพของเครื่องส่งจึงลดน้อยด้อยลงตามกาลเวลา อุปกรณ์ต่าง ๆ หมดอายุการใช้งานจนไม่สามารถซ่อมแซมเพื่อใช้งานได้อีกต่อไป จึงเป็นที่น่ายินดีที่ในปีงบประมาณ 2545 กรมประชาสัมพันธ์ ได้จัดสรร งบประมาณจัดซื้อเครื่องส่ง เอ.เอ็ม เครื่องใหม่ขนาด 10 กิโลวัตต์ ให้สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา พร้อมอุปกรณ์ส่วนควบตลอดจนปรับปรุงห้องเครื่องส่ง ระบบการส่ง และอุปกรณ์ห้องส่งใหม่ทั้งหมด ดำเนินการติดตั้งเสร็จเรียบร้อยและเริ่มส่งกระจายเสียงตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2545 เป็นต้นมา

สำหรับระบบ เอฟ.เอ็ม ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2539 โดยผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา ( นางสาวนิ่มนวล เขียวหวาน ) ได้ขออนุมัติอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ในขณะนั้น ( นายชั้น พูลสมบัติ ) ขอนำเครื่องส่งเก่าจากสถานีวิทยุกระจายแห่งประเทศไทย จังหวัดชุมพร ซึงใช้งาน มานานถึง 30 ปีเศษ ปรับปรุงซ่อมแซมใหม่ จนสามารถใช้งานได้ในระดับหนึ่ง และถือฤกษ์ออกอากาศส่งกระจายเสียงด้วยความถี่ เอฟ.เอ็ม. ความถี่ 100 มกกะเฮริซ์ เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2539 ซึ่งเป็นวันฉัตรมงคล และถือเป็นกิจกรรมเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในปีกาญจนาภิเษก แต่เนื่องจากสภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปของจังหวัดพังงา เป็นภูเขาล้อมรอบ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการส่งกระจายเสียงเป็นอย่างมากเพราะรัศมีในการส่งกระจายเสียงไม่สามารถครอบคลุมได้ทุกพื้นที่ กอรป์กับประสิทธิภาพของเครื่องส่งก็ไม่สมบูรณ์ ร้อยเปอร์เซ็น จึงได้พิจารณาย้ายเครื่องส่งขึ้นไปติดตั้งบนเขาช้าง ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1000 ฟิต ทำให้รัศมีการส่งกระจายเสียงครอบคลุมพื้นที่ได้มากขึ้น

อย่างไรก็ดี เนื่องจากเป็นเครื่องส่งเก่าที่ใช้งานมานานถึง 30 ปีเศษอุปกรณ์ต่าง ๆ หมดอายุการใช้งานแล้ว เครื่องจึงขัดข้องบ่อยครั้งมากการส่งกระจายเสียงไม่เป็นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการประชาสัมพันธ์งานโครงการและนโยบายต่าง ๆของรัฐบาลเป็นอย่างมาก จึงได้รับอนุมัติจากรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ฝ่ายปฏิบัติการ ( นายสมพงษ์ วิสุทธิ์แพทย์ ตำแหน่งในขณะนั้น ) ให้นำเครื่องส่ง เอฟ.เอ็มจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดจันทบุรี ( ใช้งานมาแล้ว 7 ปี ) มาติดตั้งใช้งานที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา โดยเจ้าหน้าที่จากสำนักส่งเสริมและพัฒนางานเทคนิคกรมประชาสัมพันธ์ได้นำมาติดตั้งและใช้งานตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2541

ปภ. ให้ความช่วยเหลือ เยียวยาผู้ประสบภัย กรณีเสียชีวิต และบาดเจ็บ 90 ล้านบาท (6 ก.ย. 68) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆ...
07/09/2025

ปภ. ให้ความช่วยเหลือ เยียวยาผู้ประสบภัย กรณีเสียชีวิต และบาดเจ็บ 90 ล้านบาท
(6 ก.ย. 68) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาลสั่งการทุกภาคส่วนบูรณาการความร่วมมือเร่งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบพร้อมดำเนินการตรวจสอบและซ่อมแซมอาคารบ้านเรือนในพื้นที่ 7 จังหวัด ที่ได้รับความเสียหาย เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและมั่นคง
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทยให้ความช่วยเหลือ เยียวยา ผู้ประสบภัย จำนวน 90,466,022.57 บาท แบ่งเป็น กรณีเสียชีวิตจ่ายเงินจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ให้ครอบครัวและทายาทผู้เสียชีวิตแล้ว รวม 17 ราย รวมเป็นเงิน 88,108,658.57 บาท กรณีบาดเจ็บจ่ายเงินให้ผู้ได้รับบาดเจ็บแล้ว 2,357,364 บาท นอกจากนี้ ทางจังหวัดได้ใช้จ่ายเงินทดรองราชการในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดรวม 201,371,391 บาท แบ่งออกเป็นเงินเชิงป้องกันยับยั้ง จำนวน 2,952,600 บาท และเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัย จำนวน 198,418,791 บาท
ในส่วนของการช่วยเหลือความเสียหายบ้านเรือนประชาชน สถานที่ราชการ สถานที่เอกชน ปศุสัตว์ ประมง พืช และสิ่งสาธารณประโยชน์ที่ได้รับผลกระทบ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ได้ดำเนินการสำรวจความเสียหาย ในเบื้องต้นแล้ว โดยข้อมูล ณ วันที่ 5 ก.ย. 68 จำนวนบ้านเรือนได้รับความเสียหายในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี รวมทั้งสิ้น 888 หลัง รวมเป็นเงิน 18,047,481 บาท แยกเป็น เสียหายทั้งหลัง จำนวน 41 หลัง เป็นเงิน 11,651,752 บาท เสียหายมาก จำนวน 73 หลัง เป็นเงิน 2,974,109 บาท เสียหายน้อย จำนวน 771 หลัง เป็นเงิน 3,421,620 บาท ซึ่งในภาพรวมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการซ่อมแซมบ้านเรือน/ที่อยู่อาศัยประจำไปแล้ว จำนวน 759 หลัง ยังคงเหลืออยู่ระหว่างดำเนินการซ่อมแซม จำนวน 129 หลัง (ซ่อมแซมแล้วเสร็จคิดเป็น 85.47%)
รัฐบาล บูรณาการทุกส่วนราชการเร่งให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชน 7 จังหวัดชายแดนในทุก ๆ ด้าน พร้อมติดตามการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ ในส่วนของการซ่อมแซมบ้าน รัฐบาลได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งซ่อมแซมและฟื้นฟูบ้านเรือนที่เสียหายให้แล้วเสร็จตามกำหนด เพื่อให้ผู้ประสบภัยสามารถกลับมาใช้ชีวิตในบ้านของตัวเองได้อย่างปลอดภัยโดยเร็วที่สุด

