สวท.พังงา กรมประชาสัมพันธ์

สวท.พังงา กรมประชาสัมพันธ์ F.M. 100 MHz "วิทยุแห่งประเทศไทย ให้ความรู้คู่ความสุข

วันที่ 19 กรกฎาคม 2519 สถานีวิทยุกระจายแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา ออกอากาศส่งกระจายเสียงอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกด้วยระบบ เอ.เอ็ม ความถี่ 1341 กิโลเฮริซ์ โดยใช้อาคารศาลากลางจังหวัดพังงาหลังเก่าปรับปรุงเป็นห้องส่งใช้ออกอากาศเผยแพร่ข้อมูล

ส่วนเครื่องส่งเป็นเครื่องที่กองช่างกรมประชาสัมพันธ์ จัดสร้างขึ้นเองขนาดกำลังส่ง10 กิโลวัตต์ เนื่องจากยังไม่ได้รับงบประมาณจนกระทั่งปี 2524 จึงได้รับการจัดสรรงบป

ระมาณ ในการก่อสร้างอาคาร สำนักงานและบ้านพัก พร้อมทั้งย้ายมาอยู่ ณ อาคารสำนักงานแห่งใหม่ เลขที่ 2 ถนนเทศบาลบำรุง ตำบลท้ายช้าง อำเภอเมือง จังหวัดพังงา เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม2526 เนื่องจากเครื่องส่งระบบ เอ. เอ็ม. ของ สวท.พังงา เป็นเครื่องส่งที่กองช่างกรมประชาสัมพันธ์ จัดสร้างขึ้นเองกอปรกับใช้งานมานานถึง 26 ปีเศษ ประสิทธิภาพของเครื่องส่งจึงลดน้อยด้อยลงตามกาลเวลา อุปกรณ์ต่าง ๆ หมดอายุการใช้งานจนไม่สามารถซ่อมแซมเพื่อใช้งานได้อีกต่อไป จึงเป็นที่น่ายินดีที่ในปีงบประมาณ 2545 กรมประชาสัมพันธ์ ได้จัดสรร งบประมาณจัดซื้อเครื่องส่ง เอ.เอ็ม เครื่องใหม่ขนาด 10 กิโลวัตต์ ให้สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา พร้อมอุปกรณ์ส่วนควบตลอดจนปรับปรุงห้องเครื่องส่ง ระบบการส่ง และอุปกรณ์ห้องส่งใหม่ทั้งหมด ดำเนินการติดตั้งเสร็จเรียบร้อยและเริ่มส่งกระจายเสียงตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2545 เป็นต้นมา

สำหรับระบบ เอฟ.เอ็ม ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2539 โดยผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา ( นางสาวนิ่มนวล เขียวหวาน ) ได้ขออนุมัติอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ในขณะนั้น ( นายชั้น พูลสมบัติ ) ขอนำเครื่องส่งเก่าจากสถานีวิทยุกระจายแห่งประเทศไทย จังหวัดชุมพร ซึงใช้งาน มานานถึง 30 ปีเศษ ปรับปรุงซ่อมแซมใหม่ จนสามารถใช้งานได้ในระดับหนึ่ง และถือฤกษ์ออกอากาศส่งกระจายเสียงด้วยความถี่ เอฟ.เอ็ม. ความถี่ 100 มกกะเฮริซ์ เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2539 ซึ่งเป็นวันฉัตรมงคล และถือเป็นกิจกรรมเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในปีกาญจนาภิเษก แต่เนื่องจากสภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปของจังหวัดพังงา เป็นภูเขาล้อมรอบ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการส่งกระจายเสียงเป็นอย่างมากเพราะรัศมีในการส่งกระจายเสียงไม่สามารถครอบคลุมได้ทุกพื้นที่ กอรป์กับประสิทธิภาพของเครื่องส่งก็ไม่สมบูรณ์ ร้อยเปอร์เซ็น จึงได้พิจารณาย้ายเครื่องส่งขึ้นไปติดตั้งบนเขาช้าง ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1000 ฟิต ทำให้รัศมีการส่งกระจายเสียงครอบคลุมพื้นที่ได้มากขึ้น

อย่างไรก็ดี เนื่องจากเป็นเครื่องส่งเก่าที่ใช้งานมานานถึง 30 ปีเศษอุปกรณ์ต่าง ๆ หมดอายุการใช้งานแล้ว เครื่องจึงขัดข้องบ่อยครั้งมากการส่งกระจายเสียงไม่เป็นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการประชาสัมพันธ์งานโครงการและนโยบายต่าง ๆของรัฐบาลเป็นอย่างมาก จึงได้รับอนุมัติจากรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ฝ่ายปฏิบัติการ ( นายสมพงษ์ วิสุทธิ์แพทย์ ตำแหน่งในขณะนั้น ) ให้นำเครื่องส่ง เอฟ.เอ็มจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดจันทบุรี ( ใช้งานมาแล้ว 7 ปี ) มาติดตั้งใช้งานที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา โดยเจ้าหน้าที่จากสำนักส่งเสริมและพัฒนางานเทคนิคกรมประชาสัมพันธ์ได้นำมาติดตั้งและใช้งานตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2541

28/03/2025
💥เชิญชวนติดตามการแพร่ภาพสด นายกรัฐมนตรีปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต วันที่ 28 มีนาคม 2568 ทางเพจ กรมประชาสัมพันธ์
28/03/2025

💥เชิญชวนติดตามการแพร่ภาพสด นายกรัฐมนตรีปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต วันที่ 28 มีนาคม 2568 ทางเพจ กรมประชาสัมพันธ์

📣นายกรัฐมนตรี เดินทางจากท่าอากาศยาน ทหาร 2 กองบิน 6 ไปยังท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ต.ไม้ขาว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต 28 มีนาคม 25...
28/03/2025

📣นายกรัฐมนตรี เดินทางจากท่าอากาศยาน ทหาร 2 กองบิน 6 ไปยังท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต ต.ไม้ขาว อ.ถลาง จ.ภูเก็ต 28 มีนาคม 2568

ครม. เห็นชอบข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (27 มี.ค. 68) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบตามที่คณะก...
28/03/2025

ครม. เห็นชอบข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ
(27 มี.ค. 68) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบตามที่คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (คปธ.) เสนอการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ
โดยปรับปรุงกฎหมายใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ 1) ด้านการส่งเสริมการประกอบธุรกิจ 2) ด้านการพัฒนาระบบการอนุญาตหลัก (Super License) 3) ด้านการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และ 4) ด้านการผลักดันพลังงานสะอาด (Clean Energy) และการจัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) เป็นการเพิ่มประเภทงานที่หน่วยงานภาครัฐเคยมีการปรับปรุงกฎหมายไปแล้ว นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังให้หน่วยงานทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ทบทวนกฎกระทรวงที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจเร่งแก้ไขและปรับปรุง เสนอต่อคณะรัฐมนตรี ในอีก 1 เดือนข้างหน้า ซึ่งการปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการลงทุนและสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันในภาพรวมของประเทศรวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและการอนุมัติอนุญาตของหน่วยงานของรัฐ

