15/06/2025
Rocket Queen – เรื่องราวเซ็กซ์จริง เสียงจริง และดราม่าหลังไมค์ของ Guns N’ Roses
วันนี้อยากเล่าเรื่องเกี่ยวกับเพลง Rocket Queen เพลงโปรดอันดับหนึ่งจากวง Guns N' Roses ของแอดเอง เพลงนี้เป็นแทร็คสุดท้ายในอัลบั้ม
Appetite for Destruction (1987) ถ้าใครเคยฟังจะรู้ว่าช่วงกลางเพลงมีเสียงร้องครวญครางของผู้หญิงซาวด์ประกอบ ซึ่งนั่นคือการบันทึกเสียงการมีเซ็กซ์จริงๆ ของ Axl Rose นักร้องนำกับผู้หญิงคนหนึ่งในสตูดิโอ
เรื่องมันเริ่มจาก Adriana Smith กรุ๊ปปี้ของวงนักเต้นเปลื้องผ้าในยุคนั้น ที่มีความสัมพันธ์คาราคาซังกับ Steven Adler มือกลองของวง วันหนึ่งเธอรู้ว่า Adler พาผู้หญิงคนอื่นไปออกเดต แล้วก็บอกกับเธอตรงๆ ว่า “เธอไม่ใช่แฟนฉัน” ด้วยความโกรธและเสียใจ Smith จึงพาตัวเองไปที่ห้องอัดซึ่ง Axl กับ Slash อยู่ที่นั่น แล้วจากนั้นก็เกิดเรื่องที่กลายเป็นตำนานในประวัติศาสตร์ร็อก
Axl Rose เสนอไอเดียที่เขาคิดไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว ว่าอยากได้ “เสียงเซ็กซ์จริงๆ” ไปประกอบเพลง Rocket Queen ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการมิกซ์ในห้องอัดที่นิวยอร์ก Smith ตอบตกลงด้วยประโยคที่กลายเป็นตำนาน “เพื่อวง... และเหล้า Jack Daniel's หนึ่งขวด” แล้วก็เข้าไปในบูธบันทึกเสียงกับ Axl โดยตรง
เสียงครวญครางในช่วงกลางเพลงที่ทุกคนได้ยินมาจากการมีเซ็กซ์จริงๆ ครั้งนั้น ซาวด์เอนจิเนียร์ Steve Thompson เคยเล่าว่าบรรยากาศในสตูดิโอวันนั้นเหมือนฉากหนังโป๊ยุค 70 Axl กับ Smith ทำกิจกรรมอยู่ข้างใน ขณะที่ทีมงานต้องคอยปรับไมค์เพราะทั้งคู่เผลอไปชนจนล้มในระหว่าง “ปฏิบัติการ” หนึ่งในนั้นคือ Vic Deyglio ซึ่งถูกแซวไว้ในเครดิตว่าเป็น “Victor ‘the fu***ng engineer’ Deyglio”
ในวันนั้นทีมงานได้บันทึกเสียงเซ็กซ์ทั้งหมดไว้ราว 30 นาที ก่อนจะนำไปตัดต่อใส่ไว้เฉพาะช่วงกลางของเพลง Rocket Queen อย่างประณีต ส่วนเอนจิเนียร์อีกคนอย่าง Michael Barbiero ปฏิเสธที่จะทำหน้าที่นี้ด้วยตัวเอง เพราะเขาบอกว่า “รับไม่ไหว” กับฉากที่เกิดขึ้น จึงปล่อยให้ผู้ช่วยดูแลแทนทั้งหมด
เพลง Rocket Queen มีโครงสร้างแปลกกว่าหลายเพลงของ GN’R เพราะมันแบ่งเป็น 2 ช่วงอย่างชัดเจน ช่วงแรกเต็มไปด้วยอารมณ์ทางเพศ เสียงดิบ ก้าวร้าว ลีดกีตาร์สุดยั่ว จากนั้นเข้าสู่ช่วงที่สองซึ่งเปลี่ยนอารมณ์เป็นความอ่อนโยน มีความเป็นเพื่อน ความห่วงใย เจืออยู่ในเนื้อร้องอย่างชัดเจน
ที่น่าสนใจคือ Axl เคยเล่าว่าเพลงนี้แต่งให้กับหญิงสาวชื่อ Barbi Von Greif หญิงสาวจากแวดวงใต้ดินของลอสแองเจลิส ที่เขาหลงรักและรู้สึกว่าเธอช่วยให้เขารอดชีวิตจากช่วงเวลาหนักๆ ในชีวิต เขาบอกว่า “ช่วงสุดท้ายของเพลง มันคือข้อความที่อยากส่งถึงเธอ หรือใครก็ตามที่เคยผ่านอะไรคล้ายกัน มันคือความหวัง... เป็นเหมือนข้อความแห่งมิตรภาพ”
Adriana Smith ในตอนนั้นอายุแค่ 19 ปี เป็นหญิงสาวที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดง ไม่ได้ต้องการเป็นที่รู้จักในฐานะ “สาวเสียงเซ็กซ์” ในเพลงร็อก เมื่อเวลาผ่านไป เธอยอมรับในภายหลังว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความอับอายและรู้สึกผิดอย่างมาก ถึงขั้นใช้เวลาอีกหลายปีต่อมาจมอยู่กับแอลกอฮอล์และยาเสพติด เพราะแบกความรู้สึกผิดไว้ไม่ไหว
Smith ยังเล่าอีกว่าตัวเองไม่เคยบอกใครว่า “ฉันคือ Rocket Queen” เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับชื่อนั้นจริงๆ “คนที่เป็น Rocket Queen จริงๆ คือ Barbi” เธอกล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์หนึ่ง
ด้าน Steven Adler เอง เมื่อรู้เรื่องก็โกรธจัด ถึงขั้น “freaked out” ตามคำบอกเล่าของ Smith เหตุการณ์นี้กลายเป็นชนวนของความตึงเครียดในวง ถึงแม้จะไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่ทำให้เขาถูกไล่ออกจากวงในปี 1990 (เพราะปัญหาเฮโรอีน) แต่ก็เป็นจุดแตกหักที่สำคัญ
หลายปีให้หลัง Smith เริ่มฟื้นตัวจากบาดแผลในอดีต เธอผันตัวเป็นที่ปรึกษาด้านสารเสพติด และมีวงดนตรีของตัวเองชื่อ Adriana and the Ghost in the Graveyard ที่น่าแปลกคือ เธอไม่เคยได้รับค่าตอบแทนหรือเครดิตใดๆ จากเสียงที่เธอมีส่วนร่วมในเพลง Rocket Queen เลยแม้แต่นิดเดียว
Rocket Queen กลายเป็นเพลงที่สื่อสารภาพรวมของวง Guns N’ Roses ได้ครบถ้วนที่สุด ทั้งความบ้าระห่ำ ดิบ เถื่อน แรงขับทางเพศ ดราม่าภายในวง และบทกวีแห่งมิตรภาพในท่อนสุดท้าย นี่คือแทร็คที่ปิดท้ายอัลบั้ม Appetite for Destruction ได้อย่างสมศักดิ์ศรีในฐานะงานเปิดตัวที่เปลี่ยนโฉมหน้าร็อกยุค 80 ไปตลอดกาล
และไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ เพลงนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรม S*x, Drugs & Rock ‘n Roll อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ในแง่เนื้อหาและเสียงประกอบ แต่ในวิธีที่มันถูกสร้างขึ้นด้วยกระบวนการที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญ ความบ้าบิ่น และความบ้าคลั่งเฉพาะตัวของยุคนั้น
เพลงนี้จึงยังคงมีชีวิต และยังถูกพูดถึงในฐานะหนึ่งในเพลงที่ “จริง” ที่สุดในโลกของร็อกแอนด์โรล