THE STATES TIMES EARTH

THE STATES TIMES EARTH 📣Echoes of the Earth : เสียงสะท้อนจากโลกใบเดิม🌏

☝️Click >> งานวิจัยเผย ‘ไมโครพลาสติก’ ที่กระจายอยู่ในธรรมชาติ จะกลายเป็นแหล่งอาศัยของเชื้อโรค-แบคทีเรีย นานวันเข้าจะทำให...
24/03/2025

☝️Click >> งานวิจัยเผย ‘ไมโครพลาสติก’ ที่กระจายอยู่ในธรรมชาติ จะกลายเป็นแหล่งอาศัยของเชื้อโรค-แบคทีเรีย นานวันเข้าจะทำให้เชื้อดื้อยาปฏิชีวนะ
🔎Clear >> ทั่วโลกใช้ ‘พลาสติก’ มากเกินจำเป็น ทำให้เกิดการปนเปื้อนของ ‘ไมโครพลาสติก’ ไปทั่วทั้งระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันไมโครพลาสติกก็เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของ ‘แบคทีเรีย’ จนกลายเป็ นระบบนิเวศบนเม็ดพลาสติกที่เรียกว่า ‘พลาสติกสเฟียร์’ ดูเหมือนว่าหากแบคทีเรียอาศัยอยู่บนพลาสติกนานเข้าอาจทำให้เกิด ‘การดื้อยา’ ได้
งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร Applied and Environmental Microbiology ที่ทำการศึกษาว่า แบคทีเรียมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อสัมผัสกับ ‘ไมโครพลาสติก’ ที่มีความเข้มข้นต่างกัน โดยทำการทดลองด้วยเชื้ออีโคไล (E. coli) แบคทีเรียทั่วไปสามารถทำให้เกิดโรคและทำให้เกิดการติดเชื้อ เช่น อาหารเป็นพิษ
นีลา กรอสส์ นักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยบอสตันและหัวหน้าคณะผู้จัดทำการศึกษาวิจัยกล่าวว่า พลาสติกทำหน้าที่เป็นพื้นผิวที่แบคทีเรียเกาะจนกลายเป็นชุมชน เมื่อแบคทีเรียเกาะอยู่บนพื้นผิวพลาสติกแล้ว พวกมันจะสร้างชั้นป้องกันจากของเสียที่เรียกว่า ‘ไบโอฟิล์ม’ มีลักษณะเป็นของเหลวเหนียว ๆ ช่วยให้แบคทีเรียสามารถดำรงชีวิต เจริญเติบโต และขยายพันธุ์ได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งทำให้แบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะที่อันตรายแพร่พันธุ์มากขึ้น
“ไมโครพลาสติกเปรียบเสมือนแพ แบคทีเรียอาจว่ายน้ำในแม่น้ำไม่ได้ แต่ถ้ามันลอยอยู่ในไบโอฟิล์มบนพลาสติกเพียงเล็กน้อย แบคทีเรียก็จะแพร่กระจายไปในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้” กรอสส์กล่าว
นักวิจัยใช้เวลาเพาะเชื้ออีโคไลบนพลาสติกเป็นเวลา 10 วัน จากนั้นนักวิจัยจึงทดสอบยาปฏิชีวนะทั่วไป 4 ชนิด ได้แก่ แอมพิซิลลิน ซิโปรฟลอกซาซิน ดอกซีไซคลิน และสเตรปโตมัยซิน
เมื่อนำไบโอฟิล์มและไมโครพลาสติกมาผสมกัน พบว่าไบโอฟิล์มของอีโคไลอยู่บนไมโครพลาสติก ไบโอฟิล์มจะเติบโตเร็วขึ้น มีขนาดใหญ่ขึ้น และดื้อต่อยาปฏิชีวนะได้มากกว่าไบโอฟิล์มที่เติบโตบนทรงกลมแก้ว
มียาทั้งสองชนิดไม่สามารถทำอะไรแบคทีเรียได้ เนื่องจากไบโอฟิล์มบนไมโครพลาสติกนั้นมีความแข็งแรงและหนากว่ามาก เมื่อเทียบกับพื้นผิวอื่น ๆ เช่น กระจก เหมือนกับบ้านที่มีฉนวนกันความร้อนจำนวนมาก โดยเฉพาะ ‘พอลิสไตรีน’ ที่มักใช้ผลิตเป็นโฟมส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญที่สุดต่อความต้านทานยาปฏิชีวนะของแบคทีเรีย
“การกำจัดไบโอฟิล์มออกค่อนข้างทำได้ยาก เพราะมันเหนียวมาก มีประสิทธิภาพมากจนสามารถเพิ่มความต้านทานต่อยาปฏิชีวนะได้หลายร้อยถึงหลายพันเท่า และทำให้แบคทีเรียตอบสนองต่อการโจมตีของศัตรู เช่น ยาปฏิชีวนะได้ เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น ปัญหาจะจัดการได้ยากขึ้นมาก” มูฮัมหมัด ซามาน ผู้เขียนงานวิจัยอาวุโส ซึ่งเป็นศาสตราจารย์จากสถาบันการแพทย์ฮาวเวิร์ด ฮิวจ์ส และศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์และสุขภาพระดับโลกที่มหาวิทยาลัยบอสตัน กล่าว
นอกจากนี้ นักวิจัยพบว่าการดื้อยาที่เกิดจากไมโครพลาสติกและยาปฏิชีวนะมักจะมีผลอย่างมีนัยสำคัญ สามารถวัดได้ และคงที่ แม้ว่ายาปฏิชีวนะและไมโครพลาสติกจะถูกกำจัดออกจากแบคทีเรียแล้วก็ตาม นั่นหมายความว่าการสัมผัสกับไมโครพลาสติกอาจเลือกลักษณะทางพันธุกรรมหรือลักษณะทางฟีโนไทป์ที่คงสภาพการดื้อยาของเชื้อจุลินทรีย์ไว้ได้ โดยไม่ขึ้นอยู่กับแรงกดดันจากยาปฏิชีวนะ
การก่อตัวของไบโอฟิล์มซึ่งทราบกันดีว่าช่วยเพิ่มการอยู่รอดของแบคทีเรียและการดื้อยา ถือเป็นกลไกสำคัญ ผลงานวิจัยนี้จึงเน้นย้ำถึงความจำเป็นอย่างเร่งด่วนในการจัดการกับมลภาวะจากไมโครพลาสติกในความพยายามลดการดื้อยาในจุลินทรีย์
​​“ไมโครพลาสติกเพิ่มความเสี่ยงที่ยาปฏิชีวนะจะไม่มีประสิทธิภาพต่อการติดเชื้อที่มีผลกระทบสูงหลากหลายชนิดอย่างมาก ดังนั้นการแก้ไขปัญหามลภาวะจากพลาสติกไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาสำคัญด้านสาธารณสุขในการต่อสู้กับการติดเชื้อดื้อยา” กรอสส์ หัวหน้าคณะผู้ทำการศึกษากล่าว
องค์การอนามัยโลก (WHO) ถือว่าการดื้อยา (AMR) เป็นหนึ่งในภัยคุกคามด้านสาธารณสุขที่สำคัญที่สุดของโลก เพราะการดื้อยาทำให้รักษาโรคจากแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และปรสิตได้ยากขึ้น ซึ่งคุกคามสุขภาพของมนุษย์ สัตว์ และพืช ในปี 2020 ทั่วยุโรปมีผู้ป่วยเกิดการติดเชื้อดื้อยามากกว่า 865,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 35,000 ราย
ซามานกล่าวว่า “มีไมโครพลาสติกอยู่รอบตัวเรา และยิ่งมีมากขึ้นในพื้นที่ยากจนและไม่มีสุขอนามัย ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงสูงที่จะดื้อยาในชุมชนแออัด เป็นการเน้นย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นในการเฝ้าระวังและข้อมูลเชิงลึกที่มากขึ้นเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ระหว่าง ไมโครพลาสติกและแบคทีเรีย
งานวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าประชากรที่อพยพหรือลี้ภัยมาอยู่ในค่ายลี้ภัยที่แออัดและมีระบบสาธารณสุขที่ไม่ดี มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการสัมผัสกับเชื้อดื้อยา
ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้มีการวิจัยในหัวข้อนี้เพิ่มเติม เนื่องจากการศึกษานี้ดำเนินการในสภาพแวดล้อมในห้องแล็บที่ควบคุม โดยซิลปา โชคซี ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยพลีมัธในสหราชอาณาจักร กล่าวว่า “การศึกษานี้ศึกษาในห้องแล็บ โดยใช้เชื้ออีโคไลและยาปฏิชีวนะ 4 ชนิดภายใต้สภาพแวดล้อมที่ควบคุม ซึ่งไม่สามารถจำลองความซับซ้อนในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างสมบูรณ์ จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อประเมินว่าผลกระทบเหล่านี้ส่งผลต่อการติดเชื้อในมนุษย์หรือสภาพแวดล้อมหรือไม่”
โดยปรกติแล้วงานวิจัยเกี่ยวกับการดื้อยาที่เกิดจากยาปฏิชีวนะเป็นหลัก มักไม่พิจารณาบทบาทของมลพิษในสิ่งแวดล้อม เช่น ไมโครพลาสติก ขณะเดียวกันการศึกษาไมโครพลาสติกส่วนใหญ่พิจารณาที่ปัจจัยการดื้อยา เช่น ยีนที่ดื้อยา (ARG) และไบโอฟิล์ม ไม่ใช่อัตราหรือขนาดของ AMR ผ่านความเข้มข้นต่ำสุดที่ยับยั้งยาปฏิชีวนะชนิดต่าง ๆ
ที่มา: CNN / Euro News / Scitech Daily / The Hill / Bangkokbiznews
👀ติดตามคอนเทนต์ดีๆ ของ THE STATES TIMES EARTH เพิ่มเติมได้ที่
📌TIKTOK: https://www.tiktok.com/
📌Youtube: https://youtube.com/
📌Blockdit: https://www.blockdit.com/thestatestimesearth