รายละเอียด
(27 มี.ค. 68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบตามที่คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (คปธ.) เสนอการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การปรับปรุงกระบวนการต่ออายุใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรม ได้รับความสะดวกในการประกอบกิจการได้อย่างต่อเนื่อง และการจัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) โดยเป็นการเพิ่มประเภทงานที่หน่วยงานภาครัฐเคยมีการปรับปรุงกฎหมายไปแล้ว ทั้งในเรื่องของการยกเว้นการตรวจสอบคนต่างด้าวชาวจีน และการยกเว้นการตรวจสอบคนต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย
อีกทั้งยังเป็นการปรับปรุงกระบวนการกฎหมายและระยะเวลาพิจารณาการอนุญาตด้านอาหาร ยา และเครื่องมือแพทย์ จากเดิมที่ใช้เวลาทำการ 178 วัน เหลือเพียง 86 วัน
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรี ยังให้หน่วยงานทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ทบทวนกฎกระทรวงที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจที่มีกฎมาอย่างยาวนาน ให้เกิดการเร่งทำใหม่แก้ไขและปรับปรุง โดยให้เสนอต่อคณะรัฐมนตรี ในอีกระยะเวลาภายใน 1 เดือน ต่อจากนี้
ข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบตามที่คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (คปธ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และมอบหมายหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยให้หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการให้ คปธ. ทราบต่อไป
2. รับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินการของ คปธ.
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ที่คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจเสนอ เป็นการดำเนินการของคณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายฯ อาศัยอำนาจตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 272/2566 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2566 และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่ 322/2567 เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายฯ เพื่อมีหน้าที่และอำนาจในการเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีในการแก้ไข ปรับปรุง หรือยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีพและธุรกิจของประชาชน เพื่อให้เกิดความสะดวกในการประกอบธุรกิจที่สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน ซึ่งคณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายฯ ได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมายฯ และให้เสนอข้อเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นสมควรให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบในหลักการเพื่อดำเนินการต่อไป โดยข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมายฯ ดังกล่าว ประกอบด้วย
1.1 การปรับปรุงกระบวนการต่ออายุใบอนุญาตเพื่อให้ได้รับความสะดวกในการประกอบกิจการได้อย่างต่อเนื่อง โดยมอบหมายให้กรมการปกครอง ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ พิจารณาเพิ่มรายการใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมในบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาการกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาต พ.ศ. 2564 เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตได้ และกรมการปกครอง ต้องกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการตรวจสอบการประกอบกิจการของผู้ได้รับอนุญาตเพื่อให้ผู้รับใบอนุญาตดำเนินการตามหลักเกณฑ์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
1.2 การปรับลดขั้นตอนโดยจัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ เพื่ออนุญาตผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) เพื่อให้ผู้ประกอบการได้รับความสะดวกรวดเร็วและลดค่าใช้จ่ายในการขออนุญาตผลิตไฟฟ้า โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับลดขั้นตอนโดยจัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จดังกล่าว ได้แก่ กระทรวงพลังงาน (สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานและกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน) กระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงานอุตสาหกรรม)
รายละเอียดของข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมายฯ ดังกล่าว มีดังนี้
1) การต่ออายุใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรม
ข้อเสนอของ คปธ. • การประกอบธุรกิจโรงแรมเป็นธุรกิจที่ต้องมีการลงทุนสูง ผู้ประกอบการมีแนวโน้ม ที่จะดำเนินกิจการต่อเนื่องระยะยาว การต่ออายุใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมจะต้องดำเนินการ ทุก 5 ปี มีระยะเวลาการพิจารณาตามคู่มือสำหรับประชาชน 66 วัน และโดยที่รัฐบาลได้มีนโยบายเร่งสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว จึงสมควรปรับปรุงกระบวนการต่ออายุใบอนุญาตเพื่อให้ผู้ประกอบการโรงแรมได้รับความสะดวกและสามารถประกอบกิจการได้อย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาการกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาต พ.ศ. 2564 เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการให้สามารถชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตได้ใน 31 ใบอนุญาต เช่น ใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาลประเภทที่ไม่รับผู้ป่วยไว้ค้างคืน ใบอนุญาตจัดตั้งสถานที่จำหน่ายอาหาร เป็นต้น ทั้งนี้ การชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตเป็นเพียงการแสดงความประสงค์ของผู้รับใบอนุญาตที่จะประกอบกิจการต่อเนื่อง
ผู้อนุญาตยังมีหน้าที่และอำนาจในการกำกับดูแลและดำเนินการตามที่กำหนดในกฎหมายได้ ดังนั้น จึงเห็นควรที่จะเสนอให้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมสามารถดำเนินการชำระค่าธรรมเนียมแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตได้ เพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจให้กับผู้ประกอบการโรงแรมซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่า 40,917 ราย และยังเป็นการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ ตามวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ต้องดำเนินการ • การดำเนินการตามข้อเสนอข้างต้น ควรมอบหมาย ดังนี้
1. กรมการปกครองร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. พิจารณาเพิ่มรายการใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมในบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาการกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบอนุญาตแทนการยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาต พ.ศ. 2564 ภายใน 30 วัน นอกจากนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. สามารถพิจารณารายชื่อใบอนุญาตอื่นเพิ่มเติมในบัญชีท้ายด้วยก็ได้
2. กรมการปกครองต้องกำหนดหลักเกณฑ์และแนวทางการตรวจสอบการประกอบกิจการหรือการดำเนินกิจการของผู้ได้รับอนุญาต เพื่อให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายตลอดระยะเวลาระหว่างการประกอบกิจการ และควรพัฒนาระบบอนุญาตหลัก (Super License) ในการขออนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการสามารถขอใบอนุญาตหลักเพียงใบเดียวในการประกอบธุรกิจ โรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องภายในกิจการโรงแรม เช่น ร้านอาหาร สปา สถานที่ออกกำลังกาย สระว่ายน้ำ
ซึ่งจะทำให้การประกอบธุรกิจรวดเร็วขึ้น และลดภาระให้กับผู้ประกอบการในการติดต่อหน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงาน เพื่อให้การดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุวัตถุประสงค์ของกฎหมายในการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและไม่ส่งผลกระทบต่อการกำกับดูแลตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยโรงแรม
2) การจัดตั้งศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) เพื่อการอนุญาตผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell)
ข้อเสนอของ คปธ. • การปรับโครงสร้างพลังงานของประเทศไทยจำเป็นต้องมีพลังงานสะอาดมากขึ้นทั้งในภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรองรับมาตรการปรับคาร์บอน ก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism : CBAM) ของสหภาพยุโรป รวมทั้งดึงดูดให้ย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยมีแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด โดยกำหนดสัดส่วนจากพลังงานแสงอาทิตย์สูงที่สุดเกือบร้อยละ 50 ของพลังงานสะอาดทั้งหมด แต่ในปัจจุบันผู้ขออนุญาตผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) ยังพบอุปสรรคในการขออนุญาตที่มีหลายขั้นตอนและใช้เวลานาน ซึ่งต้องขออนุญาตจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรวม 6 หน่วยงาน โดยใช้เวลารวมประมาณ 180 วัน ประกอบกับขั้นตอนการพิจารณาและตรวจสอบสถานที่ของหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องมีความซ้ำซ้อนกันทำให้เป็นภาระกับผู้ประกอบการ ดังนั้น เพื่อให้ผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมกว่า 72,000 แห่ง ได้รับความสะดวกรวดเร็วและลดค่าใช้จ่ายในการขออนุญาตผลิตไฟฟ้า จากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) อีกทั้งยังเป็นการช่วยส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานสะอาด อันจะส่งผลต่อการสร้างขีดความสามารถในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศและลดข้อจำกัดในการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่นโยบายทางด้านภาษี จึงควรปรับลดขั้นตอนโดยจัดตั้งศูนย์ บริการแบบเบ็ดเสร็จเพื่ออนุญาตผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell)
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ต้องดำเนินการ • การดำเนินการตามข้อเสนอข้างต้น ควรมอบหมาย ดังนี้
1) ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ทำหน้าที่เป็น One Stop Service ตั้งแต่การรับคำขอ การพิจารณา และการออกใบอนุญาต ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน
2) ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.)
หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เป็นผู้ตรวจสอบการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาออกใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าและใบอนุญาตอื่นที่เกี่ยวข้องของสำนักงาน กกพ. ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550
3) ให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม พิจารณาเร่งรัดการยกเลิกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) ลำดับที่ 88 (1) ตามบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดประเภท ชนิด และขนาดของโรงงาน พ.ศ. 2563 เพื่อกำหนดให้การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ทุกชนิด (ชนิดติดตั้งบนหลังคา ชนิดติดตั้งบนทุ่นลอยน้ำ และชนิดติดตั้งบนพื้นดิน) ทุกกำลังการผลิตไม่เข้าข่ายเป็นโรงงานเพื่อส่งเสริมให้เกิดการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์อย่างแพร่หลาย
4) ให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน เร่งรัดการยกเลิกใบอนุญาตพลังงานควบคุม (พค.2) สำหรับการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2539) ที่กำหนดให้การอนุญาตให้ผลิตหรือขยายการผลิตพลังงานควบคุมให้ใช้แบบ พค.2 และมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกากำหนดพลังงานควบคุม พ.ศ. 2536 กำหนดให้พลังงานไฟฟ้าซึ่งมีขนาดการผลิตรวมของแต่ละแหล่งผลิตตั้งแต่ 200 กิโลโวลต์แอมแปร์ขึ้นไปเป็นพลังงานควบคุม เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการผลิต จำหน่ายหรือการใช้พลังงานควบคุม หากแต่ในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ไม่จำเป็นต้องกำหนดเป็นพลังงานควบคุม เนื่องจากเทคโนโลยีการผลิตโซลาร์เซลล์มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วทำให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้ในปริมาณมากโดยใช้จำนวนแผงเซลล์แสงอาทิตย์หรือพื้นที่ติดตั้งลดลงจากเดิม อีกทั้งยังมีมาตรฐานการตรวจสอบความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าจาก กฟน. และ กฟภ. ในเขตพื้นที่ของการติดตั้งด้วยแล้ว
ปัจจุบันมีคำขออนุญาตผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) คงค้างรอตรวจสอบการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าอยู่ประมาณ 10,000 รายการ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการจัดตั้ง ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ในการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน การไฟฟ้าควรต้องเร่งพิจารณาคำขอเดิมที่คงค้างอยู่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

2. คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายฯ ยังได้เสนอรายงานสรุปผลการดำเนินการ
ที่นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้วและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำไปปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว โดยเป็นข้อเสนอที่หน่วยงานดำเนินการเสร็จแล้ว เช่น การเพิ่มประเภทงาน ที่หน่วยงานภาครัฐให้การสนับสนุนเพื่อยกเว้นให้คนต่างด้าวที่เข้าทำงานไม่ต้องขอใบอนุญาตทำงาน ได้แก่ งานจัดงานเทศกาลนานาชาติ และงานเทศกาลดนตรีนานาชาติ เพื่อลดอุปสรรคในการขอใบอนุญาตทำงาน และข้อเสนอที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ เช่น การปรับปรุงบัญชีท้ายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว อยู่ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ปรับปรุงธุรกิจ ที่ให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขออนุญาต การขยายเวลาการแจ้งที่พักอาศัยของคน
ต่างด้าวเมื่ออาศัยอยู่ในราชอาณาจักร สำนักงาน ก.พ.ร. มีหนังสือแจ้งกระทรวงมหาดไทยเพื่อพิจารณาออกประกาศกระทรวงมหาดไทยเพื่อเพิ่มเติมกลุ่มคนต่างด้าวที่ได้รับวีซ่า เช่น วีซ่าสำหรับการทำงาน ติดต่อทางธุรกิจหรือการประชุม (Non – Immigrant “B” (Non-B)) ซึ่งการปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการลงทุนและสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันในภาพรวมของประเทศรวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการและการอนุมัติอนุญาตของหน่วยงานของรัฐ

#ครมเห็นชอบข้อเสนอการปรับปรุงกฎหมายเพื่อความสะดวกในการประกอบธุรกิจ #กระทรวงพลังงาน
#กระทรวงมหาดไทย #กระทรวงอุตสาหกรรม #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง

ครม.เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถานบันเทิงฯ ยันสัดส่วนกาสิโนไม่เกิน 10% เน้นลงทุน-ท่องเที่ยว  ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบ...
28/03/2025

