27/09/2025
วันที่ 1 ตุลาคมนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรี 26 สิงหาคม 2568 ที่อนุญาตให้ “ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา (ผภร.)” ทำงานนอกพื้นที่พักพิงชั่วคราวได้ ผู้ลี้ภัยในศูนย์อพยพชายแดนไทย-เมียนมาทั้ง 9 แห่งจะได้ออกมาเป็นแรงงานภายนอกศูนย์อพยพบนผืนแผ่นดินไทยที่สงบร่มเย็นโอบอ้อมอารีต่อพวกเขามายาวนานกว่า 40 ปี พวกเขาหนีตายหัวซุกหัวซุนจากดินแดนที่เข่นฆ่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกัน ฆ่าผู้ที่เห็นต่าง เพียงหลับตาพวกเขายังไม่สามารถลบความทรงจำเลวร้ายออกไปได้พวกเขายอมแลกกับการอยู่อย่างลำบากและไร้อิสรภาพ และขอตายบนแผ่นดินไทยดีกว่ากลับไปถิ่นฐานเดิม ต่อไปพวกเขาจะไม่ได้ถูกล้อมรั้วกักกันเฉกเช่นสวนสัตว์มนุษย์อีกต่อไป พวกเขามีสิทธิของความเป็นมนุษย์มาแต่กำเนิด หากได้รับการบริหารจัดการอย่างถูกต้องบนพื้นฐานความเหมาะสมในเรื่องสิทธิมนุษยชน สถานะประชากร ก็จะทำให้คนต่างชาติต่างภาษาเหล่านี้อยู่ร่วมกับคนไทยได้อย่างสงบและสามารถร่วมพัฒนาประเทศไทยของเราด้วยกัน เพราะในแหล่งพักพิงนั้นเต็มไปด้วยคนที่มีทักษะอาชีพต่างๆ มีหมอ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ คุณครู ทนาย นักคอมพิวเตอร์ สถาปนิก วิศวกร และคนที่พร้อมใช้แรงงาน สิ่งเหล่านี้ผ่านการทำวิจัยมากมายโดยนักวิชาการในด้านสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ วันนี้จึงขอยกงานวิจัยที่ทำไว้อย่างครบถ้วนใจความเกี่ยวกับทางออกของผู้ลี้ภัยในศูนย์พักพิงชั่วคราว นิพนธ์โดย อาจารย์ ชยันต์ วรรธนะภูติ อาจารย์มาลี สิทธิเกรียงไกรและทีมงานศูนย์ภูมิภาคเพื่อสังคมศาสตร์และการพัฒนาที่ยั่งยืน (RCSD) คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตีพิมพ์เพื่อแนะนำเชิงนโยบายตั้งแต่ปี พ.ศ.2556
ความตอนหนึ่งจากงานวิจัยกล่าวว่า ..ผู้ลี้ภัยตามชายแดนไทย-พม่าเหล่านี้ได้อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปี บางคนเกิดและเติบโตในค่าย ดังนั้น จึงควรจะมีการทบทวนและเปลี่ยนวิธีคิดต่อผู้ลี้ภัยเสียใหม่ จากเดิมถูกมองว่าเป็น “เหยื่อของความรุนแรง” เป็น “ผู้ที่รอคอยความช่วยเหลือ” ขาดศักยภาพที่จะช่วยเหลือตนเอง มาเป็นการมองว่าผู้ลี้ภัยเป็นผู้ที่มี “ศักยภาพ”ที่จะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ มีส่วนร่วมในการพัฒนาการดำรงชีวิตของตนเอง และเตรียมตัวสำหรับอนาคตของตนเองและครอบครัว โดยนัยนี้ ย่อมหมายถึงการเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัย จากแนวคิด การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (Humanitarianism) ไปสู่แนวคิดการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม (Participatory Development) ...
เมื่อผู้ลี้ภัยมีงานทำสามารถดูแลตัวเองได้ มีรายได้และเสียภาษีเหมือนคนไทย ใช้ทักษะต่างๆมาร่วมกันพัฒนาประเทศของเรา รัฐบาลไทยจัดระบบการอยู่ร่วมกันของคนไทยและต่างชาติอย่างสมดุล อย่างเช่นระบบสาธารณสุขก็สามารถใช้งบประมาณที่ได้จากต่างชาติมาบริหารจัดการระบบให้เพียงพอกับทุกคน ไม่ใช่เป็นระบบที่ไปเบียดบังระบบเดิมซึ่งขาดแคลนอยู่แล้ว เป็นการเพิ่มสิทธิประโยชน์ในกับประชาชนทุกกลุ่มไม่ใช่ลดทอน
เชื่อว่าการตัดสินใจนำแรงงานจากศูนย์พักพิงชั่วคราวออกมาทำงานภายนอกคือก้าวใหม่ของการเรียนรู้ร่วมกันของพวกเราในด้านสิทธิมนุษยชน เหมาะสมแล้วกับประเทศไทย...ประเทศที่คนต่างชาติชื่นชมว่า เป็นประเทศของการยอมรับ การไม่แบ่งแยก และการช่วยเหลือกัน บางทีบางคนอาจเริ่มต้นด้วยอคติแต่ขอเพียงเปิดใจ มาร่วมแก้ปัญหาไปด้วยกันค่ะ ทางการก็เตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ในการลงทะเบียนอย่างรัดกุม ทั้งนี้ก็เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัย และประโยชน์เรื่องแรงงานที่พี่น้องชาวไทยจะได้รับ ขอให้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด 🙏🙏
ด้วยความพยายามของทุกฝ่าย เคารพในกันและกัน.. เชื่อว่า สันติภาพที่แท้จริงจะบังเกิดขึ้นสักวันหนึ่งในแผ่นดินไร้พรมแดน (Borderless land)
ชายแดนที่สงบ คือความมั่นคงของคนทั้งสองประเทศ
ชายแดนจะสงบได้ ไม่ใช่เพราะอาวุธหายไป แต่เพราะความเข้าใจของทั้งสองประเทศเข้ามาแทนที่..
“In a borderless land, humanity is our only passport.”
ในดินแดนไร้พรมแดน ความเป็นมนุษย์คือหนังสือเดินทางเพียงใบเดียวของเรา ❤️❤️
เชิญชวนอ่านบทความวิจัยที่น่าสนใจนี้ค่ะ แล้วจะเข้าใจคนในศูนย์พักพิงชั่วคราวมากขึ้นจริง ๆ
https://lms.nhrc.or.th/Document/Fulltext/F09143.pdf
เครดิตรูปภาพของศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก จากอินเตอร์เนต