#ไมโครพลาสติก
#เชื้อโรค
#ดื้อยา
#ยาปฏิชีวนะ

☝️Click >> ‘วว.’ เดินหน้าพัฒนา ‘เทคโนโลยีผลิตถ่านคาร์บอนจากของเหลือทิ้งกาแฟ’ ช่วยสร้างอาชีพ เสริมพลังงานทดแทน ลดก๊าซเรือ...
23/03/2025

☝️Click >> ‘วว.’ เดินหน้าพัฒนา ‘เทคโนโลยีผลิตถ่านคาร์บอนจากของเหลือทิ้งกาแฟ’ ช่วยสร้างอาชีพ เสริมพลังงานทดแทน ลดก๊าซเรือนกระจก
🔎Clear >> ทราบหรือไม่ว่า เบื้องหลังความเข้มหอมของกาแฟ ยังมีอีกด้านหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้าม นั่นคือของเหลือทิ้งมหาศาลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตและแปรรูปกาแฟ ตั้งแต่การปลูก, การเก็บเกี่ยว, การแปรรูป ไปจนถึงหลังการบริโภค ที่ทำให้เกิดกระบวนของเหลือทิ้งผ่านเปลือกกาแฟเชอรี่, เนื้อเชอรี่, กะลากาแฟ และกากกาแฟ ล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาที่ยังคงท้าทายต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ‘กะลากาแฟ’ ที่ย่อยสลายยาก ซึ่งจะใช้เวลานานกว่า 10 ปี ก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางดินและน้ำ ส่วนเนื้อเชอรี่ที่เน่าเสียง่าย จะส่งกลิ่นเหม็น ก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางน้ำอีกด้วย
จากโจทย์ปัญหาดังกล่าว กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมหุ่นยนต์และเครื่องจักรกลอัตโนมัติ (ศนย.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) จึงได้วิจัยและพัฒนา ‘เทคโนโลยีผลิตถ่านคาร์บอนจากของเหลือทิ้งกาแฟ’ เพื่อนำของเหลือทิ้งมาใช้ประโยชน์ แทนที่จะปล่อยให้เป็นภาระต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน โดยเฉพาะกะลากาแฟซึ่งมีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการแปรรูปเป็นถ่านคาร์บอน มีคุณสมบัติ ให้ความร้อนสูง ติดไฟง่าย เผาไหม้ได้นาน ไม่แตกปะทุและไม่มีควัน
การผลิตถ่านคาร์บอนจากของเหลือทิ้งแปรรูปกาแฟดังกล่าว มุ่งเน้นนำของเหลือทิ้ง เช่น เปลือกกะลากาแฟ และเปลือกกาแฟเชอรี่ มาใช้เป็นวัตถุดิบหลัก โดยการออกแบบ พร้อมจำลองสถานการณ์ (Simulation) การเผาไหม้ผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ รวมทั้งทดสอบการกระจายตัวของความเร็วอากาศภายในเตาเผา เพื่อสร้างเตาเผาถ่านคาร์บอนต้นแบบซึ่งมีรูปทรงที่เหมาะสมในการเพิ่มและควบคุมกระบวนการเผาไหม้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ยังพัฒนาสูตรผสมและกระบวนการอัดขึ้นรูป เพื่อผลิตถ่านอัดแท่งที่มีคุณภาพสูง ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสร้างรายได้เสริมให้กับชุมชน
โดย วว. ดำเนินการวิจัยและพัฒนา ‘เทคโนโลยีผลิตถ่านคาร์บอนจากของเหลือทิ้งกาแฟ’ ดังนี้…
1. ศึกษาและสำรวจข้อมูล เริ่มต้นด้วยการสำรวจปริมาณของเหลือทิ้ง เช่น กะลากาแฟ และกะลากาแฟผสมเนื้อเชอรี่ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต
2. ออกแบบเตาเผาและจำลองสถานการณ์ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อจำลองทิศทางและความเร็วของอากาศในเตาเผา โดยเปรียบเทียบการกระจายตัวของความเร็วอากาศสองรูปแบบ เพื่อหาค่ารูปแบบอุณหภูมิที่เหมาะสม
3. ทดสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพ โดยทดสอบประสิทธิภาพทั้งเตาเผา เครื่องบดผสม และเครื่องอัดถ่านคาร์บอน เพื่อให้มั่นใจในคุณภาพและประสิทธิภาพของกระบวนการ รวมทั้งปรับปรุงตามผลการทดสอบเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ตรงตามมาตรฐาน
4. ถ่ายทอดเทคโนโลยี ถ่ายทอดความรู้และทักษะการผลิตถ่านคาร์บอนให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มมูลค่าจากของเหลือทิ้งและสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนอย่างยั่งยืน
สำหรับ ‘เทคโนโลยีผลิตถ่านคาร์บอนจากของเหลือทิ้งกาแฟ’ ประกอบด้วย…
1.ต้นแบบเตาเผาถ่าน ที่มีประสิทธิภาพในการแปรรูปวัสดุเหลือทิ้ง เช่น กะลากาแฟและ กะลากาแฟผสมเนื้อเชอรี่ ให้กลายเป็นถ่านอัดแท่งที่มีคุณภาพสูง
2.ช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม ถ่านคาร์บอนที่ผลิตได้สามารถใช้เป็นพลังงานทดแทน ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและไม้ฟืน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งยังช่วยจัดการของเสียจากการแปรรูปกาแฟอย่างยั่งยืนในชุมชน
ทั้งนี้ เตาเผาถ่านคาร์บอน สามารถผลิตถ่านคาร์บอนสูงสุดได้ 15 กิโลกรัมต่อการเผา 1 ครั้ง โดยเวลาเฉลี่ยในการเผาต่อเตาอยู่ที่ 1 ชั่วโมง ซึ่งนอกเหนือจากการออกแบบและสร้างต้นแบบเตาเผาถ่านคาร์บอนแล้ว ยังมีการพัฒนาเครื่องบดผสมและเครื่องอัดถ่านจากวัสดุเหลือทิ้ง ทำให้การใช้งานตอบโจทย์ได้ครบวงจรอีกด้วย
จากที่กล่าวมาทั้งหมด วว. ได้นำร่องถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตถ่านคาร์บอนให้กับชุมชนที่เป็นผู้ปลูกและแปรรูปกาแฟในพื้นที่ภาคเหนือ เช่น วิสาหกิจชุมชนกาแฟดอยหลวง จังหวัดเชียงราย (มีกำลังการผลิตกาแฟเฉลี่ย 500 ตัน/ปี) และกาแฟเทพเสด็จ จังหวัดเชียงใหม่ (มีกำลังการผลิตกาแฟเฉลี่ย 300 ตัน/ปี) โดยทั้งสองชุมชนมีปริมาณของเหลือทิ้งเฉลี่ย 160 ตัน/ปี เพื่อนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงทดแทนในท้องถิ่น สร้างอาชีพและรายได้ใหม่ให้กับชุมชน ซึ่งเป็นการเสริมสร้างเศรษฐกิจในชุมชนอย่างยั่งยืน
โดยทั้งสองกลุ่มวิสาหกิจชุมชนดังกล่าว ได้รับประโยชน์จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตถ่านคาร์บอนโดยตรง ทำให้สามารถนำของเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตกาแฟมาสร้างมูลค่าเพิ่มได้ ช่วยสร้างอาชีพเสริมและรายได้ที่มั่นคง ลดปัญหาการสะสมของของเสียและลดค่าใช้จ่ายในการกำจัดขยะ รวมทั้งลดการใช้ไม้ฟืนและแก๊สหุงต้มในชุมชน ลดการตัดไม้และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ปัจจุบัน วว. ได้ยื่นจดอนุสิทธิบัตรการออกแบบเตาเผาถ่านคาร์บอนจากกะลากาแฟแล้ว รวมทั้งได้ทำการทดสอบและปรับปรุงอุปกรณ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตถ่านคุณภาพสูงที่สอดคล้องกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) โดยในอนาคต วว. มุ่งขยายผลการดำเนินงานนี้ซึ่งมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นแหล่งพลังงานทดแทนในชุมชนต่างๆ ของประเทศให้ยั่งยืนต่อไป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและรับบริการจาก ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมหุ่นยนต์และเครื่องจักรกลอัตโนมัติ วว. ติดต่อได้ที่ Call Center โทร. 02-577-9000 หรือที่ระบบบริการลูกค้า ‘วว. JUMP’
ที่มา: เทคโนโลยีชาวบ้าน
👀ติดตามคอนเทนต์ดีๆ ของ THE STATES TIMES EARTH เพิ่มเติมได้ที่
📌TIKTOK: https://www.tiktok.com/
📌Youtube: https://youtube.com/
📌Blockdit: https://www.blockdit.com/thestatestimesearth