ครม.เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถานบันเทิงฯ ยันสัดส่วนกาสิโนไม่เกิน 10% เน้นลงทุน-ท่องเที่ยว
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจพิจารณาแล้ว โดยร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ สร้างการท่องเที่ยวแบบใหม่ ไม่ต้องรอการท่องเที่ยวตามฤดูกาล หรือการท่องเที่ยวเดิมที่มีอยู่ หรือ Man made tourism โดยนายกรัฐมนตรี ระบุว่า Entertainment Complex ได้ถูกกำหนดสัดส่วนให้มีกาสิโนอยู่ไม่เกิน 10% ขณะที่ 90% จะเป็นฮอลล์คอนเสิร์ตขนาดใหญ่ Indoor Stadium ขนาดใหญ่ สวนน้ำ โรงแรม ร้านอาหาร ที่จะสร้างรายได้กว่า 119,000 ถึง 238,000 ล้านบาท คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้น 5-10% ต่อปี รัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 12,000 ล้านบาท ถึง 39,000 ล้านบาทต่อปี และจะเก็บภาษีจากธุรกิจอื่น ประมาณ 8,000 ถึง 35,000 ล้านบาทต่อปี และเฉพาะกาสิโนขั้นต่ำ 3,264 ล้านบาทต่อปี และมีการจ้างงานในประเทศเพิ่มขึ้นเกิดอาชีพใหม่ ส่วนข้อกังวลเรื่องผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร รัฐบาลได้เตรียมกำหนดมาตรการป้องกัน แก้ไข และเยียวยาเพื่อบรรเทาผลกระทบไว้แล้ว
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. .... ของกระทรวงการคลัง (กค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้ว
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …. ของกระทรวงการคลังที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการกำหนดให้มีการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร โดยกำหนดกลไกการดำเนินการผ่านระบบคณะกรรมการ 2 ระดับ คือ คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรและคณะกรรมการบริหารสำนักงานควบคุมการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร โดยมีสำนักงานควบคุมการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรเป็นหน่วยธุรการของคณะกรรมการดังกล่าว กำหนดหลักเกณฑ์การอนุญาต รวมทั้งกำหนดมาตรการควบคุมและกำกับดูแลการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรให้มีมาตรฐานและเหมาะสม ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ได้ตรวจพิจารณาโดยนำความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 รวมทั้งความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาด้วยแล้ว โดยยังคงเป็นไปตามหลักการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้
(วันที่ 31 ม.ค. 68) และแก้ไขเพิ่มเติมรายละเอียดต่าง ๆ ให้ชัดเจนขึ้น รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมในสาระสำคัญ สรุปได้ดังนี้
ประเด็น รายละเอียด
• กลไกการดำเนินการ
1) ผู้รักษาการ
• กำหนดให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รักษาการ ตามกฎหมายร่วมกัน (เดิมกำหนดให้เป็นนายกรัฐมนตรี)
2) คณะกรรมการนโยบาย
• แก้ไขเพิ่มเติมหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการนโยบายในการพิจารณาเรื่องสำคัญที่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรี เช่น เสนอแนะนโยบายการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรต่อคณะรัฐมนตรี และเสนอแนะการกำหนดพื้นที่ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (แบ่งแยกอำนาจที่เป็นรายละเอียดไปให้คณะกรรมการบริหาร)
3) คณะกรรมการบริหาร
• แก้ไขชื่อเป็น “คณะกรรมการบริหารสำนักงานควบคุมการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร” โดยมีหน้าที่และอำนาจเน้นไปที่การบริหารงานของสำนักงานและการบริหารงานบุคคล
• เพิ่มเติมหน้าที่และอำนาจในการเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติม หรือยกเลิกกฎหมายหรือกฎที่อาจก่อให้เกิดความล่าช้า ซ้ำซ้อน หรือก่อให้เกิดภาระโดยไม่จำเป็นในการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร
4) สำนักงาน • แก้ไขชื่อเป็น “สำนักงานควบคุมการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร”
• เพิ่มเติมหน้าที่และอำนาจของสำนักงาน โดยอาจจัดให้มีการประชุมร่วมกัน
หรือประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐหรือเอกชนก็ได้
• แก้ไขเพิ่มเติมกลไกการได้มาซึ่งผู้อำนวยการ (เดิมเป็นเลขาธิการ เนื่องจากไม่ได้เป็นสำนักงานของคณะกรรมการ) โดยให้คณะกรรมการนโยบายแต่งตั้ง (จากเดิมคณะกรรมการนโยบายแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี)
5) พนักงานเจ้าหน้าที่ • แก้ไขเพิ่มเติมพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นผู้ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
แต่งตั้งให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ (เดิมสำนักงานแต่งตั้ง) โดยในส่วนของ
หน้าที่และอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติมในสาระสำคัญซึ่ง
ยังคงมีหน้าที่และอำนาจ เช่น เข้าไปในสถานที่ดำเนินการสถานบันเทิงครบวงจร
หรือสถานที่ตั้งของผู้รับใบอนุญาต

• การอนุญาตและการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร (สคก. ได้แยกการควบคุมและมาตรการบังคับออกจากการอนุญาต) • กำหนดกรอบนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรที่คณะกรรมการนโยบายเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีอย่างน้อยต้องประกอบด้วย (1) การกำหนดจำนวนใบอนุญาต
(2) พื้นที่ที่จะอนุญาตให้ตั้งสถานบันเทิงครบวงจร (3) หลักเกณฑ์การพิจารณาร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน และ (4) มาตรการป้องกันแก้ไขและเยียวยาผลกระทบอันอาจเกิดขึ้นจากการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร
• กำหนดเพิ่มเติมให้พื้นที่ ที่จะอนุญาตให้ตั้งสถานบันเทิงครบวงครบวงจร ต้องดำเนินการให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ประกอบด้วย
• กำหนดสัดส่วนพื้นที่ของกาสิโน (สถานที่เฉพาะสำหรับจัดให้มีการเล่นพนัน) ซึ่งจะต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของที่ดินหรือพื้นที่ใช้สอยของอาคารอันเป็นที่ตั้งของสถานบันเทิงครบวงจร แล้วแต่กรณีใดจะน้อยกว่ากัน (เดิมไม่ได้กำหนดในส่วนร้อยละ 10)
• กำหนดให้มีการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชนหรือชุมชนและกำหนดกระบวนการพิจารณาการร่วมลงทุนกับเอกชน หรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน เพื่อใช้บังคับแก่กรณีการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรไว้เป็นการเฉพาะ (เดิมไม่มี)
• กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสถานบันเทิงถือว่าเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตเกี่ยวกับการก่อสร้างและใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจตามประเภทธุรกิจที่ระบุไว้ในใบอนุญาต และให้ถือว่าผู้ได้รับใบอนุญาตที่จัดให้มีกาสิโนเป็นสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (เดิมไม่มี)
• การควบคุมและมาตรการบังคับ • กำหนดให้คณะกรรมการนโยบายกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อควบคุมการประกอบการกาสิโน โดยต้องมี (1) การจัดให้มีมาตรการป้องกันการฟอกเงิน (2) ระบบควบคุมกาสิโนที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และ (3) มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเกิดจากกาสิโน (เดิมไม่มี)
• กำหนดให้บุคคลสัญชาติไทยซึ่งจะเล่นพนันในกาสิโนต้องมีเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท ต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน และผ่านการตรวจสอบตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการบริหารกำหนด
(เดิมกำหนดห้ามเฉพาะผู้มีสัญชาติไทยจึงยังมิได้ลงทะเบียนและชำระค่าธรรมเนียมตามที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด)
• ห้ามผู้รับใบอนุญาตหรือบุคคลใดจ้างหรือให้ผลประโยชน์ตอบแทนอื่นใดแก่บุคคลอื่น หรือเพิ่มยอดหรือจำนวนคนเล่นพนันในกาสิโน หรือเพื่อเพิ่มจำนวนเงินที่ใช้จ่ายในการเล่นพนันในกาสิโน (เดิมไม่มี)
• บทกำหนดโทษ • กำหนดเพิ่มเติมมาตรการปรับเป็นพินัย เช่น ผู้รับใบอนุญาตที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้อำนวยการที่สั่งให้ปฏิบัติข้อกำหนด และปล่อยปละละเลยหรือยินยอมให้บุคคลต้องห้ามเข้าไปในกาสิโน และเพิ่มเติมลักษณะการกระทำความผิดที่จะได้รับโทษทางอาญา เช่น การจัดให้มีการเล่นพนันในกาสิโนผ่านการเชื่อมต่อระบบคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นใดกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือถ่ายทอดการเล่นพนันในกาสิโน และกระทำการที่เป็นการเพิ่มยอดหรือเพิ่มจำนวนคนเล่นพนัน หรือเพิ่มจำนวนเงินที่ใช้จ่ายในการเล่นพนันในกาสิโน

กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้ดำเนินการฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้วผ่านระบบกลางทางกฎหมาย (www.law.go.th) ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 14 มีนาคม 2568 รวมระยะเวลา 15 วัน จากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประชาชนทั่วไป โดยมีผู้แสดงความคิดเห็นจำนวน 71,289 คน และมี
ผู้เห็นด้วยประมาณร้อยละ 80 (ประมาณ 57,000 คน)

นายกฯ ขอให้มอง พ.ร.บ.สถานบันเทิงฯ ในภาพรวมธุรกิจ นักท่องเที่ยว การสร้างงานครบวงจร ส่งผลเก็บภาษีเข้าประเทศ 8,000 - 35,000 ล้านบาท
(27 มี.ค. 68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ร่างพระราชบัญญัติ การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร Entertainment Complex มีวัตถุประสงค์ สร้างการท่องเที่ยวแบบใหม่ ไม่ต้องรอการท่องเที่ยวตามฤดูกาล หรือการท่องเที่ยวเดิมที่มีอยู่ หรือ Man made tourism โดย Entertainment Complex ไม่เท่ากับกาสิโน เพราะมีกาสิโนอยู่ไม่เกิน 10% ขณะที่ 90% จะเป็นเรื่อง ฮอลล์คอนเสิร์ตขนาดใหญ่ ความจุ 50,000 คน Indoor Stadium ขนาดใหญ่ สวนน้ำ โรงแรม ร้านอาหาร ที่จะสร้างรายได้กว่า 119,000 ถึง 238,000 ล้านบาท คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้น 5-10% ต่อปี รัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 12,000 ล้านบาท ถึง 39,000 ล้านบาทต่อปี และจะเก็บภาษีจากธุรกิจอื่น ประมาณ 8,000 ถึง 35,000 ล้านบาทต่อปี โดยภาษีเฉพาะกาสิโนขั้นต่ำ 3,264 ล้านบาทต่อปี และมีการจ้างงานในประเทศเพิ่มขึ้นเกิดอาชีพใหม่ และทำให้รัฐบาลจัดเก็บภาษีจากกาสิโน และธุรกิจอื่นเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ ที่สำคัญจะมีกฎหมายควบคุม เพื่อป้องกันติดการพนัน โดยจะกำกับดูแลอย่างเคร่งครัด
(27 มี.ค. 68) ขณะที่นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การพัฒนาสถานบันเทิงครบวงจรเป็นการดึงเม็ดเงินลงทุนขนาดใหญ่จากต่างประเทศและเป็นเม็ดเงินใหม่จากนักลงทุนที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก (World Class) แบบครบวงจร รวมทั้งพื้นที่สาธารณะเพื่อการนันทนาการและการส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ซึ่งจะเป็นการลงทุนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย และทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำการท่องเที่ยวในภูมิภาค ประกอบกับเป็นการนำธุรกิจกาสิโนและการพนันถูกกฎหมายให้เข้ามาอยู่ในระบบอย่างมีมาตรฐาน ภายใต้การควบคุมของกฎหมาย มีการจัดเก็บรายได้และภาษีอย่างถูกต้อง
รัฐบาลได้ตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร เช่น ปัญหาทางการเงินและหนี้สิน ปัญหาอาชญากรรม เป็นต้น โดยได้มีการเตรียมการสำหรับการกำหนดมาตรการป้องกัน แก้ไข และเยียวยาเพื่อบรรเทาผลกระทบข้างต้น เช่น การจำกัดคุณสมบัติของผู้เข้าใช้บริการเพื่อไม่ให้กระทบต่อเยาวชนและกลุ่มเปราะบาง การห้ามมิให้มีการเชิญชวน โฆษณา ประชาสัมพันธ์ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเกี่ยวกับกาสิโน การกำหนดให้มีสำนักงานและพนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแล ตรวจสอบ และติดตามผลการดำเนินธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรอย่างใกล้ชิด เป็นต้น รวมทั้งให้มีการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดจากการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร แล้วดำเนินการป้องกัน แก้ไข หรือเยียวยาผลกระทบดังกล่าว
#ครมเห็นชอบร่างพรบธุรกิจสถานบันเทิงฯยันสัดส่วนกาสิโนไม่เกิน10% #สถานบันเทิงครบวงจร
#กระทรวงการคลัง #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง

📌“สานใจไทย สู่ใจใต้ รุ่น 44 เชื่อมสายใยฝั่งอันดามัน สู่ความมั่นคงและยั่งยืน”27 มี.ค. 68เวลา 09.30  นายบัญชา กางเกื้อ นาย...
27/03/2025

📌“สานใจไทย สู่ใจใต้ รุ่น 44 เชื่อมสายใยฝั่งอันดามัน สู่ความมั่นคงและยั่งยืน”

27 มี.ค. 68เวลา 09.30 นายบัญชา กางเกื้อ นายช่างไฟฟ้าอาวุโส รักษาราชการแทน ผอ.สวท.พังงาพร้อมด้วยนางสาวซาแลฮา อุสมา นักสื่อสารมวลชนปฏิบัติการ เข้าร่วมประชุมเตรียมความพร้อมการดำเนินโครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” รุ่นที่ 44 พื้นที่จังหวัดฝั่งทะเลอันดามัน (จังหวัดพังงา ภูเก็ต และกระบี่) โดยมีนายไพรัตน์ เพชรยวน ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เป็นประธาน ณ ห้องประชุมดีบุก ศาลากลางจังหวัดพังงา

วันนี้ ( 26 มี.ค.68) เวลา  13.00  น.พล.ต.ท.อัคราเดช  พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร.(ปป 2)(สส 2) / หัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน เป็...
27/03/2025

วันนี้ ( 26 มี.ค.68) เวลา 13.00 น.พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี
ผู้ช่วย ผบ.ตร.(ปป 2)(สส 2) / หัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน
เป็นประธานการประชุมคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่ง ตร. ที่ 547/2567 ลง 7 พ.ย.67 รับผิดชอบทำการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาที่ 826/2567 ของ สภ.คูคต จว.ปทุมธานี ครั้งที่ 5

โดยมี นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน พร้อมคณะนายพุฒิพงศ์ จออนันต์ผู้แทนจากสำนักงาน ปปง. พร้อมคณะพล.ต.ต.นราเดช ทิพย์รักษ์รอง ผบช.ภ.1/รองหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนพล.ต.ต.ชยานนท์ มีสติรอง ผบช.ภ.1/รองหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนพล.ต.ต.วรชาติ แสนคำผบก.สส.ภ.1 /พนักงานสืบสวนพล.ต.ต.สรัลพัฒน์ ยศสมบัติผบก.กต.2 จต./พนักงานสืบสวนพ.ต.อ.ตระกูล เกียวประเสริฐ
รอง ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี/พนักงานสอบสวนพ.ต.อ.ศราวุธ สวัสดิชัย
รอง ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี /พนักงานสืบสวนพ.ต.อ.เอกราช อุ่นเจริญ
รอง ผบก.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา /พนักงานสอบสวน/เลขานุการ
พร้อมด้วยคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เข้าร่วมประชุม

โดยการประชุมครั้งนี้ มีการรายงานความคืบหน้าการแจ้งข้อกล่าวหากับกลุ่มของผู้ต้องหากับพวกเพิ่มเติม , มีการรายงานผลการรวบรวมพยานหลักฐานที่รวบรวมมาได้ จากนั้นที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานเพื่อมีความเห็นในทางคดี , พิจารณาส่งสำนวนการสอบสวนไปยังพนักงานอัยการตรวจสอบกำกับก่อนมีความเห็นทางคดี และมีการกำหนดระยะเวลาการออกหมายเรียกผู้ต้องหาเพื่อนำตัวผู้ต้องหาส่งฟ้องต่อพนักงานอัยการ โดยยึดหลักความถูกต้อง เป็นธรรม และสามารถตรวจสอบได้ ณ ห้องประชุมเอราวัณ ชั้น 3 ตำรวจภูธรภาค 1 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม.

🚗 แหล่งกำเนิดหลัก (Primary Source) ของ PM2.5🔹 การคมนาคมและยานพาหนะ – การเผาไหม้เชื้อเพลิงในรถยนต์ เครื่องยนต์ดีเซล ปล่อย...
27/03/2025

🚗 แหล่งกำเนิดหลัก (Primary Source) ของ PM2.5
🔹 การคมนาคมและยานพาหนะ – การเผาไหม้เชื้อเพลิงในรถยนต์ เครื่องยนต์ดีเซล ปล่อยเขม่าและก๊าซพิษ
🏭 โรงงานอุตสาหกรรม – กระบวนการผลิตในโรงงาน เผาถ่านหิน น้ำมันเชื้อเพลิง ก่อให้เกิดฝุ่นขนาดเล็ก
🔥 การเผาในที่โล่ง – การเผาป่า เผาเศษวัสดุทางการเกษตร เช่น ตอซังข้าว อ้อย ทำให้เกิดฝุ่นหนาแน่น
🏡 กิจกรรมในครัวเรือน – ควันจากเตาถ่าน เตาไม้ การหุงต้มที่ใช้เชื้อเพลิงแข็ง

🔬 แหล่งกำเนิดรอง (Secondary Source) ของ PM2.5
☁️ ปฏิกิริยาเคมีในชั้นบรรยากาศ – ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO₂), ไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ทำปฏิกิริยากับความชื้นและแสงแดดจนกลายเป็น PM2.5
🌆 มลพิษในเมืองใหญ่ – การรวมตัวของไอเสียจากรถยนต์ อุตสาหกรรม และกิจกรรมของมนุษย์ ทำให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กขึ้นเองในอากาศ

PM2.5 เหล่านี้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ดังนั้นการลดการปล่อยฝุ่นจากแหล่งกำเนิดหลักและควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดรองจึงเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ปัญหาฝุ่นพิษในระยะยาว! 🌍💨

#ภารกิจพื้นฐานปี68 #โครงการการประชาสัมพันธ์การจัดการปัญหาฝุ่นละอองPM25ประจำปี2568 #ฝุ่นพิษ #มลพิษทางอากาศ #สุขภาพปอด #คุณภาพอากาศ #หมอกควัน #ฝุ่นละอองขนาดเล็ก #อากาศเป็นพิษ #ลดมลพิษ #สิ่งแวดล้อม #การเผาในที่โล่ง #อุตสาหกรรม #ยานพาหนะ #โรงงานไฟฟ้า ันตราย #ฝุ่นPM25 #หมอกควันพิษ #มลภาวะ #ป้องกันPM25 #อากาศบริสุทธิ์

🎯สื่อสาร สร้างความเข้าใจในองค์กร สู่การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ27 มี.ค. 68   นายบัญชา กางเกื้อ นายช่างไฟฟ้าอาวุโส รักษารา...
27/03/2025

🎯สื่อสาร สร้างความเข้าใจในองค์กร สู่การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

27 มี.ค. 68 นายบัญชา กางเกื้อ นายช่างไฟฟ้าอาวุโส รักษาราชการแทน ผอ.สวท.พังงา ประชุมประจำเดือนมีนาคม 2568 เพื่อแจ้งนโยบายและข้อสั่งการของผู้บริหารกรมประชาสัมพันธ์ และผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์เขต 5 แก่ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของ สวท.พังงา เพื่อปฏิบัติดำเนินการประชาสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ได้มอบทุนการศึกษา 1,000บาท จากผอ.สปข.5 มอบแก่บุตรเจ้าหน้าที่ในสวท.พังงาตามลำดับ

27/03/2025
27/03/2025
27/03/2025
📌 PM2.5 คืออะไร? ทำไมถึงอันตราย? 🌫⚠💨 PM2.5 หมายถึงฝุ่นละอองขนาดเล็กจิ๋วที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน (ประมาณ ...
27/03/2025

📌 PM2.5 คืออะไร? ทำไมถึงอันตราย? 🌫⚠

💨 PM2.5 หมายถึงฝุ่นละอองขนาดเล็กจิ๋วที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน (ประมาณ 1 ใน 25 ของเส้นผมมนุษย์! 🧬) ฝุ่นนี้สามารถ เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ลึกไปถึงปอด และซึมเข้าสู่กระแสเลือด ส่งผลกระทบต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว 😷

📌 ทำไม PM2.5 อันตราย?
✅ ขนาดเล็กมาก → แทรกซึมเข้าไปในปอดและกระแสเลือดได้ง่าย
✅ ลอยในอากาศได้นาน → ทำให้เราหายใจเอาฝุ่นเข้าไปตลอดเวลา
✅ กระทบสุขภาพทั่วโลก → เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ต้องเผชิญกันในหลายประเทศ รวมถึง ประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วง ฤดูหนาวและฤดูเผาในที่โล่ง

#ภารกิจพื้นฐานปี68 #โครงการการประชาสัมพันธ์การจัดการปัญหาฝุ่นละอองPM25ประจำปี2568 #ฝุ่นพิษ #อากาศสะอาด #ภัยร้ายที่มองไม่เห็น #สุขภาพดีไม่มีฝุ่น #ฝุ่นพิษ #มลพิษทางอากาศ #ภัยร้ายที่มองไม่เห็น #ฝุ่นจิ๋วแต่พิษแรง #หยุดฝุ่นPM25 #ลดฝุ่นเพื่อสุขภาพ #อากาศสะอาด #หายใจสะอาด #สุขภาพดีไม่มีฝุ่น #ปอดต้องการอากาศบริสุทธิ์ #ใส่หน้ากากกันฝุ่น #เครื่องฟอกอากาศ #ลดการเผาในที่โล่ง #เมืองไทยไร้ฝุ่น #สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น #ร่วมมือสู้ฝุ่น #ป้องกันPM25 #คนกรุงต้องรอด #เช็คคุณภาพอากาศ

27/03/2025

เปิดข้อสั่งการ นายกฯ ครม. ครั้งที่ 12/2568
การประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 12 ประจำปี 2568 วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการ ดังนี้
- ขอบคุณ ครม. และ หัวหน้าส่วนราชการ ที่ช่วยกันชี้แจงหลายคำถามที่ฝ่ายค้านได้อภิปรายสอบถามในสภาฯ ให้ประชาชนเข้าใจ
- ให้ ครม. พิจารณาข้อคำถาม และคำแนะนำ จากที่ประชุมสภาฯ เรื่องไหนที่ต้องรับกลับมาดำเนินการ ขอให้เร่งดำเนินการให้มีผลเป็นรูปธรรม
- ให้ ครม. และส่วนราชการ เร่งดำเนินการเรื่องเศรษฐกิจและปากท้อง ความเดือดร้อนของประชาชน
- ขอให้ทุกท่านช่วยกันขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในทุกเรื่อง เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน
#ไทยคู่ฟ้า #สื่อสารรัฐบาลไทย
-------------------
👍Website : www.thaigov.go.th
👍Facebook/ X : ไทยคู่ฟ้า
👍YouTube : ไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล
👍LINE/TikTok : ไทยคู่ฟ้า ()
👍Instagram : ไทยคู่ฟ้า ()

27/03/2025

กรมการจัดหางานเข้มงวด ป้องกันมิจฉาชีพหลอกลวงคนหางานต่างประเทศ ติดตามปิดเพจเฟซบุ๊กปลอมกว่า 100 URLs

นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานได้กำหนดมาตรการป้องกันมิจฉาชีพที่หลอกลวงคนไทยให้ไปทำงานต่างประเทศ โดยสั่งการให้ชุดปฏิบัติการเฝ้าระวัง ติดตามโพสต์เฟซบุ๊กที่กระทำการโฆษณาชักชวนคนหางานไปทำงานต่างประเทศโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และได้ส่งหนังสือขอความร่วมมือบริษัทจัดหางานที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย จำนวน 152 แห่ง ทั่วประเทศ ให้ช่วยแจ้งเบาะแสกรณีมีการแอบอ้างใช้ชื่อบริษัทจัดหางาน เพื่อให้กรมการจัดหางานประสานกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ดำเนินการปิดเพจเฟซบุ๊กดังกล่าว ล่าสุด กระทรวงดิจิทัลฯ ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งระงับการเผยแพร่ข้อมูลหรือการลบเพจเฟซบุ๊กเพิ่มเติมจำนวน 20 URLs ทั้งนี้ กรมการจัดหางานให้ความสำคัญกับการป้องกันการหลอกลวงคนหางานต่างประเทศอย่างมาก โดยชุดตรวจสอบ เฝ้าระวัง จะตอบโต้ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ช่องทางต่าง ๆ ทันทีที่พบเห็นผู้มีพฤติการณ์หลอกลวง โดยนำภาพและข้อความแจ้งเตือนใต้โพสต์ ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์วิธีการไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ช่องทางการตรวจสอบรายชื่อบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย และเผยแพร่ข่าวให้ประชาชนทราบถึงพฤติการณ์ของผู้ที่หลอกลวงลวงคนหางานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพ แต่ก็ยังมีคนหางานตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก

โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (1 ต.ค. 2567 - 28 ก.พ. 2568) มีการดำเนินคดีโฆษณาจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วจำนวน 14 คดี ประสานกระทรวงดิจิทัลปิดเพจเฟซบุ๊กทั้งหมด จำนวน 117 URLs โพสต์ตอบโต้ ชี้แจง พร้อมประชาสัมพันธ์ จำนวน 1,626 ครั้ง ประชาชนเข้าถึงโพสต์ได้รับทราบข้อมูลข่าวสาร จำนวน 823,716 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีหนังสือถึงสำนักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ และสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 เพื่อเฝ้าระวังป้องกันการหลอกลวงคนหางานในพื้นที่ พร้อมประสานสื่อมวลชน อาทิ สื่อวิทยุ โทรทัศน์ และสื่อสิ่งพิมพ์ เพื่อกระจายข่าวสารไปยังคนหางาน

นายสมชาย กล่าวเพิ่มเติมว่า มิจฉาชีพในปัจจุบันหันมาใช้ช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะเพจเฟซบุ๊กที่พิสูจน์ตัวตนได้ยาก ทำให้การหลอกลวงมีความซับซ้อนมากขึ้น โดยมักตั้งฐานการหลอกลวงในต่างประเทศในรูปแบบคล้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ พร้อมทั้งใช้บัญชีม้าในการรับโอนเงิน นอกจากนี้ ยังใช้การโฆษณาผ่านเฟซบุ๊กเพื่อดึงดูดคนหางานต่างประเทศ ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของมิจฉาชีพเห็นโพสต์จนหลงเชื่อและได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง

“ผมขอย้ำเตือนอีกครั้ง ก่อนตัดสินใจโอนเงินให้สายนายหน้าหรือผู้แทนบริษัทรายใด ขอให้ตรวจสอบรายชื่อบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตให้จัดส่งคนหางานไปทำงานต่างประเทศจากกรมการจัดหางาน ที่เว็บไซต์ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน doe.go.th/ipd เสียก่อนและควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศที่จะเดินทางไปทำงาน เพื่อป้องกันการหลอกลวง” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว

ทั้งนี้ หากคนหางานได้รับความเดือดร้อนจากการถูกมิจฉาชีพหลอกลวงไปทำงานต่างประเทศ สามารถขอรับคำปรึกษาและขอความช่วยเหลือได้ที่ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน โทร. 0 2245 6763 หรือที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694

27/03/2025
📢 เกษตรไทยยุคใหม่ ปลูกพืชใช้น้ำน้อย ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต! 🌱💧ภาคเกษตรกรรมเป็นผู้ใช้น้ำรายใหญ่ที่สุดของประเทศ ด้วยสัดส่วน ...
27/03/2025

📢 เกษตรไทยยุคใหม่ ปลูกพืชใช้น้ำน้อย ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต! 🌱💧

ภาคเกษตรกรรมเป็นผู้ใช้น้ำรายใหญ่ที่สุดของประเทศ ด้วยสัดส่วน กว่า 70% ของน้ำทั้งหมด 🏞 แต่ในยุคที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงและภัยแล้งรุนแรงขึ้น การจัดสรรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น!

🌾 แนวทางสำคัญในการส่งเสริมพืชใช้น้ำน้อย ปี 2568:

✅ 1. ปรับเปลี่ยนชนิดพืชให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำ
🌽 ปลูกพืชใช้น้ำน้อย เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเขียว งา สมุนไพร แทนพืชที่ต้องการน้ำมาก
🌵 ส่งเสริมพืชทนแล้ง เช่น มะขามเทศ กระถินเทศ มันสำปะหลัง

📌 2. พืชที่เหมาะสมกับแต่ละภูมิภาค
📍 ภาคเหนือ: ถั่วเหลือง ข้าวโพดหวาน
📍 ภาคอีสาน: มันสำปะหลัง งา ฟักทอง
📍 ภาคกลาง: ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สมุนไพร
📍 ภาคใต้: ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว

💰 3. สนับสนุนจากภาครัฐ-เอกชน
🔹 แจกเมล็ดพันธุ์พืชทนแล้ง
🔹 ให้สินเชื่อพิเศษแก่เกษตรกรที่ปรับตัว
🔹 อบรมให้ความรู้เกี่ยวกับพืชทางเลือกที่เหมาะสม

🌍 การบริหารจัดการน้ำที่ดี ไม่เพียงช่วยลดผลกระทบจากภัยแล้ง แต่ยังเพิ่มผลผลิต และช่วยให้เกษตรกรไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน! 🌿💧
#ภารกิจพื้นฐานปี68 #โครงการประชาสัมพันธ์การบริหารจัดการน้ำประจำปี2568 #เกษตรกรไทย #พืชใช้น้ำน้อย #ลดต้นทุนเพิ่มผลผลิต #การบริหารจัดการน้ำ

ที่อยู่

เลขที่ 2 ถนนเทศบาลบำรุง ตำบลท้ายช้าง อำเภอเมือง
Phangnga
82000

เวลาทำการ

จันทร์ 08:30 - 16:30
อังคาร 08:30 - 16:30
พุธ 08:30 - 16:30
พฤหัสบดี 08:30 - 16:30
ศุกร์ 08:30 - 16:30

เบอร์โทรศัพท์

+6676460660

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สวท.พังงา กรมประชาสัมพันธ์ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง สวท.พังงา กรมประชาสัมพันธ์:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์

Our Story

วันที่ 19 กรกฎาคม 2519 สถานีวิทยุกระจายแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา ออกอากาศส่งกระจายเสียงอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกด้วยระบบ เอ.เอ็ม ความถี่ 1341 กิโลเฮริซ์ โดยใช้อาคารศาลากลางจังหวัดพังงาหลังเก่าปรับปรุงเป็นห้องส่งใช้ออกอากาศเผยแพร่ข้อมูล ส่วนเครื่องส่งเป็นเครื่องที่กองช่างกรมประชาสัมพันธ์ จัดสร้างขึ้นเองขนาดกำลังส่ง10 กิโลวัตต์ เนื่องจากยังไม่ได้รับงบประมาณจนกระทั่งปี 2524 จึงได้รับการจัดสรรงบประมาณ ในการก่อสร้างอาคาร สำนักงานและบ้านพัก พร้อมทั้งย้ายมาอยู่ ณ อาคารสำนักงานแห่งใหม่ เลขที่ 2 ถนนเทศบาลบำรุง ตำบลท้ายช้าง อำเภอเมือง จังหวัดพังงา เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม2526 เนื่องจากเครื่องส่งระบบ เอ. เอ็ม. ของ สวท.พังงา เป็นเครื่องส่งที่กองช่างกรมประชาสัมพันธ์ จัดสร้างขึ้นเองกอปรกับใช้งานมานานถึง 26 ปีเศษ ประสิทธิภาพของเครื่องส่งจึงลดน้อยด้อยลงตามกาลเวลา อุปกรณ์ต่าง ๆ หมดอายุการใช้งานจนไม่สามารถซ่อมแซมเพื่อใช้งานได้อีกต่อไป จึงเป็นที่น่ายินดีที่ในปีงบประมาณ 2545 กรมประชาสัมพันธ์ ได้จัดสรร งบประมาณจัดซื้อเครื่องส่ง เอ.เอ็ม เครื่องใหม่ขนาด 10 กิโลวัตต์ ให้สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา พร้อมอุปกรณ์ส่วนควบตลอดจนปรับปรุงห้องเครื่องส่ง ระบบการส่ง และอุปกรณ์ห้องส่งใหม่ทั้งหมด ดำเนินการติดตั้งเสร็จเรียบร้อยและเริ่มส่งกระจายเสียงตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2545 เป็นต้นมา สำหรับระบบ เอฟ.เอ็ม ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2539 โดยผู้อำนวยการสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา ( นางสาวนิ่มนวล เขียวหวาน ) ได้ขออนุมัติอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ในขณะนั้น ( นายชั้น พูลสมบัติ ) ขอนำเครื่องส่งเก่าจากสถานีวิทยุกระจายแห่งประเทศไทย จังหวัดชุมพร ซึงใช้งาน มานานถึง 30 ปีเศษ ปรับปรุงซ่อมแซมใหม่ จนสามารถใช้งานได้ในระดับหนึ่ง และถือฤกษ์ออกอากาศส่งกระจายเสียงด้วยความถี่ เอฟ.เอ็ม. ความถี่ 100 มกกะเฮริซ์ เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2539 ซึ่งเป็นวันฉัตรมงคล และถือเป็นกิจกรรมเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในปีกาญจนาภิเษก แต่เนื่องจากสภาพภูมิประเทศโดยทั่วไปของจังหวัดพังงา เป็นภูเขาล้อมรอบ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการส่งกระจายเสียงเป็นอย่างมากเพราะรัศมีในการส่งกระจายเสียงไม่สามารถครอบคลุมได้ทุกพื้นที่ กอรป์กับประสิทธิภาพของเครื่องส่งก็ไม่สมบูรณ์ ร้อยเปอร์เซ็น จึงได้พิจารณาย้ายเครื่องส่งขึ้นไปติดตั้งบนเขาช้าง ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1000 ฟิต ทำให้รัศมีการส่งกระจายเสียงครอบคลุมพื้นที่ได้มากขึ้น อย่างไรก็ดี เนื่องจากเป็นเครื่องส่งเก่าที่ใช้งานมานานถึง 30 ปีเศษอุปกรณ์ต่าง ๆ หมดอายุการใช้งานแล้ว เครื่องจึงขัดข้องบ่อยครั้งมากการส่งกระจายเสียงไม่เป็นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อการประชาสัมพันธ์งานโครงการและนโยบายต่าง ๆของรัฐบาลเป็นอย่างมาก จึงได้รับอนุมัติจากรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ฝ่ายปฏิบัติการ ( นายสมพงษ์ วิสุทธิ์แพทย์ ตำแหน่งในขณะนั้น ) ให้นำเครื่องส่ง เอฟ.เอ็มจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดจันทบุรี ( ใช้งานมาแล้ว 7 ปี ) มาติดตั้งใช้งานที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวัดพังงา โดยเจ้าหน้าที่จากสำนักส่งเสริมและพัฒนางานเทคนิคกรมประชาสัมพันธ์ได้นำมาติดตั้งและใช้งานตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2541

ปี พ.ศ. 2551 ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณจากกรมประชาสัมพันธ์ จัดซื้อเครื่องส่งพร้อมอุปกรณ์ส่วนควบ ปรับปรุงห้องส่งพร้อมติดตั้งอุปกรณ์ห้องส่งใหม่ทั้งหมด ซึ่งได้ใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน