สวท.พัทลุง กรมประชาสัมพันธ์

สวท.พัทลุง กรมประชาสัมพันธ์ สถานีวิทยุเครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์ Radio Thailand Phatthalung FM 98 MHz.
(1)

“อนุทิน” สั่งการผู้ว่าฯ ภาคใต้ และเพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยและคลื่นลมแรงในพื้นที่ภาคใต้ ย้...
16/10/2025

“อนุทิน” สั่งการผู้ว่าฯ ภาคใต้ และเพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ เตรียมพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยและคลื่นลมแรงในพื้นที่ภาคใต้ ย้ำเพิ่มประสิทธิภาพ “การแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าในทุกช่องทาง” และเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนหากเกิดสถานการณ์ พร้อมสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่อง โดยขอรับความช่วยเหลือผ่านสายด่วน 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง
วันนี้ (16 ต.ค. 68) นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะผู้บัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้สั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์อุทกภัยและคลื่นลมแรงในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งจากการติดตามการคาดหมายลักษณะอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ในช่วงกลางเดือนตุลาคม 68 เป็นต้นไป บริเวณภาคใต้จะได้รับอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและร่องมรสุมจะเลื่อนลงไปพาดผ่านบริเวณภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน รวมถึงอาจมีพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้หรือเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณภาคตะวันออกและต่อเนื่องลงมาจนถึงอ่าวไทยตอนบนและภาคใต้ ส่งผลให้อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่งในหลายพื้นที่
นายอนุทิน ได้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 16 จังหวัด ในฐานะผู้อำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ดำเนินการ 5 ด้าน ได้แก่ 1. เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ สภาพอากากาศ ปริมาณฝน สถานการณ์น้ำท่า น้ำในอ่างเก็บน้ำ และประเมินความเสี่ยงอุทกภัย คลื่นลมแรง ดินสไลด์ในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยเฉพาะพื้นที่เขตชุมชน เขตเศรษฐกิจของจังหวัด ริมแม่น้ำ พื้นที่ติดชายทะเล พื้นที่ท้ายเขื่อน อ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำมาก และพื้นที่เชิงเขา เพื่อกำหนดมาตรการและวางแผนเผชิญเหตุที่สอดคล้องกับสภาพภูมิสังคมและความเสี่ยงภัยในพื้นที่ 2. ด้านการแจ้งเตือนภัย โดยเพิ่มประสิทธิภาพ “การแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าในทุกช่องทาง” ทั้งหอกระจายข่าวประจำหมู่บ้าน วิทยุชุมชน สื่อสังคมออนไลน์ เครือข่ายอาสาสมัคร อปพร. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหาร อปท. เพื่อประชาชนพื้นที่เสี่ยงได้รับทราบและเตรียมพร้อมรับมือได้ทันต่อสถานการณ์
3. เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยกรณี “พื้นที่เขตชุมชน พื้นที่เขตเศรษฐกิจ” เส้นทางคมนาคมที่มักพบปัญหาน้ำท่วมขังเป็นประจำ ให้ทำการป้องกันและแก้ไขปัญหาไว้ล่วงหน้า ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ โดยขุดลอกท่อระบายน้ำ ทำความสะอาดร่องน้ำ กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ วัชพืชในคู คลอง แหล่งน้ำต่าง ๆ โดยเฉพาะเส้นทางระบายน้ำลงสู่แม่น้ำหลัก และจัดทำแนว/คันกั้นน้ำ พร้อมวางแผนการติดตั้งเครื่องจักรกลสาธารณภัยไปประจำไว้ในพื้นที่เสียงภัย เป็นการล่วงหน้าเพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็ว สำหรับ “พื้นที่ติดชายฝั่งทะเล” ที่มีความเสี่ยงอาจได้รับผลกระทบจากคลื่นลมแรง คลื่นชัดชายฝั่ง ให้ประสานการปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานของกรมเจ้าท่า กองทัพเรือ ตำรวจน้ำในพื้นที่ ดูแลความปลอดภัยการเดินเรือ การนำเรือเข้าที่กำบัง และห้ามการเดินเรือในช่วงที่มีคลื่นลื่นลมแรง โดยหากมีการฝ่าฝืนให้ดำเนินการทางกฎหมายในทุกกรณี รวมทั้งกำชับให้ผู้ประกอบการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหาร อปท. สื่อสารแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวและประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงให้ทราบเพื่อลดความเสี่ยงอันตราย และห้ามทำกิจกรรมทางน้ำในช่วงคลื่นลมแรงเด็ดขาด และ “สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ” อาทิ อุทยานแห่งชาติ บริเวณน้ำตก ถ้ำ ถ้ำลอด เกาะแก่งต่าง ๆ ให้ประสานหน่วยงานที่รับผิดชอบเฝ้าระวัง แจ้งเตือน ปิดกั้นพื้นที่ ห้ามนักท่องเที่ยวหรือบุคคลใดเข้าพื้นที่ที่กำหนด และกำหนดแนวปฏิบัติการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่อาจจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์
4. หากเกิดเหตุให้ดำเนินการตามแผนเผชิญเหตุ โดยจัดทีมปฏิบัติการจากหน่วยงานฝ่ายพลเรือน หน่วยทหาร ตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มูลนิธิ องค์กรสาธารณกุศล และอาสาสมัคร เข้าให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย กลุ่มเปราะบาง อย่างเป็นระบบ และเคลื่อนย้ายทรัพย์สินไปยังพื้นที่ปลอดภัย พร้อมทั้งดูแลด้านการดำรงชีพ ปัจจัย 4 จัดหน่วยบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข อำนวยความปลอดภัยด้านการจราจร และเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด และ 5 เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ต้องเร่งสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นให้ครบถ้วนทุกด้าน อาทิ ด้านชีวิต ด้านที่อยู่อาศัย พื้นที่การเกษตร สิ่งสาธารณประโยชน์ สิ่งสาธารณูปโภค และช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟูบูรณะพื้นที่ประสบภัย ตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว โดยให้รายงานผลการปฏิบัติมายังกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยผ่านกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลางจนกว่าสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ
นายอรรษิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทยมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยทั้ง 14 จังหวัดภาคใต้ เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ รวมถึงพี่น้องประชาชนในพื้นที่อื่น ๆ ที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์สภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ หากต้องการขอรับความช่วยเหลือ สามารถติดต่อสายด่วนนิรภัย โทร. 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง
กองสารนิเทศ สป.มท.
ครั้งที่ 763/2568
วันที่ 16 ต.ค. 2568

📣 ขอเชิญติดตามรายการคลื่นใสวัยทีน 🎧สวท.พัทลุง กรมประชาสัมพันธ์วันเสาร์ที่ 18 ต.ค. 2568เวลา 09.00 - 10.00 น.🎤 ดำเนินรายกา...
16/10/2025

📣 ขอเชิญติดตาม
รายการคลื่นใสวัยทีน 🎧
สวท.พัทลุง กรมประชาสัมพันธ์
วันเสาร์ที่ 18 ต.ค. 2568
เวลา 09.00 - 10.00 น.

🎤 ดำเนินรายการโดย
นายภฤศวรภพ บุญรุ่ง (ดีเจบิ๊ก)
ประชาสัมพันธ์ ทต.นาโหนด

🎬 ชื่อตอน
”อาชีพในฝัน พนักงานขับรถไฟ“
👏 แขกรับเชิญ คือ 🚂
ว่าที่ร้อยตรีชูณญา สถิรานนท์
ตำแหน่ง พนักงานรถจักร 6
แขวงรถจักรหาดใหญ่

💢 #หัวข้อการสนทนาพูดคุย
🎙️การสอบคัดเลือกเป็นพนักงานขับรถไฟ
🎙️หน้าที่ของพนักงานขับรถไฟ
🎙️เพจ กัปตันอินเทรน - Captain in Train

รับฟังผ่าน 📻
เครื่องรับสัญญาณวิทยุ
คลื่น FM 98 MHz

#รับชมไลฟ์สดพร้อมกันทั่วโลก
📲 ผ่านทางเพจ FACEBOOK
สวท.พัทลุง กรมประชาสัมพันธ์

16/10/2025

รายการ ... ข่าวท้องถิ่นประจำวัน
ประจำวันพฤหัสบดีที่ 16 เดือนตุลาคม พ.ศ.2568

🎉 #รายการรอบรั้วทั้งถิ่น 🎉📣  #วันศุกร์ ที่ 17 ตุลาคม 2568 เวลา 14.00 - 15.00 น.    🎧  #ขอเชิญติดตามชม     💢  #รายการรอบร...
16/10/2025

🎉 #รายการรอบรั้วทั้งถิ่น 🎉
📣 #วันศุกร์ ที่ 17 ตุลาคม 2568 เวลา 14.00 - 15.00 น.
🎧 #ขอเชิญติดตามชม
💢 #รายการรอบรั้วท้องถิ่น
📻 สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยจังหวัดพัทลุง
ัทลุง
—————————
🎉 #ดำเนินรายการโดย
🎙️ นางกฤษณา สังข์จรูญ เจ้าพนักงานประชาสัมพันธ์ชำนาญงาน ทต.โคกม่วง
—————————
☺️ #แขกรับเชิญ 🙏
🎤 ร้อยตรีพิสิษฐ์ รักเล่ง (นายกปุ๊)
นายกเทศมนตรีตำบลจองถนน
—————————
💢 ช่วง " #ชวนคุยเรื่องราวชาวท้องถิ่น "
จุดชมวิวทะเลสาบที่สวยงาม
ชุมชนประมงวิถีชีวิต
พื้นที่อนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ
ของดีประจำถิ่น
ภูมิประเทศและแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย
วัฒนธรรมและวิถีชีวิตดั้งเดิมภูมิปัญญาท้องถิ่นน่าสนใจและควรสืบทอด

✅ ภารกิจ กิจกรรม แผนงาน โครงการที่กำลังดำเนินการและอนาคต
✅ ปัญหา ข้อขัดข้อง และแนวทางแก้ไข
✅ ประเพณี วัฒนธรรม
✅ สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์
✅ ข่าวฝากประชาสัมพันธ์จาก ทต.จองถนน
—————————
📻 #สามารถรับฟัง ผ่าน
เครื่องรับสัญญาณวิทยุระบบ FM98MHz 🎧
—————————
📲 #รับชมถ่ายทอดสดผ่านเพจ FACEBOOK ัทลุง กรมประชาสัมพันธ์
🎉👍🏼 #ฝากเป็นกำลังใจ …

15/10/2025

รายการ หนูนุ้ยคุ้ยข่าว วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม 2568

15/10/2025

รายการ ธรรมะรับอรุณ วันพฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม 2568

15/10/2025

ข่าวท้องถิ่นประจำวัน วันพุธที่ 15 ตุลาคม 2568

“คนละครึ่ง พลัส” เปิดให้ร้านค้าลงทะเบียน 15 ต.ค. 68 ย้ำไม่ถูกเก็บภาษีย้อนหลัง เตรียมเปิดเฟส 2 รอบตกหล่นบทสรุป โครงการ “ค...
15/10/2025

“คนละครึ่ง พลัส” เปิดให้ร้านค้าลงทะเบียน 15 ต.ค. 68 ย้ำไม่ถูกเก็บภาษีย้อนหลัง เตรียมเปิดเฟส 2 รอบตกหล่น

บทสรุป
โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เป็นโครงการสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี 2568 สร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับประชาชน และยังช่วยสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการโดยจะเปิดให้ร้านค้าและผู้ประกอบการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม -19 ธันวาคม 2568 ผ่าน www.คนละครึ่งพลัhttp://xn--73c.com/ โดยนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่าจะไม่มีการส่งต่อข้อมูลให้กรมสรรพากร และไม่มีการเรียกเก็บภาษีย้อนหลังแก่ร้านค้าอย่างแน่นอน ส่วนประชาชนลงทะเบียนร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 20-26 ตุลาคม 2568 ใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2568ส่วนการใช้บริการ Food Delivery เริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน - 31 ธันวาคม 2568 ผ่านแอปพลิเคชัน เป๋าตัง ส่วนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รัฐบาลจะเติมวงเงินเพิ่มให้เดือนละ 850 บาท ในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม 2568 ส่วนข้อกังวลในกลุ่มที่อาจมีปัญหาในการลงทะเบียน นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า จะเปิดให้ลงทะเบียนรอบใหม่ใน เฟส 2 โดยจะประกาศวันและขั้นตอนที่ชัดเจนอีกครั้งหลังจบเฟสแรก นอกจากนี้รัฐบาลกำลังทบทวนให้มีการลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่แก่ผู้ที่ไม่เคยลงทะเบียนมาก่อน เพื่อให้คนกลุ่มนี้สามารถเข้าถึงสิทธิ์ได้โดยไม่ตกหล่น

รายละเอียด
โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ได้แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 เพื่อสร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน ให้ประชาชนได้มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยนายอนุทิน ย้ำว่าโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” จะเป็นการเร่งวางรากฐานเศรษฐกิจให้มั่นคงและกระจายรายได้สู่ประชาชน โดยเฉพาะช่วงปลายปีนี้ ขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสให้ร้านค้าขนาดเล็ก วิสาหกิจชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการได้อย่างทั่วถึง เป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยให้เข้มแข็งขึ้น

สำหรับร้านค้า และผู้ประกอบการรายย่อย โครงการครั้งนี้ได้เพิ่มกลุ่มร้านค้านิติบุคคลMicro SMEs (ร้านค้านิติบุคคลขนาดเล็กที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี) ให้เข้าร่วมโครงการได้ สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม -19 ธันวาคม 2568ผ่าน www.คนละครึ่งพลัhttp://xn--73c.com/ ส่วนประชาชนทั่วไป ลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 20-26 ตุลาคม 2568 (เวลา 06.00 - 22.00 น.) ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”และใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม -31 ธันวาคม 2568(เวลา 06.00 - 23.00 น.) ผ่านแอปพลิเคชัน เป๋าตัง ส่วนการใช้บริการ Food Delivery เริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน -31 ธันวาคม 2568(เวลา 06.00 - 21.00 น.)

ส่วนข้อกังวลของร้านค้าและผู้ประกอบการที่กลัวว่าอาจถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลังจากกรมสรรพากรนั้นนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เงื่อนไขที่รัฐบาลตกลงร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ คือ การรักษาความลับของข้อมูลผู้ประกอบการและร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการอย่างเคร่งครัดยืนยันว่า ข้อมูลต่างๆ ที่ใช้ในโครงการดังกล่าวจะถือเป็นข้อมูลลับ จะไม่มีการเปิดเผยไปยังบุคคลภายนอก และที่สำคัญคือ จะไม่มีการส่งต่อข้อมูลเหล่านี้ให้กับกรมสรรพากร
สำหรับข้อกังวลในกลุ่มที่อาจจะมีปัญหาในการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ในวันที่ 20 ตุลาคม 2568นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่าจะมีการเปิดให้ลงทะเบียนรอบใหม่ใน “เฟส 2” เพื่อรองรับผู้ที่ตกหล่นจากการลงทะเบียนรอบแรก ส่วนการเติมเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งรัฐบาลกำลังทบทวนเพื่อเปิดให้มีการลงทะเบียนเพิ่มเติมรอบใหม่ เพื่อให้คนกลุ่มนี้สามารถเข้ารับสิทธิ์ได้โดยไม่ตกหล่น

ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานดูแลประชาชนอย่างทั่วถึง โดยรัฐบาลไม่อยากให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ทุกคนต้องสามารถเข้าถึงสิทธิ์ตามนโยบายได้จริง เพื่อให้เงินช่วยเหลือหมุนเวียนถึงมือประชาชน

ทั้งนี้ โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2568 จะเปิดให้ลงทะเบียนผ่านแอป “เป๋าตัง” ระหว่างวันที่ 20–26 ตุลาคม 2568 โดยผู้มีสิทธิ์ต้องเป็นคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป และไม่เป็น
ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในปัจจุบัน จะได้รับสิทธิ์ร่วมจ่ายกับรัฐ 50% ไม่เกิน 200 บาทต่อวัน เริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2568 โดยกลุ่มผู้ที่อยู่ในระบบภาษี 11 ล้านคน จะได้รับวงเงินคนละ 2,400 บาท และกลุ่มผู้ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี หรือประชาชนทั่วไป 9 ล้านคน ได้รับวงเงินคนละ 2,000 บาท

สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13.4 ล้านคน ยังคงได้รับเงินช่วยเหลือตามปกติ พร้อมเพิ่มวงเงินอีกเดือนละ 850 บาท ในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม2568 รวมเป็นเงินช่วยเหลือเดือนละ 1,150 บาท
เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพช่วงปลายปี รัฐบาลเชื่อมั่นว่าการดำเนินโครงการ“คนละครึ่ง พลัส” จะทำให้มีเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวนประมาณ 88,000 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.21 - 0.22 ขณะที่การเติมเงินให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะส่งผลให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2568
ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศโดยรวม คาดว่าจะส่งผลให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.07-0.08% ต่อปี เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการ

#คนละครึ่งพลัสเปิดให้ร้านค้าลงทะเบียน15ตุลาคม68 #ร้านค้าไม่ถูกเก็บภาษีย้อนหลัง #เตรียมเปิดคนละครึ่งพลัสเฟส2รอบตกหล่น #กระทรวงการคลัง #4เดือนทำทันที #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง
------------------------------------------

สธ. เดินหน้า 30 บาทรักษาทุกที่ฟอกไตฟรีทุกแห่ง Kick off นัดหมายออนไลน์ 17 ต.ค. นี้บทสรุปนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่ากา...
15/10/2025

สธ. เดินหน้า 30 บาทรักษาทุกที่ฟอกไตฟรีทุกแห่ง Kick off นัดหมายออนไลน์ 17 ต.ค. นี้

บทสรุป
นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เร่งขับเคลื่อนนโยบายด้านสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาอย่างทั่วถึง เท่าเทียมและลดภาระค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะนโยบาย“30 บาทรักษาทุกที่ ฟอกไตฟรีทุกแห่ง” และขยายบริการปลูกถ่ายไตให้ครบทั้ง 12 เขตสุขภาพ ส่วน สปสช. จะมีการปรับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเพื่อรองรับ อีกทั้ง พัฒนา “Super App” แอปพลิเคชันด้านสุขภาพหลักที่ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพเป็นระบบเดียวทั้งประเทศ เปิดให้ประชาชนใช้เฟสแรกภายในสิ้นปีนี้ และเตรียม Kick off ระบบนัดหมายออนไลน์ใน 4 โรงพยาบาลนำร่อง 4 จังหวัด วันที่ 17 ตุลาคม2568 ที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรี นอกจากนี้ ยังผลักดันไทยสู่ศูนย์กลาง Medical & Wellness Hub แห่งภูมิภาค และเร่งให้แรงงานต่างชาติซื้อประกันสุขภาพ โดยเปิดศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว นำร่อง ใน 4 จังหวัด ได้แก่ ตาก แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี และราชบุรี เตรียมขยายเฟส 2 ครอบคลุม 10 จังหวัด และขยายทั่วประเทศภายในเดือนมกราคม 2569 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพควบคุมป้องกันโรคตามแนวชายแดน

รายละเอียด
นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 มุ่งเน้นขับเคลื่อน “การสร้างรายได้ ลดรายจ่าย” ให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน ให้คนไทยทุกช่วงวัย ทุกกลุ่ม เข้าถึงสิทธิระบบสาธารณสุขอย่างทั่วถึงเท่าเทียมการพัฒนาบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพทางกายและจิตใจที่ดี
นายพัฒนา พร้อมพัฒน์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เร่งขับเคลื่อนนโยบายด้านสุขภาพ เพื่อดูแลสุขภาพประชาชนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ได้แก่
1. 30 บาทรักษาทุกที่ และฟอกไตฟรีได้ทุกแห่ง
เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2568 มีการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 10/2568 โดยเฉพาะนโยบายรัฐบาล“30 บาทรักษาทุกที่ ฟอกไตฟรีทุกแห่ง” และขยายบริการปลูกถ่ายไต โดยจะมีการปรับระบบให้ผู้ป่วยตัดสินใจเลือกวิธีการฟอกไตที่เหมาะสมได้ตามคำแนะนำของแพทย์ และมีการตรวจสอบคุณภาพศูนย์ไตเทียมให้เข้มข้นมากขึ้น ร่วมกับการควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งระบบ ตั้งแต่การป้องกันไม่ให้เป็นโรคไต การชะลอภาวะไตเสื่อมไม่ให้เข้าสู่ระยะที่ต้องฟอกไต ส่วนผู้ที่อยู่ในภาวะไตเสื่อมระยะสุดท้าย จะมีทางเลือกในการรักษาประคับประคอง รวมถึงสนับสนุนการปลูกถ่ายไตที่เป็นการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้ไตวายระยะสุดท้าย โดยกระทรวงสาธารณสุขจะขยายศูนย์ปลูกถ่ายไตและจัดตั้งทีมผ่าตัดนําไตออก (Renal Retrieval Team: RRT) ให้ครบทั้ง 12 เขตสุขภาพ ส่วน สปสช. จะมีการปรับหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเพื่อรองรับ ซึ่งล่าสุดเตรียมเปิดศูนย์ปลูกถ่ายไตเพิ่มอีก 1 แห่ง ที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จังหวัดนครสวรรค์ตั้งเป้าปลูกถ่ายไตได้ 3,000 ราย ภายในเดือนมกราคม 2569
• ขยายระบบ Telemedicine ให้ครอบคลุมทุกโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ตั้งเป้าครบ
100% ภายในเดือนธันวาคม 2568
• จัดให้มีเครื่องฉายแสงเพื่อการรักษาโรคมะเร็งอย่างครอบคลุมเปิดหน่วยบริการรังสีรักษาเพิ่มอีก
12 แห่ง ภายในปี 2570 ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะการวินิจฉัยโรคมะเร็ง
• วันที่ 15 ตุลาคม 2568 สปสช. จะชี้แจงการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บัตรทอง
30 บาท) ปีงบประมาณพ.ศ. 2569 ได้มีการปรับเกณฑ์บริหารงบประมาณที่สำคัญเพื่อให้ประชาชนได้รับการรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุขที่ครอบคลุม มีคุณภาพเพิ่มขึ้น ภายใต้งบประมาณกว่า 265,295 ล้านบาท หรือเฉลี่ยงบเหมาจ่ายรายหัว 4,173 บาทต่อคนต่อปี ครอบคลุมบริการทั้งผู้ป่วยนอก ผู้ป่วยใน กรณีเฉพาะ โรคเรื้อรัง บริการปฐมภูมิ และบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
2. รอบรู้ เพื่ออยู่อย่างมีคุณภาพชีวิต มุ่งสร้างสังคมที่ประชาชนมีความรอบรู้เรื่องโรค การป้องกัน การดูแลตนเองสร้างสุขภาพดีทุกช่วงวัยคนไทยแข็งแรง
• เดือนตุลาคมของทุกปี เป็นเดือนแห่งการรณรงค์ความรอบรู้ด้านสุขภาพ หรือ HealthLiteracy Month ในปี 2568 สมาคม HL นานาชาติ หรือ International Health Literacy Association (IHLA) กำหนดแนวคิด “สร้างความเสมอภาคทางสุขภาพด้วยนวัตกรรมและการมีส่วนร่วม (Building Health Equity Through Innovation and Inclusion)” ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายและแคมเปญ “3 รู้ อยู่รอด” คือ รอบรู้ข้อมูลสุขภาพที่ถูกต้อง ตระหนักรู้สถานะสุขภาพของตนเอง และรอบรู้วิธีแก้ปัญหาสุขภาพ เพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน
3. หมอไม่ล้า ประชาชนไม่รอ เชื่อมต่อทุกบริการผ่านเทคโนโลยี
• พัฒนาแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม”ให้เป็น “หมอพร้อม+” จะเป็น Super App ด้านสุขภาพหลักที่ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ตั้งแต่การตรวจสอบสิทธินัดหมายแพทย์ดูประวัติการรักษารับยาปรึกษาแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ไปจนถึงข้อมูลส่งเสริมสุขภาพเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพเป็นระบบเดียวทั้งประเทศภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์โดยประชาชนจะได้ใช้บริการเฟสแรกของ Super App ภายในสิ้นปี 2568 นอกจากนี้ยังเตรียม Kick off นัดหมายออนไลน์ นำร่อง 4 โรงพยาบาล ใน 4 จังหวัด วันที่ 17 ตุลาคม 2568 ที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจังหวัดนนทบุรี
4. เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ ด้วยการแพทย์มูลค่าสูง เพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ โดยพัฒนาประเทศไทยสู่การเป็น Medical & Wellness Hub แห่งภูมิภาค
• พัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความงามของไทย การให้บริการศัลยกรรมตกแต่งและแก้ไข สมุนไพรไทย นวดไทย ไปสู่ตลาดระดับโลก และผลักดันการแพทย์แม่นยำที่ใช้ข้อมูลจีโนมและ AI วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล
• ต่อยอดด้วยผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ขั้นสูง (ATMPs)เร่งดำเนินงานให้เป็นรูปธรรม ได้แก่ พื้นที่นำร่องด้าน ATMPs ศูนย์ฝึกอบรมด้านการแพทย์แม่นยำ และ National ATMPs Center แผน Genomic Thailand (โครงการวิจัยด้านสุขภาพ)ระยะที่ 2 รวมทั้งการให้บริการปลูกถ่ายอวัยวะที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 มีการแต่งตั้งคณะกรรมการในแต่ละชุดเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงาน
5. ขวัญกำลังใจบุคลากรเร่งดำเนินการเรื่องค่าตอบแทนตามภาระงาน ให้เป็นธรรมและเหมาะสม จัดสรรอัตรากำลังและทีมสนับสนุนให้เพียงพอตามบริบทของพื้นที่ ดูแลสวัสดิการและพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลก รวมถึงปรับปรุงโครงสร้าง กฎหมาย และระบบการทำงานให้ทันสมัย ลดภาระงานที่ไม่จำเป็น

นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุข ยังมีนโยบายที่สนับสนุนการยกระดับการบริการและหน่วยบริการสุขภาพทุกระดับให้ก้าวทันด้านสุขภาพ โดยสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพตั้งแต่ฐานราก คือ อสม. และการป้องกันการกระทำที่ผิดกฎหมายด้านสุขภาพ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศ ได้แก่
บูสต์ อสม. สู่ผู้ช่วยสาธารณสุข ยกระดับเพื่อสวัสดิการที่ยั่งยืนโดยการพัฒนาเจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นผู้ช่วยสาธารณสุขหรือผู้เชี่ยวชาญดูแลผู้สูงวัยผลักดันร่างพระราชบัญญัติ อสม. 7 ฉบับเพื่อให้มีกฎหมายคุ้มครอง และกองทุนสวัสดิการ อสม. สร้างหลักประกันรายได้และสวัสดิการสร้างสุขภาพดีทุกช่วงวัย คนไทยแข็งแรง โดยส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการสมวัย วัยเรียนวัยรุ่นมี IQ EQ ดี วัยทำงานพฤติกรรมสุขภาพดีลดภาวะพึ่งพิงในผู้สูงอายุ มีระบบดูแลสุขภาพระยะยาว
เร่งรัดให้แรงงานต่างชาติ/ต่างด้าวซื้อประกันสุขภาพลดภาระประเทศ
นายวรโชติ สุคนธ์ขจร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายเร่งรัดให้แรงงานต่างด้าวซื้อประกันสุขภาพ เพื่อลดภาระค่ารักษาพยาบาลของประเทศ ป้องกันและควบคุมโรคระบาดอย่างเป็นระบบ เป็นหนึ่งในนโยบาย Quick Win โดยระยะแรกได้จัดตั้งศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service - OSS) นำร่องใน 4 จังหวัดชายแดนที่มีศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ได้แก่ ตาก แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี และราชบุรี ซึ่งบูรณาการความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงาน ทำให้สามารถตรวจสุขภาพและซื้อประกันสุขภาพได้ในจุดเดียวอย่างครบวงจรเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม2568 ได้Kick off ตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว เฟส1 ณ โรงพยาบาลแม่สอด อ.แม่สอด จ.ตากนำร่องใน 4 จังหวัด ได้แก่ ตาก แม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี และราชบุรี และเตรียมขยายเฟส 2 เป็น 10 จังหวัด และขยายทั่วประเทศภายในเดือนมกราคม 2569 เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพควบคุมป้องกันโรคตามแนวชายแดน

ขณะเดียวกัน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้ตั้งทีมเฉพาะกิจเฝ้าระวังการออกใบรับรองแพทย์เท็จให้แรงงานต่างด้าวโดยสถานพยาบาลเอกชน ป้องปรามการกระทำผิดกฎหมาย หยุดการแพร่ระบาดของโรคต่างแดนหากมีการลักลอบออกใบรับรองแพทย์เท็จ หรือออกใบตรวจสุขภาพให้ทั้งที่ไม่มีการตรวจสุขภาพจริง ถือเป็นการกระทำผิดพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ฐานจัดทำเอกสารแสดงผลการรักษาพยาบาลเป็นเท็จ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

#สธเดินหน้า30บาทรักษาทุกที่ฟอกไตฟรีทุกแห่ง ัดหมายออนไลน์17ตุลาคมนี้ #กระทรวงสาธารณสุข #4เดือนทำทันที #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง
------------------------------------------

 ครม. อนุมัติงบกลางฯ 455.9 ล้านบาท จัด “ซีเกมส์-พาราเกมส์” จัด Bangkok Marathon 264 ล้านบาท กระตุ้นการท่องเที่ยวบทสรุปคณ...
15/10/2025


ครม. อนุมัติงบกลางฯ 455.9 ล้านบาท จัด “ซีเกมส์-พาราเกมส์” จัด Bangkok Marathon 264 ล้านบาท กระตุ้นการท่องเที่ยว

บทสรุป
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบจัดสรรงบกลางปี 2569 วงเงิน455.96 ล้านบาทสำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33และอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13ปี 2568 ครอบคลุมพิธีเปิดและปิดการประชาสัมพันธ์และการอำนวยความสะดวกแก่นักกีฬาต่างชาติ มอบหมายให้การกีฬาแห่งประเทศไทยดำเนินการจัดหารายได้จากการแข่งขันเพื่อให้เกิดภาระต่องบประมาณในสัดส่วนที่เหมาะสม และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผน แนวทาง กลยุทธ์และเป้าหมายในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวและนักลงทุนนานาชาติโดยคาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า5,285 ล้านบาท

ด้านนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ประชุมเตรียมความพร้อมด้านการประชาสัมพันธ์และมาตรการความปลอดภัยเพื่อให้การจัดมหกรรมกีฬาซีเกมส์ 2025 เป็นไปอย่างเรียบร้อย ปลอดภัย และสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนนอกจากนี้ ครม. ยังเห็นชอบจัดสรรงบประมาณ 264.35 ล้านบาท สำหรับค่าลิขสิทธิ์และภาษีในการจัดการแข่งขัน Amazing Thailand Marathon Bangkok ปี 2568-2570 คาดว่าประเทศไทยจะมีรายได้จากการใช้จ่ายเงินของผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ผู้ติดตามและผู้ชมการแข่งขัน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่จะเดินทางมาร่วมการแข่งขัน ตลอด 3 ปี ไม่น้อยกว่า 3,297 ล้านบาท เกิดการว่าจ้างงานมากกว่า 21,000 อัตรา คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 4,377 ล้านบาท

รายละเอียด
(14 ต.ค. 68) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2569 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) วงเงินงบประมาณ 455,962,200 บาท ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอประกอบด้วย
1. ค่าใช้จ่ายสาขาพิธีเปิด - ปิดการแข่งขัน และไฟพระฤกษ์ จำนวน 166,282,000 บาทรายละเอียด ดังนี้
1.1 จ้างจัดงานพิธีเปิด - พิธีปิด การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 พ.ศ. 2568 (ค.ศ. 2025) จำนวน 147,953,000 บาท
1.2 จ้างจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองวิ่งคบเพลิงไฟพระฤกษ์ ในการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 (ค.ศ. 2025) และการแข่งขันกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ ครั้งที่ 13 (ค.ศ. 2025) จำนวน 14,683,500 บาท
1.3 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสำรวจ/เข้าร่วมพิธี เปิด - ปิด/เข้าร่วมงานการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์และอาเซียนพาราเกมส์ฯ/งานพิธีไฟพระฤกษ์ของคณะกรรมการสาขา/คณะทำงาน/เจ้าหน้าที่ จำนวน 3,645,500 บาท
2. ค่าใช้จ่ายสาขาการประชาสัมพันธ์ การดำเนินการศูนย์ถ่ายทอดสัญญาณฯ (IBC) จำนวน 30,000,000 บาท
3. ค่าใช้จ่ายในการจัดจ้างดำเนินการจัดหาที่พัก อาหาร ขนส่ง และ ค่าซักรีด ของนักกีฬาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และผู้เข้าร่วมการแข่งขันจากต่างประเทศ จำนวน 259,680,200 บาท
โดยให้การกีฬาแห่งประเทศไทย ดำเนินการจัดหารายได้จากการแข่งขัน ตลอดจนการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจ เพื่อให้เกิดภาระต่องบประมาณในสัดส่วนที่เหมาะสม รวมถึงพิจารณากำหนดกลไกในการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าวให้บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ และจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอย่างรอบด้านให้ครอบคลุมในทุกมิติ พร้อมเห็นควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผน แนวทาง กลยุทธ์และเป้าหมายในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ สังคม และองค์ความรู้อย่างเป็นรูปธรรม และเมื่อดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว ขอให้รายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณแก่สำนักงบประมาณ
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
(1) สร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยสู่สายตาประชาคมอาเซียน ผ่านการถ่ายทอดสดการแข่งขันฯ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวและนักลงทุนนานาชาติ ให้เห็นถึงศักยภาพความพร้อมของประเทศในทุก ๆ ด้าน ทั้งการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ สังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศเกิดการหมุนเวียนในระบบ
(2) แสดงความเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและกีฬาอีกทั้งยังสร้างชื่อเสียงในฐานะเป็นประเทศที่มีการจัดกิจกรรมการแข่งขันที่ยิ่งใหญ่ขึ้นในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจจากการจัดกิจกรรมกีฬาและการแข่งขันกีฬาทุกระดับเพิ่มขึ้น
(3) สร้างแรงบันดาลใจให้นักกีฬาไทยและเยาวชนที่รักการออกกำลังกายและแข่งขันกีฬา มีความมุ่งมั่นใฝ่ฝันที่จะก้าวมาเป็นนักกีฬาทีมชาติไทย สร้างแรงกระตุ้นในการมีส่วนร่วมและความภูมิใจของประชาชนชาวไทย ในการที่ประเทศไทยได้เป็นประเทศเจ้าภาพ
(4) ประเทศไทยและนักกีฬา ประสบความสำเร็จเป็นเจ้าเหรียญทอง โดยมีเป้าหมายเหรียญรางวัลในการแข่งขันฯ ได้แก่ กีฬาซีเกมส์ 252 เหรียญทอง และกีฬาอาเซียนพาราเกมส์ 233 เหรียญทอง
(5) ประมาณการมูลค่าทางเศรษฐกิจ จำนวน 5,285,000,000 บาท
ด้านนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ประชุมหารือ เกี่ยวกับแนวทางการประชาสัมพันธ์มหกรรมกีฬาซีเกมส์ 2025 เพื่อสร้างการรับรู้ในระดับประเทศและภูมิภาค พร้อมทั้งเผยแพร่ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะเจ้าภาพที่มีความพร้อมทั้งด้านศักยภาพกีฬา การจัดการ และการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากประเทศต่าง ๆ อีกทั้งเตรียมความพร้อมมาตรการด้านความปลอดภัยของนักกีฬาและนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาร่วมมหกรรม โดยเน้นย้ำถึงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการวางมาตรการป้องกัน ดูแล และบริหารจัดการความปลอดภัย เพื่อให้การจัดมหกรรมกีฬาซีเกมส์ 2025 เป็นไปอย่างเรียบร้อย ปลอดภัย และสร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือน
นอกจากนี้ ครม. ยังมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนในเมืองหลวง (World Capital Marathon Series) รายการ Amazing Thailand Marathon Bangkok ประจำปี 2568 – 2570 (3 ปี) เพื่อเป็นค่าลิขสิทธิ์และค่าภาษีที่เกี่ยวข้องในการจัดการแข่งขัน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 264,352,941.15 บาท ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอโดยการกีฬาแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินการจัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมตามข้อคิดเห็นของสำนักงบประมาณ (สงป.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีรายละเอียดสรุป ดังนี้
1. แนวทางการสร้างรายได้และมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
1.1 การกีฬาแห่งประเทศไทย (คณะทำงานฝ่ายสิทธิประโยชน์) ได้มีการหารือล่วงหน้ากับภาครัฐ และภาคเอกชน ที่มีความพร้อมในการให้การสนับสนุนงบประมาณของการจัดการแข่งขันในส่วนที่ยังไม่เพียงพอ
1.2 จะสร้างรายได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับเศรษฐกิจของประเทศ โดยคิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 1,459 ล้านบาท ผ่านการจ้างงาน การเดินทางมาท่องเที่ยวและแข่งขัน และการประชาสัมพันธ์และการถ่ายทอดสดทั่วโลก
2. แนวทางการบริหารจัดการในด้านต่าง ๆ เช่น จัดเตรียมความพร้อมของสถานที่แข่งขันให้เป็นไปตามข้อกำหนดของสนามกรีฑาโลก และจัดเตรียมความพร้อมด้านเส้นทาง การแข่งขัน การจราจรและความปลอดภัย รวมทั้งการบริหารผลกระทบที่จะมีต่อผู้พักอาศัยตลอดเส้นทางแข่งขัน ตลอดจนหารือร่วมกับกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติถึงความเป็นไปได้ในการขอรับการสนับสนุนงบฯ จากกองทุนฯ เพิ่มเติม
3. แนวทางบริหารความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น เลือกใช้วัสดุการจัดการแข่งขันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จัดการเส้นทางและอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในพื้นที่เพื่อลดความไม่สะดวกที่อาจเกิดขึ้น และจัดเตรียมมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ครอบคลุม
ทั้งนี้ ประเทศไทยจะมีรายได้จากการใช้จ่ายเงินของผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ผู้ติดตามและผู้ชมการแข่งขัน ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่จะเดินทางมาร่วมการแข่งขัน ตลอด 3 ปี ไม่น้อยกว่า 3,297 ล้านบาท (ปีละไม่น้อยกว่า 1,099 ล้านบาท) เกิดการว่าจ้างงาน สำหรับเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ อาสาสมัคร นักเรียนและนักศึกษา ที่จะมาปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ตลอด 6 เดือนก่อนการแข่งขัน ตลอด 3 ปี มากกว่า 21,000 อัตรา (ปีละไม่น้อยกว่า 7,000 อัตรา) ในส่วนของมูลค่าด้านการประชาสัมพันธ์ตลอดทั้งโครงการที่ประกอบไปด้วยการถ่ายทอดสดการแข่งขันไปทั่วโลก การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในทุกแพลตฟอร์มคิดเป็นมูลค่าไม่น้อยกว่า 870 ล้านบาท (ปีละไม่น้อยกว่า 290 ล้านบาท) ครอบคลุมปีละไม่น้อยกว่า 180 ล้านครัวเรือนทั่วโลก (หรือประมาณ 450 ล้านคนต่อปี) คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่คาดว่าประเทศไทยจะได้รับจากการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฯ ตลอดทั้งโครงการ 3 ปี เป็นจำนวนทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 4,377 ล้านบาท

#ครมอนุมัติงบกลาง455ล้านบาทจัดซีเกมส์และพาราเกมส์ #จัดBangkokMarathon264ล้านบาท #กระตุ้นการท่องเที่ยว #กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา #4เดือนทำทันที #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง
------------------------------------------

 รัฐบาล ขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัล เปลี่ยนโฉมการบริการภาครัฐ สร้าง “ทางรัฐ Super App" รวมทุกบริการรัฐไว้ที่เดียว นายภราดร ป...
15/10/2025


รัฐบาล ขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัล เปลี่ยนโฉมการบริการภาครัฐ สร้าง “ทางรัฐ Super App" รวมทุกบริการรัฐไว้ที่เดียว

นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดงาน Digital Government Summit 2025 เพื่อประกาศนโยบายขับเคลื่อนประเทศไทยสู่รัฐบาลดิจิทัลซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายด้านการบริหารภาครัฐ
การปฏิรูปกฎหมาย ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยนายภราดร ระบุว่า รัฐบาลดิจิทัลคือการออกแบบอนาคตของประเทศไทย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ให้สามารถเข้าถึงบริการได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ไม่ต้องใช้เอกสารซ้ำซ้อน และไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง รวมถึงการยกระดับ Open Government เพื่อความโปร่งใสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูล ตรวจสอบการทำงานของรัฐได้ ทั้งนี้รัฐบาลเร่งเดินหน้านโยบายสำคัญ 3 เรื่องที่จะเปลี่ยนโฉมการบริการภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ 1.พัฒนาแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ให้เป็น “ทางรัฐ Super App”ที่จะรวมทุกบริการของภาครัฐไว้ในที่เดียว 2.ให้ข้อมูลครั้งเดียวจบ ไม่ต้องกรอกข้อมูลเดิมซ้ำๆ เมื่อติดต่อหน่วยงานรัฐ และ 3.ยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วยนโยบาย Government Cloud เพื่อปกป้องข้อมูลของประชาชนให้ดีที่สุด เชื่อว่านอกจากจะเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนแล้ว ยังสร้างความเชื่อมั่นและทลายกำแพงระหว่างรัฐกับประชาชนได้อีกด้วย

รายละเอียด
(14 ต.ค. 68) นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Digital Government Summit 2025 ที่จัดโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (Digital Government Development Agency (Public Organization) : DGA)ระหว่างวันที่ 14 - 15 ตุลาคม 2568 ที่ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์ เพื่อประกาศนโยบายขับเคลื่อนประเทศไทยสู่รัฐบาลดิจิทัล ซึ่งเป็นนโยบายหนึ่งในด้านการบริหารภาครัฐ การปฏิรูปกฎหมาย ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่ได้แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 พร้อมทั้งได้นำเสนอผลงานเกี่ยวกับบริการด้านรัฐบาลดิจิทัลจากภาคราชการภายใต้คอนเซ็ปต์ Leading Thailand to the Top in GovTechซึ่งเป็นงานสัมมนาที่จะพาประเทศไทยก้าวสู่จุดสูงสุดบนเวที GovTechระดับโลก

นายภราดร ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Empowering the Nation through Digital Government ระบุว่า รัฐบาลดิจิทัลคือการออกแบบอนาคตของประเทศไทย ที่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน มีหลักการสำคัญคือ ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยการออกแบบบริการภาครัฐทั้งหมดจะต้องเริ่มต้นจากความต้องการของประชาชนเป็นหลัก เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ไม่ต้องใช้เอกสารซ้ำซ้อน และไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง พร้อมทั้งรัฐบาลกำลังยกระดับ Open Government เพื่อความโปร่งใสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูล ตรวจสอบการทำงานของรัฐ และมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นได้อย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและทลายกำแพงระหว่างรัฐกับประชาชน

ทั้งนี้รัฐบาลกำลังเดินหน้านโยบายสำคัญ 3 เรื่องที่จะเปลี่ยนโฉมการบริการภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม คือ
1. พัฒนาแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ให้เป็น “ทางรัฐ Super App”ที่จะรวมทุกบริการของภาครัฐไว้ในที่เดียว สำหรับประชาชนและภาคธุรกิจ มีระบบ Biz Portal พร้อมเพิ่มการเข้าถึง และการบริการที่สำคัญอีกกว่า 2,000 บริการ เพื่อแก้ปัญหาการติดตั้งหลายแอปพลิเคชันและการยื่นสำเนาเอกสารซ้ำซ้อน พร้อมทั้งพัฒนาระบบ Digital ID เพื่อการยืนยันตัวตนที่ปลอดภัย
2. ให้ข้อมูลครั้งเดียวจบ ประชาชนจะไม่ต้องกรอกข้อมูลเดิมซ้ำๆ เมื่อติดต่อหน่วยงานรัฐ โดยทุกหน่วยงานจะเชื่อมโยงข้อมูลกันผ่านระบบ Government Data Exchange (GDX)
3. ยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วยนโยบาย Government Cloud เพื่อปกป้องข้อมูลของประชาชนให้ดีที่สุด ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงของชาติสำหรับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อบริหารจัดการวิกฤต รัฐบาลจะใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการบริหารจัดการภัยพิบัติต่างๆ เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม และฝุ่น PM2.5 โดยกำลังพัฒนา “แพลตฟอร์มกลาง” ที่มีระบบครบวงจร ตั้งแต่การแจ้งเตือนภัย การลงทะเบียนอาสาสมัคร
การรับแจ้งความเดือดร้อน ไปจนถึงการโอนเงินช่วยเหลือเยียวยา ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกรวมไว้ใน “ทางรัฐ Super App”เช่นกัน

ปัจจุบันไทยมีอันดับดัชนีการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government Development Index: EGDI) ของสหประชาชาติดีขึ้น จากอันดับที่ 55 ในปี 2565 เป็นอันดับที่ 52 ในปี 2567 (จาก 193 ประเทศ) และเป็นอันดับ 2 ในอาเซียนรองจากสิงคโปร์ รัฐบาลตั้งเป้าหมายให้การประเมินครั้งถัดไปในปี 2569 ประเทศไทยจะมีพัฒนาก้าวกระโดด จนมีระบบที่ดีเทียบเท่าประเทศผู้นำอย่างเดนมาร์ก เอสโตเนีย และสิงคโปร์ งานนี้จึงเป็นการประกาศ “วิสัยทัศน์รัฐบาลดิจิทัล” ของประเทศไทย และเชิญชวนทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนประเทศให้เป็นต้นแบบด้านบริการภาครัฐดิจิทัล โดยมองว่ารัฐบาลดิจิทัลไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นคำมั่นสัญญาว่าประชาชนจะได้รับการดูแลจากรัฐที่ดีขึ้นบนพื้นฐานของความโปร่งใส

ทางด้านนายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ Driving Thailand’s Digital Economy & Society โดยเน้นย้ำถึงภารกิจสำคัญของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คือการสร้าง “เส้นเลือดใหญ่ของรัฐไทย” ผ่าน Government Cloud (โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ ที่รัฐบาลจัดทำขึ้นเพื่อให้บริการแก่หน่วยงานภาครัฐ)และ Data Infrastructure (โครงสร้างพื้นฐานของข้อมูล)
ที่เชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐอย่างปลอดภัย โปร่งใส และต่อเนื่อง การยกระดับ Thailand CERT เป็นศูนย์กลางความร่วมมือด้านไซเบอร์ระดับชาติ โดยการพัฒนากรอบ Decentralized Security Framework เพื่อป้องกันการโจมตีจากจุดเดียวและเสริมความยั่งยืนของระบบความปลอดภัยภาครัฐ เดินหน้า Proactive Privacy Management (การจัดการความเป็นส่วนตัวเชิงรุก)ภายใต้ Personal Data Protection Act (PDPA) หรือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และพัฒนากรอบการกำกับดูแลข้อมูลระดับชาติให้เป็นระบบเดียวกัน (National Data Governance Framework) เป็นต้น โดยมุ่งสร้างความเชื่อมั่นของประชาชนควบคู่กับเทคโนโลยี เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างปลอดภัย โปร่งใส และมั่นใจในอนาคตของคนไทยทุกคน เพราะ “รัฐบาลดิจิทัล” จะไม่ใช่แค่ระบบ แต่คือ “ความเชื่อมั่นใหม่ของชาติ”

สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ ยังมีการจัดแสดง Exhibition Zone และบูธบริการประชาชนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน บริเวณ ชั้น M อาทิ แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” บริการทำบัตรประจำตัวประชาชนจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย บริการทำพาสปอร์ต ด้วยแอปฯ Thai Consular จากกรมการกงสุลบริการจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า บริการตรวจสอบเครดิตบูโรฟรี จากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด บริการทำใบขับขี่ จากกรมการขนส่งทางบก และบริการจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เป็นต้น

#รัฐบาลขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัลเปลี่ยนโฉมการบริการภาครัฐ #ทางรัฐSuperAppรวมทุกบริการรัฐไว้ที่เดียว
#สำนักนายกรัฐมนตรี #กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม #4เดือนทำทันที #นโยบายรัฐบาล20กระทรวง
------------------------------------------

ที่อยู่

Phatthalung
93000

เบอร์โทรศัพท์

+6674829899

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สวท.พัทลุง กรมประชาสัมพันธ์ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง สวท.พัทลุง กรมประชาสัมพันธ์:

แชร์