#กากกาแฟ
#ถ่านคาร์บอน
#พลังงานทดแทน
#ลดก๊าซเรือนกระจก
#สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย

📢>> มณฑลซินเจียงอุยกูร์ (Xinjiang Uyghur) เขตปกครองตนเองที่ใหญ่ที่สุดทางฝั่งชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ครอบคลุมพื้นที...
23/03/2025

📢>> มณฑลซินเจียงอุยกูร์ (Xinjiang Uyghur) เขตปกครองตนเองที่ใหญ่ที่สุดทางฝั่งชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1.6 ล้านตร.กม. เป็นดินแดนแห่งความหลากหลาย ทั้งภูมิประเทศแบบทุ่งหญ้าที่รายล้อมไปด้วยแนวเทือกเขาหิมะสูงใหญ่ และยังเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมโบราณ ทำให้ซินเจียงกลายเป็นที่หลอมรวมหลายวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน ทั้งจีน ตะวันออกกลาง และยุโรป เป็นดินแดนที่มีเสน่ห์แห่งธรรมชาติและจิตวิญญาณของผู้คน
สำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจก็มีหลากหลาย ขอบอกเลยว่า ใครชอบเที่ยวเที่ยวเชิงธรรมชาติ ต้องติดใจซินเจียงแน่นอน
แหล่งท่องเที่ยวในซินเจียงตอนเหนือ (North Xinjiang)
1. อุรุมชี (Urumqi) เมืองหลวงของมณฑลซินเจียง ที่ผสมผสานระหว่างความโบราณและความทันสมัย มีทั้งเขตเมืองเก่าที่ยังคงอนุรักษ์สถาปัตยกรรมโบราณและวัฒนธรรมการแต่งกายแบบชาวมุสลิมอุยกูร์ที่ได้รับอิทธิพลมาจากตะวันออกกลางไว้อย่างสมบูรณ์ และเขตเมืองใหม่ในย่าน Urumqi People's Park ที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องทันสมัย มีร้านค้า ร้านอาหาร
รวมถึงโรงแรมมากมาย มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่ง เช่น หอเจดีย์แดงบนยอดเขา Hongshan Mountain พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ Xinjiang Regional Museum และตลาด Urumqi Grand Bazaar เป็นต้น
เทศกาลฉลองปีใหม่ในอุรุมชี ถือเป็นหนึ่งในการฉลองที่มีเอกลักษณ์มากที่สุดในจีน จะจัดขึ้นบริเวณ Urumqi People's Park มีการตกแต่งแสงไฟ โชว์จากชาวพื้นเมือง และผู้คนหลากหลายเชื้อชาติที่สวมเครื่องแต่งกายประจำชนเผ่า ออกมาร่วมฉลองในขบวนพาเหรดกันอย่างคึกคัก ทั้งชาวจีนฮั่นในชุดฮั่นฝู (Hanfu) ชาวคีร์กีซในชุดคาลปัก (Kalpak) ชาวมองโกลในชุดเดล (Deel) และชาวอุยกูร์ในชุดชาปัน (Chapan) หรือชุดอาตลัส (Uyghur Atlas Dress)
2. ทะเลสาบเทียนฉือ (Tianchi Lake) แลนด์มาร์กทางธรรมชาติที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก UNESCO ได้รับฉายาว่า ‘ทะเลสาบสวรรค์’ ซ่อนตัวอยู่ในอ้อมกอดของเทือกเขาเทียนซาน (Tian Shan Mountains) บนความสูง 1,900 ม. เหนือระดับน้ำทะเล น้ำในทะเลสาบใสสะอาดราวกับคริสตัล ซึ่งไหลลงมาจากการละลายของหิมะบนยอดเขาป๋อเก๋อต๋า (Bogeda Peak) ความสูง 5,445 ม. ตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง งดงามสะกดสายตา
ชาวจีนเชื่อกันว่าน้ำในทะเลสาบเทียนฉือ เป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากมีตำนานเล่าขานกันว่าครั้งหนึ่งองค์เจ้าแม่ไซอ่วงบ๊อหรือซีหวังหมู่ หนึ่งในเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ของจีน เคยเสด็จมาสรงน้ำชำระพระวรกายที่ทะเลสาบแห่งนี้
เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน 10.00 น.-18.00 น.
ค่าเข้า : 45 CNY/ท่าน
วิธีการเดินทาง : ทะเลสาบเทียนฉือตั้งอยู่ห่างจาก อุรุมชี ประมาณ 120 กม. สามารถนั่งรสบัสนำเที่ยวจาก Urumqi Long-Distance Bus Station เดินทางไปยัง ทะเลสาบเทียนฉือ โดยตรง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. 30 นาที
3. เมืองโบราณถูหลู่ฟาน (Turpan Ancient City) อัญมณีทางประวัติศาสตร์บนเส้นทางสายไหมโบราณที่มีอายุนับพันปี มีซากเมืองโบราณเจียวเหอ (Jiaohe Ruins) ระบบชลประทานใต้ดินอันชาญฉลาดที่จำลองมาจากระบบคาเรซ (Turpan Water System) และมัสยิดเอมิน (Id Kah Mosque) อันงดงาม นอกจากนี้ยังมีชื่อเสียงด้านการปลูกองุ่นไร้เมล็ดที่เติบโตได้ดีในสภาพอากาศแห้งและร้อนอีกด้วย การได้มาเยือนเมืองโบราณแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนการได้มาศึกษาอารยธรรมโบราณ
เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน 9.00 น.-20.00 น.
ค่าเข้า : 100 CNY/ท่าน (รวมค่ารถโดยสาร)
วิธีการเดินทาง : เมืองโบราณถูหลู่ฟาน ตั้งอยู่ห่างจาก อุรุมชี ประมาณ 194 กม. สามารถนั่งรถไฟจาก Urumqi South Railway Station ไปยังสถานี Turpan North Railway Station ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. 30 นาที จากนั้นใช้บริการรถโดยสารประจำทางต่อไปยัง เมืองโบราณถูหลู่ฟาน ใช้เวลาอีกราว 20 นาที
4. อุทยานทุ่งหญ้านาลาติ (Nalati Grassland) แหล่งท่องเที่ยวระดับ 5A ตั้งอยู่ในเขตหุบเขาอีลี่ (Ili Valley) ล้อมรอบด้วยภูเขาและแม่น้ำ โดยคำว่า ‘นาลาติ’ ในภาษามองโกลมีความหมายว่า ‘ทุ่งหญ้าแห่งการโบยบิน’ สะท้อนให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี ในฤดูหนาวผืนหญ้าทั้งหมดจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ สร้างภาพจำที่ดูเงียบสงบและน่าค้นหา สามารถสนุกกับกิจกรรมฤดูหนาวมากมาย เช่น การเล่นสกี การขี่ม้าสำรวจเส้นทางธรรมชาติ หรือการถ่ายภาพทิวทัศน์อันงดงามของภูเขาและแม่น้ำที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง มีเทศกาลฤดูหนาว การประกวดแกะสลักน้ำแข็งและการแสดงวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยจะจัดขึ้นในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. ของทุกปี
เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน 8.30 น.-20.00 น.
ค่าเข้า : (เม.ย. - พ.ค. / ต.ค. - พ.ย) 75 CNY/ท่าน (มิ.ย. - ก.ย. / ธ.ค. - มี.ค.) 95 CNY/ท่าน
วิธีการเดินทาง : อุทยานทุ่งหญ้านาลาติ ตั้งอยู่ห่างจาก อุรุมชี ประมาณ 470 กม. สามารถนั่งรถไฟจาก Urumqi Railway Station ไปลงที่สถานี Yining Railway Station ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชม. จากนั้นใช้บริการรถโดยสารประจำทางต่อไปยังเมือง Xinyuan และ อุทยานทุ่งหญ้านาลาติ ใช้เวลาอีกราว 3 ชม.
5. ทุ่งหญ้าคาลาจุน (Kalajun Grassland) หนึ่งในอุทยานที่ใหญ่และสวยงามที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในเขตหุบเขาอีลี่ (Ili Valley) โดดเด่นด้วยทัศนียภาพอันกว้างใหญ่ของผืนหญ้าสีเขียวขจีที่สอดแทรกไปด้วยดอกไม้ป่านานาพันธุ์ ในฤดูหนาวทุ่งหญ้าแห่งนี้จะเปลี่ยนโฉมเป็นทุ่งหิมะขาวโพลนกว้างสุดลูกหูลูกตา โดยมีเทือกเขาเทียนซานที่ปกคลุมด้วยหิมะเป็นฉากหลัง มีกิจกรรม เช่น การนั่งรถลากเลื่อนหิมะ หรือขี่ม้าชมวิวธรรมชาติ เยือนชุมชนชาวคาซัคที่อาศัยอยู่ในกระโจมแบบดั้งเดิม (Yurt) ทั่วบริเวณในเขตอุทยานทุ่งหญ้าแห่งนี้
เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน 8.30 น.-20.00 น.
ค่าเข้า : 140 CNY/ท่าน (ค่ารถนำเที่ยว 70 CNY)
วิธีการเดินทาง : วิธีเดินทางที่สะดวกที่สุดคือ การนั่งเครื่องบินภายในประเทศจาก Urumqi Diwopu International Airport ไปยัง Tacheng Qianquan Airport ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. 30 นาที จากนั้นใช้บริการรถโดยสารประจำทางต่อไปยังทุ่งหญ้าคาลาจุน ใช้เวลาอีกราว 1 ชม.
6. แกรนด์แคนยอนเทียนซาน (Tianshan Great Canyon) หรือที่เรียกกันว่า ‘Kizilia Grand Canyon’ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Urumqi Tianshan Grand Canyon ภูเขาเทียนซา มีลักษณะเป็นแนวหุบเขาที่ถูกกัดเซาะมานานกว่า 400 ล้านปี จนมีรูปทรงเว้าแหว่งขนาดใหญ่คล้าย Grand Canyon ถือเป็นจุดชมวิวระดับ 5A ที่ไม่ควรพลาด มีจุดท่องเที่ยวสวยงามหลายแห่ง เช่น พื้นที่สันทนาการ Tianshanba จุดชมวิวทะเลสาบ Swan Lake และทุ่งหญ้า Baili Golden Tourism Corridor
เวลาเปิด-ปิด : ทุกวัน 8.00 น.-17.00 น.
ค่าเข้า : 60 CNY/ท่าน (ค่ารถนำเที่ยว 50 CNY)
วิธีการเดินทาง : แกรนด์แคนยอนเทียนซาน ตั้งอยู่ห่างจาก อุรุมชี ประมาณ 785 กม. สามารถนั่งรถไฟจาก Urumqi Railway Station ไปลงที่สถานี Kuqa Railway Station ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชม. จากนั้นใช้บริการรถโดยสารประจำทางต่อไปยัง แกรนด์แคนยอนเทียนซาน ใช้เวลาอีกราว 1 ชม.
7. ทะเลสาบคาน่าซือ (Kanas Lake) ทะเลสาบน้ำจืดที่ลึกเป็นอันดับ 3 ของจีน ราว 188.5 ม. เทียบเท่าตึกสูง 50 ชั้น ถูกยกให้เป็นหนึ่งในทะเลสาบที่สวยที่สุดในจีน ตั้งอยู่ท่ามกลางวงโอบล้อมของเทือกเขาอัลไต ติดกับพรมแดนจีน-มองโกเลีย คำว่า ‘คานาส’ ในภาษามองโกล มีความหมายว่า ‘ทะเลสาบอันวิจิตรและน่าพิศวง’ มีที่มาจากจุดเด่นคือ สีของน้ำที่จะแปรเปลี่ยนไปตามท้องฟ้าในแต่ละฤดูกาล โดยในวันที่ท้องฟ้าสดใส น้ำในทะเลสาบจะสะท้อนออกมาเป็นสีเขียวเข้ม ในวันที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝน น้ำในทะเลสาบจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเทาหรือสีขาวงาช้างอมเขียว และในช่วงฤดูหนาวผืนน้ำจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน สวยงามราวกับดินแดนน้ำแข็งในเทพนิยาย

เวลาเปิด-ปิด : จันทร์ - ศุกร์ 9.00 น.-19.00 น. / เสาร์-อาทิตย์ 9.00 น.-15.00 น.
ค่าเข้า : 230 CNY/ท่าน
วิธีการเดินทาง : วิธีเดินทางที่สะดวกที่สุดคือ การนั่งเครื่องบินภายในประเทศจาก Urumqi Diwopu International Airport ไปยัง Burqin Kanas Airport ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม. จากนั้นใช้บริการรถโดยสารประจำทางต่อไปยัง Kanas Nature Reserve ใช้เวลาอีกราว 1 ชม.

8. หมู่บ้านเหอมู่ (Hemu Village) ชุมชนขนาดเล็กที่มีประชากรอาศัยอยู่เพียงไม่กี่ร้อยครัวเรือน เป็นหมู่บ้านของชาวพื้นเมืองถูหว่า (Tuva) ชนกลุ่มน้อยเร่รอนที่แยกตัวออกมาจากชนเผ่ามองโกล ตั้งอยู่ในเขตป่าเขาลึกของ Kanas Nature Reserve บริเวณเชิงเขาอัลไตทางตอนเหนือของ Urumqi ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 6 หมู่บ้านโบราณที่สวยงามที่สุดในจีน โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ด้วยภูมิทัศน์ที่ล้อมรอบด้วยภูเขาหิมะสูงและป่าไม้ที่แผ่กระจายอยู่ทั่วบริเวณ นักท่องเที่ยวควรสอบถามเจ้าหน้าที่หรือไกด์นำทางก่อนเดินทางไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ในเขตอุทยาน เพราะพื้นที่บางส่วนนั้นไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าเยี่ยมชม เนื่องจากอาจเป็นพื้นที่ทางการทหาร พื้นที่ชายแดน และพื้นที่พิพาท
ค่าเข้า : 60 CNY/ท่าน
วิธีการเดินทาง : จาก Kanas Nature Reserve สามารถใช้บริการ Shuttle Bus เดินทางเชื่อมต่อระหว่างทะเลสาบคาน่าซือ และหมู่บ้านเหอมู่ ได้อย่างสะดวก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม.
แหล่งท่องเที่ยวในซินเจียงตอนใต้ (South Xinjiang)
9. คัชการ์ (Kashgar) หรือที่ในภาษาจีนเรียกว่า ‘คาสือ’ เมืองที่ใหญ่ที่สุดทางตอนใต้ของซินเจียง ขึ้นชื่อลือนามในฐานะต้นกำเนิดการร้องเพลงและการเต้นรำแห่งภาคตะวันตกของจีน โดดเด่นด้วยวัฒนธรรมของชนเผ่าอุยกูร์ คัชการ์ เป็นเมืองเก่าแห่งแรกในซินเจียงที่มีประวัติยาวนานกว่า 2,100 ปี มีกลุ่มอาคารสถาปัตยกรรมดินขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน
บรรยากาศภายในเมืองเต็มไปด้วยเสน่ห์ของผู้คนที่ยังคงใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เงียบสงบ ไม่วุ่นวาย ราวกับได้ย้อนเวลากลับไปในช่วงเวลาอันรุ่งเรืองในอดีต ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญบนเส้นทางสายไหม ที่เชื่อมระหว่างจีน ตะวันออกกลาง และยุโรป จนกลายเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมและอารยธรรมที่สำคัญที่สุดในซินเจียงใต้ คัชการ์ ยังเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทาง Road Trip ยอดนิยม ที่จะออกเดินทางไปจนถึงเมือง Islamabad ใน Pakistan ผ่านทางหลวง Karakoram Highway ระยะทางกว่า 1,300 กม. ที่จะเปิดให้ใช้งานเฉพาะเดือน ธ.ค.-เม.ย. เท่านั้น
10. ทะเลสาบไป๋ซาหู (Baisha Lake) เจ้าของฉายา ‘ทะเลสาบทรายขาว’ จุดหมายไฮไลต์ของซินเจียงใต้ ตั้งอยู่ในเขต Kizilsu Kirghiz Autonomous Prefecture บริเวณริมทางด่วนที่เชื่อมต่อไปยัง Karakoram Highway ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลทรายทากลามากัน มีความพิเศษคือภูมิทัศน์รอบข้างที่โอบล้อมไปด้วยเนินทรายสีขาวขนาดใหญ่ตัดกับสีฟ้าใสของผืนน้ำ มีกิจกรรมมากมาย ทั้งเดินเทรลไปยังจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ขับรถ ATV ตะลุยเนินทราย หรือเช็กอินถ่ายรูปคู่กับป้ายถนนบนทางด่วนที่มีทิวทัศน์สุดตระการตาของทะเลสาบไป๋ซาหูเป็นพื้นหลัง
11. ทะเลสาบคาราคูล (Karakul Lake) หรือที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงปาร์มี (Pamir Plateau) ส่วนหนึ่งของเทือกเขาปาร์มีที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งเป็นจุดบรรจบกันของเทือกเขาหิมาลัย เทือกเขาเทียนชาน เทือกเขาการาโกรัม เทือกเขาคุนหลุน เทือกเขาฮินดูกูช และเทือกเขาฮินดูราช โดดเด่นด้วยผืนน้ำใสสะอาดที่สะท้อนภาพของภูเขาหิมะ Muztagh Ata ที่สูงถึง 7,719 ม. ได้อย่างชัดเจนราวกับกระจกบานใหญ่ พร้อมกิจกรรมการเดินสำรวจเส้นทางเลียบทะเลสาบ ขี่ม้าและขี่จามรีชมวิวรอบทะเลสาบ บริเวณรอบ ๆ ยังเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวคีร์กีซที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวที่แวะไปเยือนอย่างเป็นมิตร
12. ทะเลทรายทากลามากัน (Taklamakan Desert) มีขนาดกว้างใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ครอบคลุมพื้นที่ 337,000 ตร.กม. เต็มไปด้วยทัศนียภาพของเนินทรายสีทองทอดยาวสุดลูกหูลูกตา นักท่องเที่ยวสามารถเลือกกิจกรรมสำรวจได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น การขี่อูฐ นั่งรถลากเลื่อน ขับรถ 4x4 ชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่งดงาม สำรวจโอเอซิสโบราณใจกลางทะเลทรายอย่างเมืองนิยา (Niya) และพักแรมในแคมป์กลางทะเลทราย เพลิดเพลินจนแทบลืมเวลา สมกับความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังชื่อ ‘ทากลามากัน’ ที่แปลว่า ‘เข้าแล้วออกไม่ได้’ นั่นเอง
ที่มา: KTC Travel Guide 2025
👀ติดตามคอนเทนต์ดีๆ ของ THE STATES TIMES EARTH เพิ่มเติมได้ที่
📌TIKTOK: https://www.tiktok.com/
📌Youtube: https://youtube.com/
📌Blockdit: https://www.blockdit.com/thestatestimesearth


#ท่องเที่ยว
#ซินเจียง
#จีน
#อุยกูร์
#ประเทศจีน

📢>> ศาสตราจารย์สตีเฟน ฮอว์คิง นักฟิสิกส์ผู้เป็นอัจฉริยะร่วมสมัยที่ได้รับการยกย่องจากทั่วโลก เสียชีวิตลงอย่างสงบด้วยวัย 7...
23/03/2025

📢>> ศาสตราจารย์สตีเฟน ฮอว์คิง นักฟิสิกส์ผู้เป็นอัจฉริยะร่วมสมัยที่ได้รับการยกย่องจากทั่วโลก เสียชีวิตลงอย่างสงบด้วยวัย 76 ปี ที่บ้านพักใกล้มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในสหราชอาณาจักร หลังต้องต่อสู้กับโรคเซลล์ประสาทนำคำสั่งเสื่อม (Motor Neurone Disease-MND ) หรือโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงมาเกือบชั่วชีวิต
ศ.ฮอว์คิง คือชายที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ขัน เป็นทูตสัมพันธไมตรีของวงการวิทยาศาสตร์ที่ผู้คนนิยมชมชอบ ทั้งเอาใจใส่สม่ำเสมอในเรื่องเปิดให้สาธารณชนสามารถเข้าถึงและศึกษาผลงานของเขาได้ตลอดเวลา หนังสือ ‘ประวัติย่อของกาลเวลา’ (A Brief History of Time) ของ ศ.ฮอว์คิง เป็นหนึ่งในงานเขียนที่ได้ขึ้นแท่นขายดีอันดับหนึ่ง อย่างที่ไม่มีผู้ใดเคยคาดคิดมาก่อน
นายสตีเฟน วิลเลียม ฮอว์คิง เกิดที่เมืองอ็อกซ์ฟอร์ดของสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 8 มกราคม ปี 1942 หลังจากที่พ่อของเขาซึ่งเป็นนักวิจัยด้านชีววิทยาได้ย้ายออกจากบ้านเดิมที่กรุงลอนดอนมายังอ็อกซ์ฟอร์ด เพื่อหนีการทิ้งระเบิดโจมตีของกองทัพเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
แต่เมื่ออายุได้ 22 ปี แพทย์ตรวจพบว่าเขามีอาการของโรคเซลล์ประสาทนำคำสั่งเสื่อมชนิดหนึ่ง ซึ่งต่อมาทำให้เขาเป็นอัมพาตเกือบทั้งตัว และต้องใช้รถเข็นวีลแชร์ตลอดชีวิต แม้แพทย์จะบอกกับ ศ.ฮอว์คิง ในปี 1964 ขณะที่กำลังเตรียมเข้าพิธีแต่งงานกับเจน ฮอว์คิง ภรรยาคนแรกว่า เขาจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 2-3 ปีเท่านั้น แต่ในภายหลังปรากฏว่าเขามีอาการทรุดลงช้ากว่าที่คาดมาก
ในปี 1998 เขาเขียนหนังสือ ‘ประวัติย่อของกาลเวลา’ เสร็จสมบูรณ์ แม้ในขณะนั้นจะขยับตัวไม่ได้แล้ว และต้องพูดผ่านอุปกรณ์สังเคราะห์เสียงหลังเข้ารับการผ่าตัดเจาะคอ
ทั้งนี้ ‘ประวัติย่อของกาลเวลา’ ซึ่งอธิบายเรื่องจักรวาลวิทยาให้คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้นั้น ขายดิบขายดีกว่า 10 ล้านเล่มและสร้างชื่อเสียงให้กับ ศ.ฮอว์คิง อย่างมาก อย่างไรก็ตาม เขารู้ดีถึงฉายาของหนังสือเล่มนี้ว่าเป็น ‘หนังสือยอดนิยมที่ไม่มีคนอ่าน’ เพราะมีน้อยคนที่ซื้อหนังสือไปแล้วจะลงมืออ่านอย่างจริงจังหรืออ่านได้จนจบ
ศ.ฮอว์คิงเป็นผู้ค้นพบปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘การแผ่รังสีฮอว์คิง’ (Hawking Radiation) ซึ่งหมายถึงการที่หลุมดำเกิดการรั่วไหลของพลังงานจนค่อย ๆ ระเหยหมดไปได้ในที่สุด โดยการค้นพบนี้และข้อเสนอทางจักรวาลวิทยาของเขาที่รวมเอาทฤษฎีสัมพัทธภาพและหลักกลศาสตร์ควอนตัมเข้าด้วยกัน ทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียง โดยผู้คนต่างทึ่งกับวิสัยทัศน์ของ ศ.ฮอว์คิง ในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ โดยไม่ต้องคำนวณหรือทดลองแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม หลายคนมองว่า ‘ทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง’ (Theory of everything ) หรือแนวคิดที่ ศ.ฮอว์คิง เสนอว่าจักรวาลมีวิวัฒนาการมาตามกฎเกณฑ์ที่แน่นอนชุดหนึ่ง เป็นแนวคิดที่ดึงดูดความสนใจของคนทั่วไปมากที่สุด
"กฎเกณฑ์ที่สมบูรณ์ชุดนี้สามารถให้คำตอบกับเราได้ในคำถามที่ว่า จักรวาลถือกำเนิดขึ้นอย่างไร? กำลังจะไปในทิศทางไหน? และจะมีจุดจบหรือไม่ ? อย่างไร? ถ้าเราพบคำตอบในเรื่องเหล่านี้ เราก็จะล่วงรู้ถึงจิตใจของพระเจ้า" ศ.ฮอว์คิงกล่าว
แม้ร่างกายจะอยู่ในสภาพย่ำแย่ แต่ ศ.ฮอว์กิง ยังคงมุ่งมั่นทำงานศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ต่อไป ในตำแหน่งศาสตราจารย์ลูคาเซียนประจำสาขาวิชาคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และในปี 2001 เขาได้ออกหนังสือขายดีเป็นเล่มที่สองคือ The Universe in a Nutshell หรือในชื่อไทยว่า ‘จักรวาลในเปลือกนัท’
ในปี 2007 ศ.ฮอว์คิง ได้เป็นผู้ป่วยอัมพาตทั้งแขนและขาคนแรกที่ได้สัมผัสประสบการณ์ภาวะไร้น้ำหนัก บนเครื่องบินที่ออกแบบมาเพื่อสร้างสภาพไร้แรงโน้มถ่วงขึ้นบนโลกโดยเฉพาะ เขาบอกว่าเข้าร่วมเที่ยวบินดังกล่าวเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนหันมาให้ความสนใจกับการเดินทางในอวกาศมากขึ้น
"ผมเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกกำลังเผชิญความเสี่ยงที่จะถูกกวาดล้างจนสูญพันธุ์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจากหายนะ เช่น สงครามนิวเคลียร์ หรือจากไวรัสที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรม มนุษยชาตินั้นไร้อนาคตหากเราไม่ออกไปสู่ห้วงอวกาศ"
"การสันนิษฐานว่ามีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอยู่ ณ ที่ไหนสักแห่งของจักรวาลนั้น เป็นเรื่องที่มีเหตุผลอย่างยิ่ง แต่ควรต้องระวังไว้ด้วยว่า มนุษย์ต่างดาวอาจบุกโลกเพียงเพื่อกอบโกยทรัพยากร ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายไปยังดาวดวงอื่นต่อไป"
"ผมป่วยมาเกือบตลอดช่วงชีวิตที่เป็นผู้ใหญ่ แต่ผมก็ยังสามารถมีครอบครัวที่สวยงามและประสบความสำเร็จในการงานได้ นั่นแสดงให้เห็นว่า คนเราต้องไม่สิ้นหวัง"
ที่มา: TNN Tech / BBC
👀ติดตามคอนเทนต์ดีๆ ของ THE STATES TIMES EARTH เพิ่มเติมได้ที่
📌TIKTOK: https://www.tiktok.com/
📌Youtube: https://youtube.com/
📌Blockdit: https://www.blockdit.com/thestatestimesearth



#สตีเฟนฮอว์คิง
#หุ่นยนต์สมองกล

☝️Click >> โปรตีนทางเลือก ตัวแปรสำคัญลดโลกร้อน ลดฝุ่น ปกป้องสุขภาพประชาชน ด้วยสมดุลรูปแบบใหม่แห่ง ‘ปศุสัตว์-เกษตรกรรม’🔎C...
22/03/2025

☝️Click >> โปรตีนทางเลือก ตัวแปรสำคัญลดโลกร้อน ลดฝุ่น ปกป้องสุขภาพประชาชน ด้วยสมดุลรูปแบบใหม่แห่ง ‘ปศุสัตว์-เกษตรกรรม’
🔎Clear >> ทราบหรือไม่ว่า การเผาเพื่อการเกษตร อาจเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรกว่า 34,000 รายต่อปี ในไทย และหากอุตสาหกรรมปศุสัตว์เติบโตตามที่คาดการณ์ไว้ ยอดผู้เสียชีวิตอาจสูงถึง 361,000 รายภายในปี พ.ศ. 2593 แต่หากประเทศไทยหันมาสร้างความหลากหลายของแหล่งโปรตีนมากขึ้น ก็อาจลดอัตราการเสียชีวิตจากมลพิษ PM2.5 ได้มากกว่า 100,000 ราย
ด้าน วิชญะภัทร์ ภิรมย์ศานต์ ผู้อำนวยการ Madre Brava กล่าวว่า ปศุสัตว์ใช้ทรัพยากรที่ไม่สมดุลกับผลผลิต อุตสาหกรรมปศุสัตว์ใช้พื้นที่เกษตรกรรมทั่วโลกถึง 77% แต่กลับผลิตพลังงานอาหารให้มนุษย์เพียง 18% ในขณะที่พืชใช้พื้นที่เพียง 23% แต่ให้พลังงานถึง 82% ของที่เราบริโภค นอกจากนี้ แหล่งโปรตีนของมนุษย์ยังมาจากพืช 63% ขณะที่เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นมให้เพียง 37%
ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับภาคปศุสัตว์ยังรวมถึงการเผาตอซังพืช ซึ่งเป็นแหล่งมลพิษทางอากาศที่สำคัญ 35% ของการเผาตอซังทั่วโลกมาจากการเพาะปลูกข้าวโพด เป็นพืชอาหารหลักของปศุสัตว์ การเติบโตของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์และอาหารทะเลระหว่างปี พ.ศ. 2563 - 2593 ตามแนวโน้มปัจจุบัน อาจนำไปสู่การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจาก PM2.5 เพิ่มขึ้นถึง 360,927 คนจากปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง
ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมดุลในการใช้ทรัพยากรของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ และอาจเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาต้องปรับเปลี่ยนแนวทางการผลิตและบริโภคอาหารให้ยั่งยืนมากขึ้น
ทั้งนี้ มีความเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์และอาหารทะเลกับปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ซึ่งเป็นภัยต่อสุขภาพของประชาชนไทย โดยหนึ่งในแหล่งกำเนิดสำคัญของมลพิษนี้คือ การเผาตอซังข้าวโพด ที่ปลูกเพื่อเป็นอาหารสัตว์ ซึ่งในปัจจุบัน อุตสาหกรรมปศุสัตว์มีความต้องการข้าวโพดจำนวนมากเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบหลักในอาหารสัตว์ ส่งผลให้เกษตรกรขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพด และเมื่อถึงช่วงเก็บเกี่ยว มีการเผาตอซังข้าวโพดเพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับการเพาะปลูกรอบใหม่
แน่นอนว่า สิ่งที่น่ากังวลจากการเผานี้ คือ การปล่อยฝุ่น PM2.5 ออกสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณมหาศาล ทำให้คุณภาพอากาศแย่ลง และก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรง โดยมีรายงานว่า การเผาตอซังข้าวโพดทำให้มีผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึงปีละ 12,000 ราย ในช่วงปี พ.ศ. 2563-2593 ซึ่งตัวเลขนี้ใกล้เคียงกับจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจักรยานยนต์ในประเทศไทย
ดังนั้น แนวทางแก้ไขปัญหานี้ จำเป็นต้อง ‘ลดการบริโภคเนื้อสัตว์’ และ ‘หันมาใช้โปรตีนจากพืช’ ให้ได้ 50% ภายในปี พ.ศ. 2593 ซึ่งจะช่วยลดความต้องการข้าวโพดที่ใช้ในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ เมื่อความต้องการลดลง การเพาะปลูกข้าวโพดก็จะลดลงตามมา และนำไปสู่การลดลงของการเผาตอซัง ส่งผลให้ปริมาณฝุ่น PM2.5 ลดลง ซึ่งจะช่วย ลดจำนวนผู้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้มากกว่า 100,000 ราย
แนวโน้มการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ ไม่เพียงช่วยลดมลพิษทางอากาศ แต่ยังเป็นแนวทางสำคัญในการสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืน และปกป้องสุขภาพของประชาชนในระยะยาว การลดการผลิตเนื้อสัตว์จึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกิน แต่เป็นการปรับสมดุลระหว่างมนุษย์ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของคนทั้งประเทศ

ทั้งนี้ Madre Brava มองว่า หากประเทศไทยสามารถเพิ่มสัดส่วนโปรตีนจากพืชเป็น 50% ทั้งเพื่อการบริโภคในประเทศและการส่งออก จะเกิดประโยชน์ทั้งด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ โดยคาดการณ์ว่าแนวทางนี้จะช่วยให้ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 35.5 ล้านเมตริกตันต่อปี / สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึง 1.3 ล้านล้านบาท และเพิ่มโอกาสการจ้างงานกว่า 1.15 ล้านตำแหน่ง
อย่างไรก็ตามทิศทางในการเพิ่มสัดส่วนโปรตีนจากพื้นจะเกิดขึ้นได้ ภาครัฐจะต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการบริโภคอาหารที่ยั่งยืนและดีต่อสุขภาพ ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น ให้สิทธิประโยชน์ทางการเงิน เพื่อลดต้นทุนและทำให้ผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืชมีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมถึงการนำเมนูอาหารจากพืชมาใช้ในงานและการประชุมของภาครัฐ โรงเรียน และโรงพยาบาล เพื่อเป็นแบบอย่างให้ประชาชนหันมาบริโภคโปรตีนจากพืชมากขึ้น
โดยสรุปแล้ว การเพิ่มการบริโภคโปรตีนจากพืชเป็น 50% ได้สำเร็จ ไม่เพียงช่วยลดฝุ่น PM2.5 แต่ยังช่วยสร้างสังคมที่ยั่งยืนขึ้น ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมสุขภาพของประชาชนในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นโอกาสสำคัญในการเปลี่ยนแปลงระบบอาหารของไทยให้เป็นมิตรกับทั้งคนและโลก ซึ่งอาจจะสร้างเศรษฐกิจใหม่ในแบบที่คาดไม่ถึงอีกด้วย
ที่มา: Bangkokbiznews
👀ติดตามคอนเทนต์ดีๆ ของ THE STATES TIMES EARTH เพิ่มเติมได้ที่
📌TIKTOK: https://www.tiktok.com/
📌Youtube: https://youtube.com/
📌Blockdit: https://www.blockdit.com/thestatestimesearth


#โปรตีนทางเลือก
#ผลิตเนื้อสัตว์
#โปรตีนจากพืช

📢>>การปลูกต้นไม้ภายในบ้านหรือภายในคอนโด นอกจากจะเป็นการช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในที่อยู่อาศัยแล้ว ยังช่วยดักจับฝุ่นละอ...
22/03/2025

📢>>การปลูกต้นไม้ภายในบ้านหรือภายในคอนโด นอกจากจะเป็นการช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในที่อยู่อาศัยแล้ว ยังช่วยดักจับฝุ่นละอองต่าง ๆ และช่วยฟอกอากาศด้วย วันนี้ THE STATES TIMES EARTH ขอแนะนำ 9 ต้นไม้ฟอกอากาศ ที่ควรค่าแก่การปลูกในบ้าน

1.พลูด่าง
เป็นพืชไม้เลื้อยที่ปลูกง่ายมาก และใช้เวลาในการเจริญเติบโตไม่นาน ลำต้นทนทานต่อสภาพอากาศในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ถือเป็นไม้มงคลที่นิยมปลูกในบ้าน เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้ชีวิตราบรื่นเป็นสุข มีคนมารักมีคนมาหลง
สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 75% และยังสามารถคายก๊าซออกซิเจนในเวลากลางวัน ได้ถึง 100% จึงเหมาะสำหรับการนำมาปลูกภายในบ้านเป็นต้นไม้ฟอกอากาศชั้นดี
วิธีการดูแลรักษา เนื่องจากพลูด่างปลูกได้หลายวิธีตามสายพันธุ์ แต่โดยรวมเป็นพืชที่ไม่ต้องการแสงมากนักจึงเหมาะกับการปลูกในอาคาร หากปลูกบนดินควรรดน้ำ 3 ครั้งต่อวัน หากปลูกในน้ำควรเปลี่ยนน้ำเดือนละครั้ง
2. ลิ้นมังกร
อีกชื่อหนึ่งคือหอกพระอินทร์ ไม้ประดับที่ปลูกและดูแลรักษาได้ง่าย รวมทั้งยังมีคุณประโยชน์หลากหลาย และมีความพิเศษกว่าต้นไม้พันธุ์อื่น เนื่องจากเป็นพืชที่คายก๊าซออกซิเจนในเวลากลางคืน แต่จะคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในตอนกลางวัน จึงเหมาะสำหรับการปลูกในห้องนอน นอกจากนี้ยังเป็นต้นไม้ฟอกอากาศให้ปราศจากฝุ่นละลองอีกด้วย
วิธีการดูแลรักษา เพราะขึ้นชื่อเรื่องความทนทายาดเป็นอย่างมาก สามารถปลูกในพื้นที่ที่แดดแรงจัดได้ แต่ห้ามรดน้ำมากเกินไป อาจจะเพียงวันเว้นวัน และไม่ให้แฉะจนเกินไป เพราะอาจทำให้ต้นไม้ตายได้
3. ว่านหางจระเข้
ไม้ประดับมากสรรพคุณที่นอกจากจะใช้ดูแลรักษาแผลผุพองได้ดีจนถึงใช้ประโยชน์ในเรื่องความสวยความงามแล้ว ยังเป็นไม้ประดับที่สามารถปลูกในห้องนอนได้เนื่องจากเป็นพืชที่คายก๊าซออกซิเจนในเวลากลางคืน นอกจากนี้ยังช่วยฟอกอากาศในบ้านให้ปราศจากฝุ่น รวมถึงมีประสิทธิภาพในการดูดสารพิษจำพวกฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งพบในสารเคลือบต่าง ๆ ทั้งยาทาเล็บ ยาเคลือบเฟอร์นิเจอร์ และสีทาบ้าน
วิธีการดูแลรักษา ควรตั้งในพื้นที่ที่มีแดดอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน ควรระวังเรื่องการรดน้ำปริมาณมากเกินไป และทำให้น้ำขัง เพราะจะทำให้ต้นเน่าและตายได้
4. เดหลี
ไม้ล้มลุก ที่มีจุดเด่นทั้งเรื่องกลิ่นหอมและยังมีดอกสวยงาม โดยต้นเดหลีเหมาะจะเป็นต้นไม้ฟอกอากาศที่นำมาปลูกในบ้าน เนื่องจากมีความสามารถในการดูดซับสารพิษในบ้านได้ด้วย โดยช่วยดูดสารพิษประเภทกาว อะซิโตนซึ่งมีอยู่ในเครื่องสำอาง น้ำยาทาเล็บ น้ำยาลบคำผิด สารไตรคลอโรเอทีลีน ซึ่งมีอยู่ในเครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร เตาแก๊ส น้ำยาเคลือบเงาไม้ รวมทั้งเบนซินและฟอร์มาลดีไฮด์
วิธีการดูแลรักษา ควรรดน้ำเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ให้เพียงหน้าดินชุ่ม ควรตั้งอยู่ในพื้นที่ที่แสงรำไร และอากาศไม่ร้อนมาก
5. กล้วยไม้
ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงาม และสามารถในการดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถคายก๊าซออกซิเจนได้ในปริมาณมากในแต่ละวัน โดยเฉพาะกล้วยไม้สกุลหวาย สามารถดูดไอระเหยจากสารเคมีจำพวกแอลกอฮอล์ อะซิโตน ฟอร์มาลดีไฮด์ และคลอโรฟอร์มจากอากาศได้ดีเป็นพิเศษด้วย
วิธีการดูแลรักษา ควรตั้งหรือแขวนไว้ในพื้นที่ที่มีแดดรำไร และรดน้ำเพียงวันละ 1 ครั้งก็เพียงพอ

6. เยอบีร่า
ไม้ประดับที่มีขนาดเล็กและออกดอกสวยงาม เหมาะกับการนำมาประดับตกแต่งห้องต่าง ๆ ภายในบ้านหรือคอนโด ซึ่งนอกจากจะให้ความสวยงามแบบเฉพาะตัวแล้ว ยังเป็นต้นไม้ฟอกอากาศ ช่วยดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้อากาศสดชื่นตลอดวัน
วิธีการดูแลรักษา ทำได้ง่าย ๆ เพียงตั้งทิ้งไว้ในที่ที่มีแดด และรดน้ำปานกลาง อย่าให้แฉะจนเกินไป
7. เบญจมาศ
ไม้ดอกที่มีความต้องการทางเศรษฐกิจมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากกุหลาบ เบญจมาศโดยเฉพาะส่วนของดอกจะมีรูปลักษ์ภายนอกและสีได้หลายแบบตามสายพันธุ์ จุดเด่นของเบญจมาศคือเป็นต้นไม้ฟอกอากาศที่เป็นมลพิษ เช่น กลิ่นจากสีทาบ้าน กาว พลาสติก และผงซักฟอก ให้กลายเป็นอากาศบริสุทธิ์ได้
วิธีการดูแลรักษา แค่วางให้โดนแสงแดด เช่น ริมหน้าต่าง และหมั่นรดน้ำเป็นประจำ เนื่องจากเบญจมาศเป็นพืชที่ต้องการน้ำมาก เพราะใบมีการคายน้ำสูง

8. เสน่ห์จันทร์แดง
ไม้ประดับที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงาม เนื่องจากมีใบเป็นรูปหัวใจ มีสีเขียวตัดกับสีแดงเข้มของก้านใบ มีความสามารถดีเยี่ยมในการเป็นต้นไม้ฟอกอากาศ โดยช่วยดูดสารพิษจำพวกแอมโมเนีย นอกจากนี้ยังเป็นไม้มงคลที่นิยมปลูกภายในบ้านเพื่อเสริมสิริมงคลในด้านของโชคแก่ผู้อยู่อาศัย
วิธีการดูแลรักษา เนื่องจากเป็นพันธุ์ไม้ที่ไม่ค่อยทนทานจึงต้องประคบประหงมกันสักหน่อย โดยต้องให้ความชุ่มชื้นอยู่เสมอ และอย่าให้โดนแสงแดดมาก ควรใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกผสมน้ำรดเดือนละครั้ง
9. เศรษฐีเรือนใน
ไม้ประดับที่มักนิยมปลูกในบ้าน เนื่องจากเชื่อว่าเป็นสิริมงคล เสริมโชคลาภและป้องกันภัยให้กับผู้อยู่อาศัย ขึ้นชื่อเรื่องการเป็นต้นไม้ฟอกอากาศ โดยช่วยดูดสารพิษอย่างฟอร์มาลดีไฮด์ รวมถึงคาร์บอนมอนอกไซด์ และไซลีน ซึ่งเป็นสารสำคัญในอุตสาหกรรมพลาสติกและใยสังเคราะห์ และพวกทินเนอร์ แลคเกอร์ กาว สีทาบ้าน ยาทาเล็บ และยาล้างเล็บ
วิธีการดูแลรักษา ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ และรดน้ำพอประมาณอย่าให้น้ำขัง
ที่มา: มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
👀ติดตามคอนเทนต์ดีๆ ของ THE STATES TIMES EARTH เพิ่มเติมได้ที่
📌TIKTOK: https://www.tiktok.com/
📌Youtube: https://youtube.com/
📌Blockdit: https://www.blockdit.com/thestatestimesearth


#ปลูกต้นไม้
#ฟอกอากาศ

ที่อยู่

165 สุขุมวิท 62/1 พระโขนงใต้ พระโขนง, Bangkok, Thailand, Bangkok
Phra Khanong
10260

เบอร์โทรศัพท์

+66814395533

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ THE STATES TIMES EARTHผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง THE STATES TIMES EARTH:

วิดีโอทั้งหมด

แชร์