อุตุฯ เตือนฝนตกหนักทั่วไทย จังหวัดเฝ้าระวังเตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยเข้าช่วยเหลือประชาชนทันทีกรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่า วันที...
07/09/2025

อุตุฯ เตือนฝนตกหนักทั่วไทย จังหวัดเฝ้าระวังเตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยเข้าช่วยเหลือประชาชนทันที
กรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่า วันที่ 6-7 และ 10-11 กันยายน หลายพื้นที่ทั่วประเทศรวมทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะมีฝนตกหนัก โดยเฉพาะภาคตะวันออก เช่น นครนายก ปราจีนบุรี และตราด เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ส่วนวันที่ 8-9 กันยายน ฝนจะลดลงแต่ยังคงมีบางพื้นที่ได้รับผลกระทบ ขณะที่พายุดีเปรสชันทะเลจีนใต้จะขึ้นฝั่งจีน โดยไม่กระทบโดยตรงต่อไทย โดยหลายจังหวัดยังคงเฝ้าระวังและเตรียมการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอย่างใกล้ชิด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งสำรวจความเสียหายจากพายุ “หนองฟ้า” เพื่อเยียวยาเกษตรกรขณะที่ชลประทานมหาสารคาม อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ติดตามระดับน้ำในแม่น้ำชี ลำเซบายและแม่น้ำมูลพร้อมเร่งระบายน้ำ ส่วนจังหวัดนครสวรรค์ เกิดดินสไลด์ บ้านเรือนเสียหาย 13 หลัง ต้องอพยพประชาชนในจุดเสี่ยง และเตรียมก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งถาวร

รายละเอียด
(6 ก.ย. 68) กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ รวมถึงกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จะมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะภาคตะวันออก เช่น นครนายก ปราจีนบุรี และตราด อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ลาดเชิงเขา ทางน้ำไหลผ่าน และพื้นที่ลุ่ม โดยช่วงวันที่ 6-7 และ 10-11 กันยายน 2568 จะมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางที่ปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทย ขณะที่วันที่ 8-9 กันยายน ปริมาณฝนจะลดลง แต่ยังมีฝนตกหนักบางแห่ง จากร่องมรสุมที่เลื่อนขึ้นไปพาดผ่านภาคเหนือและอีสานตอนบน
สำหรับพายุดีเปรสชันบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน คาดว่าจะขึ้นฝั่งประเทศจีนตอนใต้ในวันที่ 8-9 กันยายน โดยไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศไทย
ขณะที่ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่จังหวัดเลย ติดตามสถานการณ์น้ำและโครงการชลประทานพร้อมพบปะเกษตรกร หลังสถานการณ์อุทกภัยจากอิทธิพลของพายุหนองฟ้า ช่วงวันที่ 30 สิงหาคม - 2 กันยายน 2568 ทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมหลายพื้นที่
ทางการเกษตร ใน 7 อำเภอ 35 ตำบล 78 หมู่บ้าน มีประชาชนได้รับผลกระทบ 1,692 ครัวเรือน คาดพื้นที่เสียหายกว่า 6,859 ไร่ ได้แก่ ข้าว 6,001 ไร่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 326 ไร่ อ้อย 525 ไร่ และปาล์มน้ำมัน 7 ไร่ ด้านประมงเสียหายรวม 108 ไร่ อยู่ระหว่างการเร่งสำรวจเพื่อดำเนินการเยียวยาช่วยเหลือตามระเบียบ
อย่างเร่งด่วน รวมทั้งบูรณาการกับหน่วยงานท้องถิ่น บรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรอย่างทั่วถึงและทันเวลา และให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมจัดทำแผนฟื้นฟูและมาตรการป้องกัน พร้อมกันนี้
ได้มอบเมล็ดพันธุ์ผัก เมล็ดพันธุ์ปอเทือง เมล็ดพันธุ์ถั่วเหลือง พันธุ์ปลา เมล็ดพันธุ์ข้าว โฉนดเพื่อการเกษตรและโฉนดต้นยางพารา รวมถึงอาหารสัตว์และเวชภัณฑ์สัตว์ เสบียงอาหารสัตว์ จำนวน 5,000 กิโลกรัม
ทั้งนี้ จังหวัดเลยมีแหล่งน้ำที่สำคัญ ได้แก่ แม่น้ำเลย แม่น้ำพอง และห้วยน้ำหมาน ฤดูฝนมีปริมาณ
น้ำมากแต่สามารถกักเก็บได้จำกัดส่งผลกระทบช่วงฤดูแล้ง จึงได้เร่งรัดโครงการพัฒนา อาทิ ประตูระบายน้ำ
ศรีสองรักเพิ่มพื้นที่ชลประทานกว่า 59,000 ไร่ และก่อสร้างฝายยางบ้านท่ามะนาว (2568–2570)
ช่วยเกษตรกรกว่า 800 ครัวเรือน รวมทั้งผลักดันฝายยางบ้านปากหมากและการปรับปรุงประตูระบายน้ำ
ศรีสองรัก เพื่อเพิ่มศักยภาพกักเก็บและระบายน้ำด้วย
จังหวัดมหาสารคาม นายพัฒนะ พลศรี หัวหน้าฝ่ายจัดสรรน้ำ โครงการชลประทานมหาสารคาม เปิดเผยสถานการณ์น้ำในแม่น้ำชี อยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวังระดับน้ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยปริมาณฝนสะสม 746.6 มิลลิเมตร (มม.) สูงสุด 2.8 มม. ที่อ่างหนองบัว อ.กันทรวิชัย อ่างเก็บน้ำขนาดกลาง 17 แห่ง มีน้ำ 44.61
ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ยังรองรับน้ำได้อีก 36.79 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนอุบลรัตน์และเขื่อนลำปาวมีน้ำ 53.85% และ 63.19% ของความจุตามลำดับ ระดับน้ำในแม่น้ำชีอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
โดยเขื่อนมหาสารคามและเขื่อนวังยางมีปริมาณน้ำเกินความจุ 100% ขึ้นไป และอ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณเกิน 80% มี 5 แห่ง และต่ำกว่า 30% มี 3 แห่ง ด้านการเพาะปลูก ฤดูฝนปี 2568 พื้นที่ชลประทานขนาดกลาง 51,120 ไร่ และสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้า 176,693 ไร่ ปลูกแล้ว 100%
สำหรับการช่วยเหลือ เร่งเดินเครื่องสูบน้ำต่อเนื่องที่ประตูระบายน้ำท่าตูม และสนับสนุนเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ในพื้นที่เกษตร อ.โกสุมพิสัย กว่า 1,000 ไร่ โดยรวมสถานการณ์อ่างฯ ขนาดกลางอยู่ในเกณฑ์ปกติ ส่วนแม่น้ำชีต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด
จังหวัดอำนาจเจริญ นายกันตสิษย์ ธนพนพิพัฒน์ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานอำนาจเจริญ เปิดเผยว่า ขณะนี้ปริมาณน้ำในลำเซบายเพิ่มสูงแตะระดับวิกฤติ และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากอิทธิพลของฝนที่ตกหนักด้านต้นน้ำจังหวัดมุกดาหาร ยโสธร และหลายพื้นที่ของจังหวัด เพื่อรองรับและบรรเทาสถานการณ์น้ำหลาก โครงการชลประทานอำนาจเจริญได้ดำเนินการปรับเพิ่มการระบายน้ำเต็มกำลัง โดยเปิดบานระบายทั้ง 4 บานของเขื่อนลำเซบาย รวมทั้งยุบฝายยางทั้งหมด เพื่อเร่งระบายน้ำออกสู่ท้ายน้ำ และป้องกันความเสียหายต่อพื้นที่ลุ่มต่ำ ปัจจุบันระดับน้ำที่สะพานบ้านดอนว่าน อ.หัวตะพาน วัดได้ 3.55 เมตร ห่างจากตลิ่งเพียง 45 เซนติเมตร ได้ปักธงแดงและถือว่าอยู่ในระดับวิกฤติ ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด และแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง ได้แก่ อ.เมืองอำนาจเจริญ อ.หัวตะพาน โดยเฉพาะพื้นที่การเกษตรและบ้านเรือนที่อยู่ใกล้ตลิ่งให้เฝ้าระวังน้ำเอ่อล้นตลิ่ง
จังหวัดนครสวรรค์ นางสาวชุติพร เสชัง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ สั่งการให้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด (ปภ.) ลงพื้นที่ช่วยเหลือ พร้อมอพยพผู้อยู่อาศัยในจุดเสี่ยงไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว ณ ศูนย์อนามัยจังหวัดหลังเดิม พร้อมจัดสิ่งของอุปโภคบริโภคเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน หลังมี
ฝนตกสะสมจำนวนมาก ทำให้เกิดดินสไลด์ในพื้นที่ ต.แควใหญ่ อ.เมืองนครสวรรค์ ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนริมแม่น้ำ 13 หลังคาเรือน อย่างไรก็ตาม การแก้ไขระยะยาว สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดแจ้งว่า ได้รับจัดสรรงบประมาณปี 2569 เพื่อก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งในพื้นที่ดังกล่าวแล้ว
อย่างไรก็ตาม ปภ. ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารและปฏิบัติตามคำแนะนำของทางการอย่างใกล้ชิด พร้อมเตรียมความพร้อมรับมือ หากได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัย สามารถแจ้งเหตุและ
ขอความช่วยเหลือได้ที่ ไลน์ “ปภ. รับแจ้งเหตุ 1784” (Line ID: ) หรือสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง และติดตามประกาศเตือนภัยได้ผ่านแอปพลิเคชัน “THAI DISASTER ALERT” ทุกที่ทุกเวลา
ส่วนการตรวจสอบสภาพอากาศสามารถติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th หรือที่ 0-2399-4012-13 และ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

#อุตุเตือนฝนตกหนักทั่วไทย #จังหวัดเฝ้าระวังเตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยเข้าช่วยเหลือประชาชนทันที #กระทรวงมหาดไทย #กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ #กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม #กรมอุตุนิยมวิทยา #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง

Timeline การจัดตั้งรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่าที่นายกรัฐมนตรี คนที่ 32  หลังจากเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 นายอนุทิน ชา...
07/09/2025

Timeline การจัดตั้งรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่าที่นายกรัฐมนตรี คนที่ 32
หลังจากเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้รับคะแนนเสียงจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ด้วยคะแนน 311 เสียง วันที่ 6 กันยายน 2568 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้นำรายชื่อนายอนุทินขึ้นทูลเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อรอพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ จากนั้นนายอนุทิน จะต้องจัดตั้งคณะรัฐมนตรี และนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งแล้ว คณะรัฐมนตรีจะต้องเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตน และนายกรัฐมนตรีต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาคณะรัฐมนตรี
จึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการได้ ซึ่งนายอนุทิน ได้เตรียมความพร้อมการคัดเลือกบุคคลเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรี โดยได้เปิดตัวว่าที่รัฐมนตรีคนนอก 3 กระทรวง ที่เชื่อมั่นว่าจะทำงานได้ทันที และ
มีประสิทธิภาพ ส่วนการฟื้นโครงการ “คนละครึ่ง” นั้น ถือเป็นโครงการที่ดีแต่อาจปรับในส่วนที่เป็นข้อบกพร่องจากเดิม และจะเน้นการใช้แอปพลิเคชันของรัฐที่มีอยู่แล้ว ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น

รายละเอียด
ภายหลังจากเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติเลือกให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 32 ด้วยคะแนน 311 เสียง ซึ่งเกินกว่ากึ่งหนึ่ง หรือ 247 คน ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 492 คน โดยมีขั้นตอนดำเนินการ ดังนี้
1. วันที่ 6 กันยายน 2568 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรนำรายชื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นทูลเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อรอ พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 32
2. เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี จากนั้นจะประกาศแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
ในราชกิจจานุเบกษาถือว่าได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
3. การจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายกรัฐมนตรีจะดำเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง และเมื่อคัดเลือกได้แล้ว นายกรัฐมนตรีจะนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีขึ้น ทูลเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และรอพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
4. หลังจากได้รับพระราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง คณะรัฐมนตรีจะต้องเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนต่อพระมหากษัตริย์ก่อนเข้ารับหน้าที่ เพื่อเป็นการยืนยันความจงรักภักดีและการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
5. จากนั้นภายใน 15 วันหลังจากคณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ฯ นายกรัฐมนตรีจะต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา (ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162) และภายหลังจากแถลงนโยบายต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรีจึงจะเริ่มบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างเป็นทางการ
(6 ก.ย. 68) นายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่าที่นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ได้นำทีมบุคคลสำคัญที่จะเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลใหม่ เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่พรรคภูมิใจไทย นายอนุทินได้แนะนำ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ เตรียมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมภารกิจสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และอาจเดินหน้าฟื้นโครงการ “คนละครึ่ง” เพื่อตอบโจทย์ประชาชน
นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ที่จะมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยย้ำว่า เป็นชื่อที่นานาชาติยอมรับ และจะเข้ามารับมือกับปัญหาความสัมพันธ์ชายแดนไทย–กัมพูชา
ด้านพลังงาน นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) คาดว่าจะได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ทั้งนี้ การเลือกบุคคลเข้ามาในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ ยึดหลักความสามารถและความรู้จริงในวิชาชีพ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะต้อง “ทำงานได้ทันที” พร้อมประกาศแนวทางว่า “สิ่งใดที่ดีอยู่แล้ว จะไม่ล้มเลิก แต่จะสานต่อเพื่อประชาชน”
ทางด้านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ต้องการฟื้นคืนโครงการ “คนละครึ่ง” ว่ากรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยมีแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทีมนโยบายมีการพูดคุยกันว่านโยบายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น จะมีอะไรบ้างซึ่งโครงการ คนละครึ่งเป็นหนึ่งในนั้น พรรคภูมิใจไทยรับฟังถึงโครงการต่าง ๆ ที่เป็นโครงการที่ดีในอดีต คิดว่าโครงการเหล่านี้น่าจะนำมาต่อยอดได้และทำให้ดีขึ้น หลายโครงการถ้าดีแต่ยังมีข้อผิดพลาดจะนำมาปรับปรุง ซึ่งแนวทางที่ได้หารือกันไม่เน้นการลงทุนกับแอปพลิเคชันใหม่หากระบบรัฐตัวไหนที่ดีจะใช้ต่อ

ัดตั้งรัฐบาลนายอนุทิน #นายกรัฐมนตรีคนที่32 #ทำงานทันที #ฟื้นโครงการคนละครึ่ง #กระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น

💥ชื่นชม!! เจ้าหน้าที่รีสอร์ตดังเกาะพระทอง ช่วยชีวิตเต่าหญ้าติดเศษอวนเกยตื้นชายหาดเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2568 ผู้สื่อข่าวไ...
06/09/2025

💥ชื่นชม!! เจ้าหน้าที่รีสอร์ตดังเกาะพระทอง ช่วยชีวิตเต่าหญ้าติดเศษอวนเกยตื้นชายหาด
เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2568 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากคุณพรจันทร์ ศรีฟ้า ผู้บริหาร เดอะมอแกน อีโก วิลเลจ รีสอร์ตชื่อดังบนเกาะพระทอง อ.คุระบุรี จ.พังงา ว่าเมื่อวานนี้(5 กันยายน) ขณะที่เจ้าหน้าที่รีสอร์ตได้ออกทำความสะอาดชายหาดที่ด้านหน้ารีสอร์ต ได้พบเห็นเต่าทะเลติดเศษอวนถูกคลื่นซัดขึ้นมาเกยตื้นอยู่ที่ชายหาด เมื่อเข้าตรวจสอบดูพบว่าเต่ายังมีชีวิตอยู่ แต่ทั้งตัวติดอยู่ในเศษอวนเก่า จึงช่วยกันนำมีดมาช่วยตัดเศษอวนออกจากตัวเต่า ก่อนจะนำเต่าปล่อยกลับสู่ท้องทะเลได้อย่างปลอดภัย
นายปรารพ แปลงงาน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง กล่าวว่า จากการดูภาพแล้วพบว่าเป็นเต่าหญ้า (Olive Ridley Turtle) หรือเต่าสังกะสี เพศเมีย ระยะโตเต็มวัย เต่าหญ้าเป็นหนึ่งในเต่าทะเลที่ได้รับการจัดสถานภาพว่ามีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ โดยสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติและทรัพยากรธรรมชาติ (IUCN) เนื่องจากประชากรลดลงอย่างมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา สาเหตุสำคัญมาจากการทำประมงผิดกฎหมาย การติดเครื่องมือประมง มลพิษทางทะเลโดยเฉพาะขยะพลาสติก และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เต่าหญ้ามีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศทางทะเล การสูญเสียประชากรเต่าทะเลจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารและสมดุลของระบบนิเวศชายฝั่งอย่างมาก การอนุรักษ์เต่าทะเลจึงไม่ใช่เพียงเพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ แต่ยังเป็นการรักษาสมดุลของทะเลไทยด้วย
.อโนทัย งานดี

“ไทยคู่ฟ้า” รายงานสถานการณ์เช้านี้ 11 พื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน เหตุการณ์ทั่วไปปกติ แต่ยังคงตรึงกำลังอย่างเต็มที่ ที่บริเว...
06/09/2025

“ไทยคู่ฟ้า” รายงานสถานการณ์เช้านี้ 11 พื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน เหตุการณ์ทั่วไปปกติ แต่ยังคงตรึงกำลังอย่างเต็มที่ ที่บริเวณบ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว
อันเป็นพื้นที่อธิปไตยของไทยอย่างเต็มที่ พร้อมร่วมติดตามผลการประชุม GBC ในวันพรุ่งนี้ที่เกาะกง เพื่อการแก้ปัญหาชายแดน

วันนี้ (วันเสาร์ที่ 6 กันยายน 2568) เวลา 07.00 น. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) รายงานสถานการณ์ชายแดน 11 จุด ใน 7 จังหวัด โดยรวมยังคงปกติ กองทัพไทยยังคงตรึงกำลังและเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชาและป้องกันการรุกล้ำอธิปไตยในทุกรูปแบบ โดยวานนี้ ศบ.ทก. ได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ว่าทั้ง 2 ฝ่ายยังคงมีการตรึงกำลังในที่มั่นของตนเอง และมีการตรวจพบความเคลื่อนไหวจากฝ่ายกัมพูชา ที่มีการตรวจพบการใช้“โดรน”อย่างต่อเนื่องและมีการใช้กระสอบทรายและท่อนไม้เพื่อปรับปรุงฐานที่มั่นของกัมพูชาบางพื้นที่ ซึ่งฝ่ายไทยได้มีจัดกำลังประจำจุดเพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมตอบโต้ตามสถานการณ์ หากมีการรุกล้ำอธิปไตย ขณะเดียวกัน รัฐบาลโดยกระทรวงการต่างประเทศได้ออกมาชี้แจงตอบโต้ฝ่ายกัมพูชา ที่ออกแถลงการณ์ประท้วงไทย ว่าสร้างความเดือดร้อนให้กับชุมชนกัมพูชาในพื้นที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว โดยประเทศไทยย้ำว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นดินแดนและอธิปไตยของไทยมานานแล้ว และประเทศไทย ได้ให้ใช้เป็นที่พักพิงยามสงคราม และดำเนินการตามกฎหมายไทย รวมถึงการปฏิบัติตามหลักสากล ทั้งนี้ ในวันอาทิตย์ที่ 7 – วันพุธที่ 10 กันยายน 2568 นี้จะมีการจัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ณ จังหวัดเกาะกง ประเทศกัมพูชา เพื่อติดตามความคืบหน้า และเป็นไปตามพันธกรณีที่ได้ตกลงไว้ ในการประชุม GBC เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ณ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งกำหนดไว้ว่าจะต้องมีการประชุม GBC อีกครั้งภายใน 1 เดือน โดยการประชุม GBC ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามผลจากการประชุม RBC และมีจุดมุ่งหมายสำคัญในการร่วมกันแก้ไขปัญหาความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ให้กลับสู่สถานการณ์ปกติโดยเร็ว “รัฐบาลขอยืนยันแม้จะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง แต่ยังทำหน้าที่อย่างเต็มที่ โดยการดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาครั้งนี้ จะดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง ทุกกระทรวง ทบวง กรม จะยังคงทำงานประสานกันอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดสรรงบประมาณ เพื่อเยียวยาผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกท่าน รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างดีที่สุด” นายจิรายุ กล่าว

รัฐบาลยืนยันดูแลผู้ได้รับผลกระทบต่อเนื่อง ขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัด เร่งรัดเบิกจ่ายเงินเยียวยาให้เร็วที่สุด (5 ก....
06/09/2025

รัฐบาลยืนยันดูแลผู้ได้รับผลกระทบต่อเนื่อง ขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัด เร่งรัดเบิกจ่ายเงินเยียวยาให้เร็วที่สุด

(5 ก.ย. 68) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในการแถลงข่าวศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ว่า รัฐบาลขอยืนยันต่อพี่น้องประชาชนทุกท่านว่า แม้จะอยู่ในช่วงรอยต่อทางการเมือง การดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและไม่สะดุด โดยทุกกระทรวง ได้ร่วมบูรณาการทำงานอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดสรรงบประมาณสำหรับเยียวยาผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ ครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ เพื่อให้การช่วยเหลือครอบคลุมและทั่วถึงที่สุด
รัฐบาลขอความร่วมมือผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่รับผิดชอบด้านการเบิกจ่ายงบประมาณเยียวยา ให้เร่งรัดกระบวนการจัดสรรเงินช่วยเหลือให้ถึงมือผู้มีสิทธิ์โดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้การช่วยเหลือเกิดความล่าช้า หรือสะดุดกลางทาง โดยถือเป็นภารกิจเร่งด่วนที่รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุด นอกจากนี้ รัฐบาลยังย้ำถึงความมั่นใจแก่ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม แรงงาน และนักลงทุน ว่ากลไกการทำงานของรัฐยังคงดำเนิน
ไปตามปกติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง โดยไม่มีการหยุดชะงัก

มทภ.2 นำครอบครัวกำลังพลที่เสียชีวิตจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา รับมอบเงินช่วยเหลือจาก GULF รวม 17 ล้านบาท
(5 ก.ย. 68) พล.ท.บุญสิน พลาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 พร้อมด้วยครอบครัวกำลังพลที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เข้ารับมอบเงินสนับสนุนช่วยเหลือ จากบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF นำโดย นายสิตมน รัตนาวะดี ผู้ช่วยรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มอบเงินช่วยเหลือ ครอบครัวละ 1 ล้านบาท รวม 17 ล้านบาท โดยเงินจำนวนนี้มาจาก “กองทุน 100 ล้านบาท” ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดูแล
ทหารที่บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
นอกจากนี้ ยังช่วยเหลือในภารกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งการมอบถุงยังชีพ “GULF Care” จำนวนกว่า 2,000 ชุด แก่ทหารและประชาชนที่ได้รับผลกระทบในศูนย์พักพิงตามจังหวัดต่าง ๆ และร่วมกับบริษัทในเครือ เพื่อนำเทคโนโลยีด้านการสื่อสารและดาวเทียมมาช่วยอำนวยความสะดวกให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง สามารถสื่อสารได้อย่าง
มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

หน่วยงานรัฐ เร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปภ. เตือน 10 จังหวัดภาคกลาง–กทม. เฝ้าระวังน้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นหน่วยงานภาครั...
06/09/2025

หน่วยงานรัฐ เร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ปภ. เตือน 10 จังหวัดภาคกลาง–กทม. เฝ้าระวังน้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น
หน่วยงานภาครัฐเร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุ “หนองฟ้า” ที่ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมหลายจังหวัด โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ให้ความช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางอย่างต่อเนื่อง ทั้งการจัดหาที่พักอาศัย มอบถุงยังชีพ และดูแลด้านจิตใจ ในพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก หนองบัวลำภู ขอนแก่น และเชียงใหม่ ด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ส่งเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรกลเข้าฟื้นฟูพื้นที่เสียหาย เคลียร์เส้นทางที่ถูกดินสไลด์ในเชียงใหม่และแม่ฮ่องสอน เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้สัญจรได้ตามปกติ ขณะเดียวกัน ปภ. ยังได้ประสานกับ 10 จังหวัดภาคกลางและกรุงเทพมหานคร เฝ้าระวังระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน เป็นต้นไป โดยกรมชลประทานคาดว่าจะต้องเพิ่มการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งอาจทำให้พื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำในจังหวัดอ่างทองและพระนครศรีอยุธยามีระดับน้ำสูงขึ้น จึงได้แจ้งเตือนประชาชนและผู้ประกอบกิจการริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

รายละเอียด
(4 ก.ย. 68) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ (ศบปภ.) กระทรวง พม. ในการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากพายุ "หนองฟ้า" ที่ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมหนักในพื้นที่หลายจังหวัด ได้แก่
จังหวัดพิษณุโลก มีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 5 อำเภอ 23 ตำบล 61 หมู่บ้าน 283 ครัวเรือน มีกลุ่มเปราะบางได้รับผลกระทบ 1,426 คน ไม่มีผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิต โดยบูรณาการร่วมกับทางจังหวัดพิษณุโลก มีการเตรียมพื้นที่จุดอพยพและศูนย์พักพิงชั่วคราว จำนวน 194 แห่ง โดยทีม พม.หนึ่งเดียวจังหวัดพิษณุโลก ได้ลงพื้นที่อำเภอบางระกำเพื่อเยี่ยมให้กำลังใจกลุ่มเปราะบางและประชาชนผู้ประสบภัย ได้รับผลกระทบด้านที่อยู่อาศัยในชุมชนคุ้มแม่ย่าและชุมชนสันเขื่อน รวม 31 ครอบครัว ซึ่งอำเภอบางระกำได้รับการสนับสนุนเรื่องที่พักอาศัยชั่วคราว จากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) (พอช.) จำนวน 22 หลัง และได้ลงพื้นที่ตำบลชมพูและตำบลบางระกำ มอบเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น พร้อมพิจารณาให้การช่วยเหลือเป็นเงินสงเคราะห์ครอบครัวกลุ่มเปราะบาง 15 ครัวเรือน และยังจัดทีมเจ้าหน้าที่ พม. เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด
จังหวัดหนองบัวลำภูและจังหวัดขอนแก่น เร่งให้การสนับสนุนเรื่องที่พักอาศัยชั่วคราว และจัดทีมเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือส่งต่อผู้ประสบภัยในพื้นที่ มอบถุงยังชีพเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น และติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด รวมทั้งสนับสนุนนักสังคมสงเคราะห์กระทรวง พม. ร่วมกับทีมเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้กำลังใจเยียวยาสภาพจิตใจ และวางแผนติดตามการให้ความช่วยเหลือต่อไป
จังหวัดเชียงใหม่ นายศิวกร บัวป้อง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์พัฒนาราษฎรบนพื้นที่สูงจังหวัดเชียงใหม่ และ พม.จังหวัด ติดตามผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยและดินโคลนถล่ม ณ บ้านปางอุ๋ง หมู่ 1 ตำบลแม่ศึก อำเภอแม่แจ่ม เร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างใกล้ชิด มีประชากร จำนวน 1,727 คน 355 ครัวเรือน ได้รับความเสียหายจำนวน 100 ครัวเรือน มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 8 ราย และมีผู้พักอาศัยในศูนย์พักพิง จำนวน 145 คน แบ่งเป็น ชาย 73 คน และหญิง 72 คน โดยเจ้าหน้าที่ พม. จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้การช่วยเหลือตามกระบวนการต่อไป
ทางด้าน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ระดมทีมปฏิบัติการเข้าฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัยน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่มบ้านผาบ่อง ตำบลผาบ่อง อำเภอเมือง จ.แม่ฮ่องสอน อย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2568 โดยนำเครื่องจักรกลหนักเข้าปรับพื้นที่ เคลียร์หิน ดิน โคลน และซากไม้ รวมถึงเกลี่ยดินรอบบ้านพักผู้ประสบภัย พร้อมเร่งเปิดเส้นทางที่ถูกดินสไลด์ปิดทับ ทั้งถนนสายแม่ฮ่องสอน–เชียงใหม่ (ทางหลวง 108) และถนนเข้าบ้านหนองเขียว ตำบลทุ่งโป่ง ซึ่งเสียหายยาวกว่า 300 เมตร ให้กลับมาใช้สัญจรได้ตามปกติ
นอกจากนี้ ปภ. ได้ประสาน 10 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร เฝ้าระวังสถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น ตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2568 เป็นต้นไป ให้จัดเจ้าหน้าที่ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ พร้อมประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภาคเอกชนที่ประกอบกิจการในแม่น้ำ ประชาชนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา จุดเสี่ยงที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำให้เฝ้าระวังระดับน้ำและเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำ รวมถึงแจ้งจังหวัดประสานท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบแนวคันกั้นน้ำ จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลด้านสาธารณภัย เจ้าหน้าที่ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ และเตรียมความพร้อมปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม ปภ. ได้รับแจ้งว่า กรมชลประทานคาดการณ์ปริมาณน้ำ 1 - 9 วันข้างหน้า โดยวันที่ 5 กันยายน 2568 ที่สถานี C.2 อำเภอเมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ จะมีปริมาณน้ำไหลผ่านประมาณ 1,900 - 2,300 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และคาดการณ์ปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรังและลำน้ำสาขาอีกประมาณ 100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทำให้ปริมาณน้ำที่เหนือเขื่อนเจ้าพระยา มีปริมาณระหว่าง 2,000-2,400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และรับน้ำเข้าระบบชลประทาน 2 ฝั่ง ในอัตรา 350 - 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จึงจำเป็นต้องระบายน้ำผ่านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ในอัตราระหว่าง 1,500 - 2,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ส่งผลให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอีกประมาณ 0.30 - 1.10 เมตร ในพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำบริเวณคลองโผงเผง จ.อ่างทอง คลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา และตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา ตำบลลาดชิด ตำบลท่าดินแดง อำเภอผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา (แม่น้ำน้อย)
ทั้งนี้ ปภ. ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารและปฏิบัติตามคำแนะนำของทางการอย่างใกล้ชิด พร้อมเตรียมความพร้อมรับมือ หากได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ที่ ไลน์ “ปภ. รับแจ้งเหตุ 1784” (Line ID: ) หรือสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง และติดตามประกาศเตือนภัยได้ผ่านแอปพลิเคชัน “THAI DISASTER ALERT” ทุกที่ ทุกเวลา

#หน่วยงานรัฐเร่งช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย #กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเตือน10จังหวัดภาคกลางและกทมเฝ้าระวังน้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น #กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ #กระทรวงมหาดไทย #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง

ศบ.ทก. ยืนยันการดำเนินการของไทย กรณีบ้านหนองจาน เพื่อความปลอดภัยของประชาชน แม้ว่าจะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลแต่การแก้ป...
06/09/2025

ศบ.ทก. ยืนยันการดำเนินการของไทย กรณีบ้านหนองจาน เพื่อความปลอดภัยของประชาชน
แม้ว่าจะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลแต่การแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยที่ประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ได้หารือถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee: GBC) ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 7-10 กันยายน 2568 ที่ประเทศกัมพูชา เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาสถานการณ์ความตึงเครียดในห้วงเวลาที่ผ่านมาโดยสันติวิธีเพื่อให้ประชาชนของทั้งสองฝ่ายสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ และขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าถึงแม้ ศบ.ทก. จะมีบทบาทน้อยลง แต่การปฏิบัติของกระทรวงกลาโหมและกองทัพ ตลอดจนหน่วยงานด้านความมั่นคงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องยังคงมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มีกลไกรองรับในทุกๆ สถานการณ์ ส่วนเหตุการณ์ประท้วงของประชาชนกัมพูชา บริเวณบ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ยืนยันว่าฝ่ายไทยดำเนินการตามหลักสากลสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของไทยในการปกป้องอธิปไตยและเพื่อความปลอดภัยของประชาชนไทย และย้ำว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตอธิปไตยของไทย การกระทำดังกล่าวของกัมพูชาถือได้ว่าไม่เคารพข้อตกลงหยุดยิง ไม่สร้างสรรค์ และยังบั่นทอนบรรยากาศแห่งสันติภาพอย่างร้ายแรง

รายละเอียด
(5 ก.ย. 68) พล.ร.ต. สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงผลการประชุม ศบ.ทก. ว่า สถานการณ์โดยทั่วไป ทั้ง 2 ฝ่ายยังตรึงกำลังในที่ตั้ง และภาพรวมอยู่ในความสงบเรียบร้อย ส่วนเรื่องการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (General Border Committee: GBC) ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 7-10 กันยายน 2568 ที่จังหวัด เกาะกงประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นการดำเนินการตามพันธกรณี เพื่อสานต่อจากการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Boundary Commission: JBC) เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ที่ประเทศมาเลเซีย ที่กำหนดว่าจะมีการประชุม GBC อีกครั้งภายใน 1 เดือนจากวันประชุม JBC เพื่อติดตามความคืบหน้าของการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (Regional Border Committee : RBC)
การประชุม GBC มีวัตถุประสงค์หลักจัดขึ้นเพื่อร่วมกันแก้ปัญหาสถานการณ์ความตึงเครียดในห้วงเวลาที่ผ่านมาโดยสันติวิธีเพื่อให้ประชาชนของทั้งสองฝ่ายสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ซึ่งจะเป็นการประชุมสมัยวิสามัญขอให้ประชาชนติดตามความคืบหน้าและผลการประชุมต่อไป
ส่วนบทบาทหน้าที่หรือท่าทีของ ศบ.ทก. ช่วงเปลี่ยนผ่านของรัฐบาล ขอให้ความมั่นใจและขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าการปฏิบัติงานด้านความมั่นคงของชาติโดยเฉพาะชายแดนไทย-กัมพูชา และเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องมีกฎหมายรับรองอยู่แล้ว ซึ่งได้มีการมอบอำนาจให้กับผู้บังคับบัญชาหน่วยในทุกระดับทั่วประเทศสามารถดำเนินการได้ตามตัวบทกฎหมาย โดยมีกฎการใช้กำลัง ซึ่งมีขั้นตอนการปฏิบัติที่ชัดเจน มีกฎหมายรองรับ ตามพระราชบัญญัติ จัดระเบียบ ราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 จึงขอให้ประชาชนเชื่อมั่น ถึงแม้ ศบ.ทก. จะมีบทบาทที่น้อยลง แต่การปฏิบัติของกระทรวงกลาโหมและกองทัพ ตลอดจนหน่วยงานด้านความมั่นคงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องยังคงมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องและพร้อมปฏิบัติงาน มีกลไกรองรับในทุกๆ สถานการณ์และทุกๆ กรณี
ทางด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการใช้พลเรือนสร้างความวุ่นวายจากกรณีเหตุการณ์ประท้วงของประชาชนกัมพูชา บริเวณบ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว ว่า กองทัพบกได้ออกมาชี้แจงถึงเหตุการณ์ดังกล่าว และต่อมากระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา ได้ออกแถลงการณ์ประท้วงรัฐบาลไทย โดยสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้นำข้อความดังกล่าวมาโพสต์ในโซเชียลมีเดียของตนเอง โดยอ้างว่าการดำเนินการของฝ่ายไทยได้สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชุมชนกัมพูชาในพื้นที่ รัฐบาลไทยยืนยันว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตไทย และกระทรวงการต่างประเทศได้ตอบโต้ชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้ว พร้อมย้ำว่ามาตรการและการดำเนินการต่างๆ ของไทยอยู่ในเขตอธิปไตยของไทยอย่างสมบูรณ์ โดยดำเนินการตามกฎหมายไทยซึ่งสอดคล้องกับหลักการสากล และหลักสิทธิมนุษยชน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่ อีกทั้งกระบวนการทุกขั้นตอนกระทำอย่างรอบคอบผ่านการพิจารณาของ ศบ.ทก. และความเห็นชอบของสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.
แต่สิ่งที่ยังน่าเป็นห่วงคือ ฝ่ายกัมพูชายังคงเบี่ยงเบนประเด็น โดยการกล่าวอ้างซ้ำๆ ว่าประชาชนของตนเองอยู่ในพื้นที่มาอย่างยาวนาน แสดงถึงการไม่เคารพต่อข้อตกลง และพันธกรณีระหว่างประเทศใดๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นดินแดนและเขตอธิปไตยของไทย อีกทั้งฝ่ายกัมพูชาได้นำพลเรือนออกมาอยู่แนวหน้าในพื้นที่ โดยบางส่วนถืออาวุธ และใช้ถ้อยคำยั่วยุพยายามขับไล่ทหารไทยที่กำลังรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ จึงขอยืนยันว่า การดำเนินการของทางฝ่ายไทยเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของไทยในการปกป้องอธิปไตย ยิ่งไปกว่านั้นถือได้ว่ากัมพูชาไม่เคารพข้อตกลงหยุดยิง และกรอบการหารือของ GBC และ RBC ซึ่งการกระทำดังกล่าวของกัมพูชาไม่ยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่สร้างสรรค์และยังบั่นทอนบรรยากาศแห่งสันติภาพอย่างร้ายแรง พร้อมเรียกร้องให้กัมพูชา ยุติการการปลุกระดมและหยุดการจัดฉากทั้งปวงที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการคลี่คลายสถานการณ์ที่ยังมีความตึงเครียดอยู่ในขณะนี้ และหวังว่ากัมพูชาจะเลือกเส้นทางที่จริงใจและมีความรับผิดชอบต่อไป เพื่อให้ประชาชนของทั้ง 2 ประเทศสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าในการประชุม GBC ที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ฝ่ายกัมพูชาจะแสดงความจริงใจและความตั้งใจที่จะพูดคุยแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ด้วยสินติวิธีและร่วมมืออย่างสร้างสรรค์เพื่อคลี่คลายสถานการณ์และนำไปสู่บรรยากาศที่เอื้อต่อการสร้างสันติภาพและความมั่นคงให้กับประชาชนของทั้งสองประเทศอย่างจริงจัง
ขณะที่นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า แม้จะอยู่ในช่วงรอยต่อทางการเมือง การดูแลผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและไม่สะดุด โดยทุกกระทรวง ได้ร่วมบูรณาการทำงานอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดสรรงบประมาณสำหรับเยียวยาผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ ครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ เพื่อให้การช่วยเหลือครอบคลุมและทั่วถึงที่สุด
ส่วนการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วย พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม
นายฉัตรชัย เปิดเผยภายหลังการประชุม สมช.ว่า ที่ประชุมได้พิจารณากรอบการประชุม GBC ที่ฝ่ายเลขานุการของไทยจะนำไปหารือกับฝ่ายเลขานุการของกัมพูชาและเมื่อได้กรอบแล้วจะนำเรื่องที่ทุกฝ่ายเห็นชอบตามที่ตกลงกันนำมาเสนอเข้าที่ประชุม สมช. พิจารณาในวันที่ 8 กันยายน 2568 เพื่อพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติม ก่อนจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันที่ 9 กันยายน 2568 หลังจากนั้นจะมีการจัดประชุม GBC อย่างเป็นทางการในวันที่ 10 กันยายน 2568 ส่วนรายละเอียดกรอบและประเด็นที่จะเจรจายังไม่ขอเปิดเผยจนกว่าการหารือจะเรียบร้อย ทั้งนี้ในช่วงกรอบเวลาดังกล่าวระหว่างวันที่ 8-10 กันยายน 2568 ทาง สมช. ได้มีการหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยได้รับการยืนยันว่าคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันยังคงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรัฐบาลรักษาการจนกว่าจะมีการถวายสัตย์ปฏิญาณเข้ารับตำแหน่งของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่อย่างเป็นทางการ ดังนั้นการประชุม สมช.ในวันที่ 8 กันยายนนี้ ยังคงเป็นไปตามปกติ โดยมีนายภูมิธรรมทำหน้าที่ประธานการประชุม สมช. ตามเดิม ซึ่งเป็นไปตามระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

#ศบทกยืนยันการดำเนินการของไทยกรณีบ้านหนองจานเพื่อความปลอดภัยของประชาชน #ชายแดนไทยกัมพูชา #บ้านหนองจาน #กระทรวงกลาโหม #กระทรวงการต่างประเทศ #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง

ที่อยู่

เลขที่ 2 ถนนเทศบาลบำรุง ตำบลท้ายช้าง อำเภอเมือง
Phangnga
82000

เวลาทำการ

จันทร์ 08:30 - 16:30
อังคาร 08:30 - 16:30
พุธ 08:30 - 16:30
พฤหัสบดี 08:30 - 16:30
ศุกร์ 08:30 - 16:30

เบอร์โทรศัพท์

+6676460660

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สวท.พังงา กรมประชาสัมพันธ์ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง สวท.พังงา กรมประชาสัมพันธ์:

แชร์

Our Story

วันที่ 19 กรกฎาคม 2519 สถานีวิทยุกระจายแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา ออกอากาศส่งกระจายเสียงอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกด้วยระบบ เอ.เอ็ม ความถี่ 1341 กิโลเฮริซ์ โดยใช้อาคารศาลากลางจังหวัดพังงาหลังเก่าปรับปรุงเป็นห้องส่งใช้ออกอากาศเผยแพร่ข้อมูล ส่วนเครื่องส่งเป็นเครื่องที่กองช่างกรมประชาสัมพันธ์ จัดสร้างขึ้นเองขนาดกำลังส่ง10 กิโลวัตต์ เนื่องจากยังไม่ได้รับงบประมาณจนกระทั่งปี 2524 จึงได้รับการจัดสรรงบประมาณ ในการก่อสร้างอาคาร สำนักงานและบ้านพัก พร้อมทั้งย้ายมาอยู่ ณ อาคารสำนักงานแห่งใหม่ เลขที่ 2 ถนนเทศบาลบำรุง ตำบลท้ายช้าง อำเภอเมือง จังหวัดพังงา เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม2526 เนื่องจากเครื่องส่งระบบ เอ. เอ็ม. ของ สวท.พังงา เป็นเครื่องส่งที่กองช่างกรมประชาสัมพันธ์ จัดสร้างขึ้นเองกอปรกับใช้งานมานานถึง 26 ปีเศษ ประสิทธิภาพของเครื่องส่งจึงลดน้อยด้อยลงตามกาลเวลา อุปกรณ์ต่าง ๆ หมดอายุการใช้งานจนไม่สามารถซ่อมแซมเพื่อใช้งานได้อีกต่อไป จึงเป็นที่น่ายินดีที่ในปีงบประมาณ 2545 กรมประชาสัมพันธ์ ได้จัดสรร งบประมาณจัดซื้อเครื่องส่ง เอ.เอ็ม เครื่องใหม่ขนาด 10 กิโลวัตต์ ให้สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา พร้อมอุปกรณ์ส่วนควบตลอดจนปรับปรุงห้องเครื่องส่ง ระบบการส่ง และอุปกรณ์ห้องส่งใหม่ทั้งหมด ดำเนินการติดตั้งเสร็จเรียบร้อยและเริ่มส่งกระจายเสียงตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2545 เป็นต้นมา สำหรับระบบ เอฟ.เอ็ม ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2539 โดยผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา ( นางสาวนิ่มนวล เขียวหวาน ) ได้ขออนุมัติอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ในขณะนั้น ( นายชั้น พูลสมบัติ ) ขอนำเครื่องส่งเก่าจากสถานีวิทยุกระจายแห่งประเทศไทย จังหวัดชุมพร ซึงใช้งาน มานานถึง 30 ปีเศษ ปรับปรุงซ่อมแซมใหม่ จนสามารถใช้งานได้ในระดับหนึ่ง และถือฤกษ์ออกอากาศส่งกระจายเสียงด้วยความถี่ เอฟ.เอ็ม. ความถี่ 100 มกกะเฮริซ์ เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2539 ซึ่งเป็นวันฉัตรมงคล และถือเป็นกิจกรรมเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในปีกาญจนาภิเษก แต่เนื่องจากสภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปของจังหวัดพังงา เป็นภูเขาล้อมรอบ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการส่งกระจายเสียงเป็นอย่างมากเพราะรัศมีในการส่งกระจายเสียงไม่สามารถครอบคลุมได้ทุกพื้นที่ กอรป์กับประสิทธิภาพของเครื่องส่งก็ไม่สมบูรณ์ ร้อยเปอร์เซ็น จึงได้พิจารณาย้ายเครื่องส่งขึ้นไปติดตั้งบนเขาช้าง ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1000 ฟิต ทำให้รัศมีการส่งกระจายเสียงครอบคลุมพื้นที่ได้มากขึ้น อย่างไรก็ดี เนื่องจากเป็นเครื่องส่งเก่าที่ใช้งานมานานถึง 30 ปีเศษอุปกรณ์ต่าง ๆ หมดอายุการใช้งานแล้ว เครื่องจึงขัดข้องบ่อยครั้งมากการส่งกระจายเสียงไม่เป็นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการประชาสัมพันธ์งานโครงการและนโยบายต่าง ๆของรัฐบาลเป็นอย่างมาก จึงได้รับอนุมัติจากรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ฝ่ายปฏิบัติการ ( นายสมพงษ์ วิสุทธิ์แพทย์ ตำแหน่งในขณะนั้น ) ให้นำเครื่องส่ง เอฟ.เอ็มจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดจันทบุรี ( ใช้งานมาแล้ว 7 ปี ) มาติดตั้งใช้งานที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา โดยเจ้าหน้าที่จากสำนักส่งเสริมและพัฒนางานเทคนิคกรมประชาสัมพันธ์ได้นำมาติดตั้งและใช้งานตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2541

ปี พ.ศ. 2551 ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณจากกรมประชาสัมพันธ์ จัดซื้อเครื่องส่งพร้อมอุปกรณ์ส่วนควบ ปรับปรุงห้องส่งพร้อมติดตั้งอุปกรณ์ห้องส่งใหม่ทั้งหมด ซึ่งได้ใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน