Outperform เกาะติดข่าวสารกองทุน-ประกัน

HARNN ผนึกกำลัง Absolute Boutique Fitness และ The Salil Hotel Riverside - Bangkok ส่ง “ The Scent of New Day” สร้างสรรค์...
26/07/2025

HARNN ผนึกกำลัง Absolute Boutique Fitness และ The Salil Hotel Riverside - Bangkok ส่ง “ The Scent of New Day” สร้างสรรค์ประสบการณ์ Wellness สุดพิเศษกลางเมือง
24 สัปดาห์ที่ผ่านมา 2568 HARNN และ HARNN Wellness and Hospitality ภายใต้การบริหารของธนจิรา กรุ๊ปผู้นำธุรกิจแบรนด์ไลฟ์สไตล์และแฟชั่นระดับภูมิภาค สายการบินต่อยอดกลยุทธ์สร้างประสบการณ์ของแบรนด์ผ่านความหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อถืออย่าง Absolute Boutique Fitness และ The Salil Hotel Riverside – กรุงเทพฯ นำเสนอ " The Scent of New Day " 1 Day Wellness กิจกรรม เพื่อให้ได้คอลเลกชั่นใหม่ล่าสุด HARNN Orange Blossom and Calendula กลิ่นจากบรรยากาศของวันใหม่ ณ โรงแรมเดอะสลิลในกรุงเทพฯ กรุงเทพฯ
ความรู้สึกของกิจกรรมที่มาจากกลิ่นใหม่ล่าสุด Orange Blossom & Calendula Collection โดย HARNN ซึ่งสื่อถึงระยะเวลาอันบริสุทธิ์ของการเริ่ม ต้นพระอาทิตย์ขึ้น ตอนเช้า โยคะ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดย Absolute Boutique Fitness ที่ออกแบบคลาสโยคะพิเศษ ไดรฟ์ศาสตร์ของ ลมหายใจ ทำงาน และนวดเพื่อเพิ่มความผ่อนคลาย
ต่อด้วย อาหารเช้าเพื่อสุขภาพ โดย NAVA Restaurant จาก The Salil Hotel Riverside – Bangkok ที่รังสรรค์เมนูสุขภาพในบรรยากาศสบาย ๆ เสริมประสบการณ์ของ “ The Scent of New Day ” ให้สามารถทำได้อย่างเต็มที่และเปิดรับงานได้ทดลองผลิตภัณฑ์จากความร้อน Orange Blossom & Calendula ตลอดเส้นทางของกิจกรรม
กิจกรรมปิดท้ายวันดีๆ ด้วย Spa Ritual ณ HARNN Heritage Spa Riverside ซึ่งนำเสนอประสบการณ์การปรนนิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งภายใต้แนวคิด “5 Elemental Therapies ” ที่คุณสามารถใช้ศาสตร์การดูแลทั้งกลิ่นโภชนาการ อัญมณี และการฟื้นฟูแบบองค์รวมในการแนะนำและสม่ำเสมอให้กับทั้งร่างกายและจิตใจ
การทำงานร่วมกันจะสะท้อนถึงประสิทธิภาพของ ธนจิรากรุ๊ป ใน ส่วน ของไลฟ์สไตล์แบบบูรณาการ ประสบการณ์ ผ่านพันธมิตรที่มีแนวคิดใกล้เคียงกัน เสริมให้กับแบรนด์ HARNN อัจฉริยะ ผู้นำด้าน ไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพที่ธรรมชาติ ความงามจากธรรมชาติกับประสบการณ์อันที่ประสบการณ์ได้ภายในประตูได้
#การตลาด

25/07/2025

ก.ล.ต. แจ้งเตือนผู้ถือหุ้นกู้ PF จำนวน 15 รุ่น ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ในวันที่ 29 ก.ค. 68

25/07/2025

“Infra Fund” โชว์ปันผล 1 ปีสุดแกร่งเฉลี่ย 7.16%...
“BRRGIF” แชมป์ปันผลสูงสุด 13.06%
ส่วน "3BBIF" & "BTSGIF" ยังไร้ปันผล !!!
สาระ Fund วันละนิด: วันนี้จะพามาส่องผลงานของกลุ่ม “กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน” (Infra Fund: Infrastructure Fund) กันบ้าง
เพราะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์นักลงทุนที่มองหา “ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ” ในรูปเงินปันผลในระหว่างที่ลงทุนได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันมี “Infra Fund” 8 กอง มีอัตราเงินปันผล 12 เดือนล่าสุดเฉลี่ย 7.16% โดยมีเพียง 2 กอง ได้แก่ “3BBIF” และ “BTSGIF” ที่ยัง “จ่ายปันผลไม่ได้”
ในขณะที่ราคาตลาดตั้งแต่ต้นปีมีสัญญาณฟื้นตัว โดยติดลบเฉลี่ย -5.21% ดีกว่า “ตลาดหุ้นไทย” (SET Index) ที่ยังลบกว่า -12%
“Infra Fund” กองไหนปันผลช่วง 1 ปี เป็นยังไงบ้างนั้น ทางทีมงาน ‘Wealthythai’ รวบรวมเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ตามไปอัพเดทพร้อมๆ กันได้เลย
"Infra Fund" โชว์ปันผล 1 ปีสุดแกร่งเฉลี่ย 7.16%...ส่วน "3BBIF" & "BTSGIF" ยังไร้ปันผล
สำหรับ “กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน” (Infra Fund: Infrastructure Fund) เปิดโอกาสให้รัฐและเอกชนที่ทำธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน นำโครงการที่มีรายได้มาระดมทุนจากผู้ลงทุน เพิ่มทางเลือกและโอกาสในการลงทุนในสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน
“Infra Fund” ที่มีมากสุดในอุตาสหกรรมเป็นกลุ่มโรงงานไฟฟ้าที่มี 4 กอง คิดเป็น 50% เลยทีเดียว รองลงมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม 2 กอง และทางด่วน/ระบบขนส่งทางราง อีก 2 กอง โดยกองทุนที่มีปันผล 12 เดือนล่าสุดสูงสุด เรียงตามลำดับดังนี้
1. “BRRGIF” ของบลจ.บัวหลวง ให้ผลตอบแทนปันผล 12 เดือนล่าสุด 13.06% ที่เน้นลงทุนสิทธิในรายได้สุทธิของโรงไฟฟ้าชีวมวล (กากอ้อย) ของ ‘บจ.บุรีรัมย์พลังงาน’ และ ‘บจ.บุรีรัมย์เพาเวอร์’ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ‘บมจ.น้ำตาลบุรีรัมย์’ (BRR)
2. “KBSPIF” ของบลจ.กรุงไทย ให้ผลตอบแทนปันผล 12 เดือนล่าสุด 11.12% ที่เน้นลงทุนในนผลประโยชน์คิดเป็นอัตรา 62% ของรายได้ค่าไฟฟ้าตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจากการประกอบกิจการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขนาดเล็ก (SPP) ประเภทพลังงานความร้อนร่วมซึ่งใช้กากอ้อยเป็นเชื้อเพลิงหลัก ของ ‘บจ.ผลิตไฟฟ้าครบุรี’ (บริษัทย่อยของบมจ.น้ำตาลครบุรี (KBS))
3. “DIF” ของบลจ.ไทยพาณิชย์ ให้ผลตอบแทนปันผล 12 เดือนล่าสุด 10.91% ที่เน้นลงทุนเป็นเจ้าของหรือมีสิทธิในการรับประโยชน์จากรายได้สุทธิที่เกิดจากกลุ่มทรัพย์สิน (portfolio) ประเภทเสาโทรคมนาคม
4. “TFFIF” ของบลจ.กรุงไทย ให้ผลตอบแทนปันผล 12 เดือนล่าสุด 7.96% เน้นลงทุนในสิทธิที่จะได้รับรายได้ 45% ของรายได้ค่าผ่านทางรวมสุทธิที่จัดเก็บได้จากเส้นทางในปัจจุบันของทางพิเศษฉลองรัช และทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นระยะเวลา 30 ปี
5. “SUPEREIF” ของบลจ.บัวหลวง ให้ผลตอบแทนปันผล 12 เดือนล่าสุด 7.21% ที่เน้นลงทุนในสิทธิในรายได้สุทธิของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของ ‘บจ.17 อัญญวีร์ โฮลดิ้ง’ (17AYH) และ ‘บจ.เฮลท์ แพลนเน็ท เมเนจเม้นท์ (ปทท.)’ (HPM) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ‘บมจ.ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น’ (SUPER)
6. “EGATIF” ของบลจ.กรุงไทย ให้ผลตอบแทนปันผล 12 เดือนล่าสุด 7.00% เน้นลงทุนในรายได้ค่าความพร้อมจ่ายในอนาคตของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญา 670 เมกะวัตต์ เป็นระยะเวลา 20 ปี
7. “3BBIF” ของบลจ.บัวหลวง “ไม่มีปันผล” เน้นลงทุนในกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงจำนวน 1,680,500 คอร์กิโลเมตร ซึ่งกองทุนซื้อจาก ‘บมจ.ทริปเปิลที บรอดแบนด์’ (TTTBB)
8. “BTSGIF” ของบลจ.บัวหลวง “ไม่มีปันผล” ในช่วง 12 เดือนล่าสุด เน้นลงทุนในรายได้สุทธิที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพสายหลัก
“Infra Fund” ราคาในตลาดรองเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัว ด้วยบุคลิกคล้าย “หุ้น Defensive” ที่มีปันผลสม่ำเสมอ จึงไม่น่าแปลกใจ...เมื่อราคาร่วงถึงระดับหนึ่งก็มีนักลงทุนที่พร้อมจะเข้าลงทุนนั่นเอง และในยุค “ดอกเบี้ยต่ำ” และอยู่ในแนวโน้มขาลงก็ยิ่งเป็นปัจจัยหนุนให้สินทรัพย์ที่ให้รายได้สม่ำเสมอในระดับที่ดีอย่าง “Infra Fund” จะได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง
ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
#กองทุน ันละนิด #กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน

GUNKUL เปิดแผนธุรกิจครึ่งปีหลัง 2568 เดินกลยุทธ์สร้าง Resilient Growthขยายความสำเร็จของธุรกิจหลัก 3 ด้าน ตามแนวทางวิสัยท...
25/07/2025

GUNKUL เปิดแผนธุรกิจครึ่งปีหลัง 2568 เดินกลยุทธ์สร้าง Resilient Growth
ขยายความสำเร็จของธุรกิจหลัก 3 ด้าน ตามแนวทางวิสัยทัศน์ใหม่
“พาร์ตเนอร์ด้านพลังงานสีเขียว” มั่นใจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL ตอกย้ำความสำเร็จของครึ่งปีแรก ตามวิสัยทัศน์ใหม่ “พาร์ตเนอร์ด้านพลังงานสีเขียว และโครงสร้างพื้นฐานแบบครบวงจรแห่งภูมิภาคเอเชีย” พร้อมเปิดกลยุทธ์ครึ่งหลังของปี 2568 เสริมแกร่งสร้าง Resilient Growth ให้ 3 ธุรกิจหลัก คาดเตรียมเซ็นสัญญา PPA เพิ่ม 180 เมกะวัตต์ และเข้าประมูลโครงการก่อสร้าง EPC ไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายโครงการ มูลค่ากว่า 11,000 ล้านบาท มั่นใจตั้งเป้ารายได้เติบโต 10-15% รายได้รวมใน 3 ปี เติบโตกว่า 35,000 ล้านบาท
คุณนฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) กล่าวว่า “นับตั้งแต่ขึ้นรับตำแหน่งซีอีโอในเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา พร้อมด้วยการมุ่งสู่วิสัยทัศน์ใหม่ ที่มุ่งเน้นในการสร้างความแข็งแกร่งให้กล้ามเนื้อทางธุรกิจ และเตรียมความพร้อมรับมืออย่างมียุทธศาสตร์จากปัจจัยภายนอก ทั้งจากสถานการณ์โลก ความผันผวนของเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการสร้าง Resilient Growth ให้บริษัทฯ เติบโตอย่างมั่นคง รวมไปถึงดูแลผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและสังคมอย่างยั่งยืน ซึ่งมองว่าครึ่งแรกของปี 2568 ประสบความสำเร็จเป็นไปตามโรดแมพ ภายใต้การบริหารจัดการต้นทุนอย่างชาญฉลาด ส่งผลให้บริษัทสามารถที่จะปันผลเฉพาะกาลได้ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ สำหรับแผนการดำเนินงานครึ่งหลังของปี 2568 ยังคงเดินหน้าตามกลยุทธ์ สมการความก้าวหน้า ผลักดันธุรกิจ 3 ด้านอย่างบูรณาการ โดยมีแผนงานดังนี้
● ธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานสีเขียว (Green Power) จากความสำเร็จในครึ่งแรกของปี ที่ขยายกำลัง การผลิตไฟฟ้าพลังงานสีเขียวอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะลงนามสัญญาโครงการซื้อขายไฟฟ้า (PPA) 180 เมกะวัตต์ จากภาครัฐในเวลาอันใกล้นี้ รวมไปถึงโครงการโซลาร์ฟาร์มและวินด์ฟาร์มเพิ่มเติมอีก 319 เมกะวัตต์ ที่ยังรอความชัดเจนเพิ่มเติม ซึ่งหากเป็นไปตามที่คาดการณ์ จะส่งผลให้ GUNKUL มีโรงไฟฟ้าพลังงานสีเขียวในพอร์ตโฟลิโอทั้งหมดรวม 1,579 เมกะวัตต์ และยังได้เตรียมพร้อมสำหรับแผนงานประมูลโครงการฯ PPA ใหม่ๆ ที่จะช่วยผลักดันอัตราส่วนพลังงานสะอาดของประเทศ ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับภาคอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียว โดยล่าสุดได้ร่วมมือกับพันธมิตรกับองค์กรชั้นนำ muRata ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของญี่ปุ่น เพื่อเตรียมดำเนินการด้าน Direct PPA ซึ่งสอดคล้องกับแผนการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงานของประเทศ สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าต่างประเทศจากเดิมที่มีอยู่ในญี่ปุ่น มาเลเซีย และเวียดนาม บริษัทฯ วางแผนเจรจาโครงการในฟิลิปปินส์เพื่อขยายพอร์ตโฟลิโอพลังงานสีเขียวในต่างประเทศเพิ่มเติม
● ธุรกิจรับเหมาไฟฟ้า (EPC) ในช่วงครึ่งปีแรกได้มีลงนามสัญญากับ กฟผ. ในโครงการก่อสร้างสายส่ง ไฟฟ้าแรงสูง 500 กิโลโวลต์ มูลค่ากว่า 675 ล้านบาท เชื่อมต่อจากบางละมุง ถึงปลวกแดง ซึ่งในครึ่งปีหลัง ได้อยู่ในระหว่างการดำเนินเตรียมประมูลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ (EPC) หลาย โครงการ รวมมูลค่ากว่า 11,000 ล้านบาท โครงการพัฒนาระบบเคเบิลใต้ทะเลขนาด 230 กิโลโวลต์ ไปยังเกาะสมุย โครงการพัฒนาระบบเคเบิลใต้ทะเล ในพื้นที่เกาะต่างๆ จำนวน 12 เกาะ รวมไปถึงโครงการก่อสร้างโซลาร์ฟาร์มและวินด์ฟาร์ม เป็นต้น โดยปัจจุบันมีจำนวนงานที่รอรับรู้รายได้ (Blacklog) กว่า 3,680 ล้านบาท
● ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้า (Manufacturing) มีแผนการสร้างการเติบโตของยอดขายในผลิตภัณฑ์เดิม และขยายฐานด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อาทิ กลุ่มอุปกรณ์โซลูชั่นอินเวอร์เตอร์ และแบตเตอรี่ ที่สามารถต่อยอดความสำเร็จจากช่วงครึ่งปีแรก โดย GUNKUL ได้รับการแต่งตั้งจาก SUNGROW ผู้นำรายใหญ่ระดับโลกในด้านกลุ่มธุรกิจด้านอุปกรณ์โซลาร์เซลล์ ให้เป็นผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ (Tier 1 Distributor) ในประเทศไทย สำหรับอุปกรณ์โซลูชั่นอินเวอร์เตอร์และแบตเตอรี่ ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างก้าวกระโดด
นอกจากแผนงานที่วางไว้อย่างเป็นรูปธรรมในครึ่งหลังของปี 2568 ยังมุ่งเน้นในเรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กร เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถสร้างการเติบโตและผลกำไรที่ดี ตอบโจทย์ผู้ถือหุ้นและพาร์เนอร์ที่ให้ความไว้วางใจ GUNKUL เสมอ โดยใช้กลยุทธ์ Trim Operational Fat ปรับปรุงกระบวนการทำงาน เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการต้นทุนอย่างเหมาะสมเพื่อเปิดโอกาสในการต่อยอด New S-Curve อาทิ Green Data Center และบริการโครงสร้างพื้นฐานประเทศ Infrastructure Development หรือทำ Co-investment ลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ได้อย่างคล่องตัวที่สุด รวมถึงเฟ้นหาเทคโนโลยีที่จะมาช่วยเพิ่ม Productivity ในการทำงานซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการดูแลพนักงานด้วย
สำหรับปี 2568 นี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 10-15% รายได้รวมใน 3 ปี เติบโตกว่า 35,000 ล้านบาท โดยในมิติด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม เราตระหนักถึงความเร่งด่วนของวิกฤติสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน และยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง เพื่อมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่ยั่งยืน ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการพร้อมสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียว ที่มุ่งไปสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เพิ่มศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมในไทย ในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในเวทีโลก
#หุ้น

HANN เครือรพ. มุกดาหารอินเตอร์ฯ ใจถึง เปิดจองหุ้นไอพีโอ ราคาดี 0.70 บาท     160 ล้านหุ้น 29 – 31 ก.ค. นี้ชูจุดเด่น รพ.แห...
25/07/2025

HANN เครือรพ. มุกดาหารอินเตอร์ฯ ใจถึง เปิดจองหุ้นไอพีโอ ราคาดี 0.70 บาท
160 ล้านหุ้น 29 – 31 ก.ค. นี้
ชูจุดเด่น รพ.แห่งลุ่มแม่น้ำโขงที่ครอบคลุมภาคอีสาน และสปป. ลาว ธุรกิจมั่นคงกว่า 30 ปี และมีนโยบายปันผลสูง
ผู้ถือหุ้นเดิมยอมติดล็อคอัพเพิ่ม และราคาหุ้นจองใกล้เคียงราคาพาร์
แต่งตั้ง “บล. โกลเบล็ก” ผู้จัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่าย พร้อม 5 บล.ชั้นนำ
บริษัท โรงพยาบาลมุกดาหารอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ “HANN” ผู้นำเครือโรงพยาบาลแห่งลุ่มน้ำโขง เคาะราคาไอพีโอ 0.70 บาท ชูจุดแข็งเครือโรงพยาบาลแห่งลุ่มน้ำโขง บริการการแพทย์ครบวงจร เชี่ยวชาญผ่าตัด และรักษาโรคที่ซับซ้อน จับตลาดกลุ่มผู้รับบริการ ครอบคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สปป.ลาว และโดดเด่นสำหรับหุ้นกลุ่มการแพทย์ที่มีโอกาสเติบโตอย่างมั่นคงยั่งยืน
คุณประภาศรี สุฉันทบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลมุกดาหาร อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ HANN เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เซ็นสัญญาแต่งตั้ง บริษัท หลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) ของบริษัทฯ จำนวน 160 ล้านหุ้น คิดเป็น 28% ของหุ้นทั้งหมดจำนวน 560 ล้านหุ้น เป็นมูลค่าการระดมทุนจำนวน 112 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ มีแผนจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปขยายกิจการ โรงพยาบาลมุกดาหารอินเตอร์เนชั่นแนล และโรงพยาบาลนายแพทย์หาญ จังหวัดยโสธร เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการทางการแพทย์ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งรองรับการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ของกลุ่มผู้รับบริการ
โดยบริษัทฯ ประกอบธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนภายใต้ 3 โรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลมุกดาหารอินเตอร์เนชั่นแนล โรงพยาบาลรวมแพทย์ยโสธร และโรงพยาบาลนายแพทย์หาญ โดยมีผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ทำรายได้รวม 493 ล้านบาท กำไรสุทธิ 21 ล้านบาท สำหรับงวดสามเดือนประจำปี 2568 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568) นับว่าดีเกินความคาดหมาย ทำรายได้รวมกว่า 121 ล้านบาท คิดอัตราการเติบโตเป็น 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 และมีกำไรสุทธิ 20 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีนโยบายที่จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิ
คุณเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ที่ปรึกษา ทางการเงิน กล่าวว่า HANN เป็นหุ้นขนาดเล็กที่มีอนาคตไกล เนื่องจากธุรกิจโรงพยาบาลมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยกลุ่มบริษัทฯ มีความสามารถและความโดดเด่น ในการผ่าตัดและรักษาโรคซับซ้อน ด้วยความพร้อมของทีมแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ และเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ ทั้งนี้ มีการประเมินอุตสาหกรรมโรงพยาบาลเอกชนในจังหวัดมุกดาหารและยโสธร ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามจำนวนผู้สูงอายุ ที่มีแนวโน้มเติบโตราว 4% ต่อปี เป็นไปในทิศทางเดียวกับการเติบโตของผู้สูงอายุของทั้งประเทศไทยที่เติบโตราว 4.4% ต่อปี ซึ่งปัจจุบันเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ไปแล้ว โดยวัดจากเกณฑ์ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปคิดเป็น 10% ของประชากร ทุกช่วงอายุในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งในปี 66 จังหวัดมุกดาหารมีสัดส่วนผู้สูงอายุอยู่ที่ 16.6% จังหวัดยโสธร อยู่ที่ 19.1% โดยกลุ่มดังกล่าว มักมีความเสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนการใช้จ่ายด้านสุขภาพภายใน ประเทศ ที่เติบโตกว่า 5% ต่อปี
นายกิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า บริษัท หลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด มีความยินดีที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นแกนนำ ในการจัดจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนของ HANN โดยการกำหนดราคาหุ้นที่ 0.70 บาท เป็นราคาที่เหมาะสมกับสภาวะตลาด โดยคิดเป็นอัตรา P/E เท่ากับ 10.25 เท่า เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิย้อนหลัง 4 ไตรมาส ซึ่งถูกกว่าค่าเฉลี่ยของหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล และ เป็นราคาที่ใกล้เคียงกับราคาพาร์ที่หุ้นละ 0.50 บาท ผู้ถือหุ้นเดิมได้ล็อคอัพหุ้นเพิ่มจากที่ต้องติดตามเกณฑ์ร้อยละ 55 จำนวน 308 ล้านหุ้น เป็นระยะเวลา 1 ปี และล็อคหุ้นเดิมที่ไม่ติดเกณฑ์ล็อคหุ้นอีก 76 ล้านหุ้น จาก 92 ล้านหุ้น ไม่สามารถซื้อขายได้เป็นเวลา 1 เดือนอีกด้วย
คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจาก HANN เป็นหุ้นโรงพยาบาลที่เป็นธุรกิจที่มั่นคง มีโอกาสเติบโตสูง นอกจากนี้ HANN มีโครงสร้างรายได้มาจากหลายช่องทางคือ จากลูกค้าเงินสด จากโครงการของภาครัฐ จากลูกค้าจากบริษัทประกันสุขภาพ และจากประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงเป็นหุ้นเล็กที่มีโอกาสเติบโตสูง มีความมั่นคงยั่งยืนในระยะยาว เนื่องจากเป็นกลุ่มธุรกิจด้านสุขภาพ และการแพทย์เป็นกลุ่มธุรกิจจำเป็นพื้นฐาน และมีแนวโน้มการเติบโตที่สูงในประเทศไทย อีกทั้ง HANN มีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจโรงพยาบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่บริเวณลุ่มน้ำโขง ซึ่งมีความเข้าใจความต้องการของคนในพื้นที่เป็นอย่างดี และได้รับการยอมรับในความสามารถทางการแพทย์ มีบริการทางการแพทย์อย่างครอบคลุมมีคุณภาพเชี่ยวชาญ การผ่าตัด และรักษาโรคที่ซับซ้อนสามารถรองรับกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ไปตลอดจนจังหวัดใกล้เคียงและประเทศเพื่อนบ้านอย่างสปป. ลาว
โดยหุ้นไอพีโอ HANN สามารถจองได้ระหว่างวันที่ 29-31 กรกฎาคม 2568 ที่ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ร่วมด้วยผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญอีก 5 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ ฟีนันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
#หุ้น

BBLAM เสนอขาย IPO ‘กองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 9/25’ วันที่ 24-29 ก.ค. 2568  BBLAM เสนอขาย IPO กองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 9/25 หรือ...
25/07/2025

BBLAM เสนอขาย IPO ‘กองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 9/25’ วันที่ 24-29 ก.ค. 2568
BBLAM เสนอขาย IPO กองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 9/25 หรือ Bualuang Thanarat 9/25 เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ IPO 24-29 กรกฎาคม 2568
รายงานข่าวจาก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด หรือ BBLAM เปิดเผยว่า BBLAM เสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) กองทุนรวมบัวหลวงธนรัฐ 9/25 หรือ Bualuang Thanarat 9/25 (B9/25) อายุประมาณ 6 เดือน ประมาณการผลตอบแทน 1.25% ต่อปี ขนาดโครงการ 6,000 ล้านบาท โดยเสนอขายในราคา 10 บาทต่อหน่วย และผู้ลงทุนจะต้องจองซื้อครั้งแรกขั้นต่ำ 10,000 บาท
สำหรับ บัวหลวงธนรัฐ 9/25 จะนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หรือพันธบัตร หรือตราสารหนี้ที่กระทรวงการคลังหรือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็น ผู้ออก ผู้รับรอง ผู้รับอาวัล หรือผู้ค้ำประกัน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน รวมทั้งกองทุนนี้จะลงทุนครั้งเดียว โดยจะถือทรัพย์สินที่ลงทุนไว้จนครบอายุโครงการของกองทุนรวม (buy-and-hold fund)
ส่วนที่เหลือจะลงทุนในเงินฝาก บัตรเงินฝาก ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตราสารหนี้ของสถาบันการเงิน และหรือพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และหรือการหาดอกผลโดยวิธีอื่น การทำธุรกรรมการซื้อตราสารหนี้ภาครัฐกับสถาบันการเงิน โดยมีสัญญาที่จะขายคืนตราสารหนี้ดังกล่าว ตามวันที่กำหนดในสัญญา
ทั้งนี้ กองทุนจะไม่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivatives) และไม่ลงทุนในตราสารที่มีลักษณะของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าแฝง (Structured Note) รวมถึงไม่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตํ่ากว่าที่สามารถลงทุนได้ (Non-Investment Grade) อย่างไรก็ตาม กองทุนอาจมีไว้ซึ่งตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือตํ่ากว่าที่สามารถลงทุนได้ (Non-Investment Grade) เฉพาะกรณีที่ตราสารหนี้นั้นได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในอันดับที่สามารถลงทุนได้ (Investment Grade) ณ วันที่ลงทุนเท่านั้น
กองทุน B9/25 ไม่มีค่าธรรมเนียมการขายหรือรับซื้อคืนหน่วยลงทุน กองทุนนี้จะรับซื้อคืนอัตโนมัติให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน ภายในวันทำการก่อนวันครบกำหนดอายุโครงการ โดยการลดจำนวนหน่วยและใช้มูลค่าหน่วยลงทุน ณ สิ้นวันทำการรับซื้อคืนอัตโนมัติเป็นราคารับซื้อคืนหน่วยลงทุน โดยผู้ซื้อหน่วยลงทุนจะได้รับเงินคืนอัตโนมัติภายใน 5 วันทำการนับตั้งแต่วันทำการถัดจากวันทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ตามวิธีที่ผู้ถือหน่วยลงทุนได้แจ้งไว้ในใบคำขอเปิดบัญชี (โอนเข้าบัญชี / เช็ค) โดยผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถแจ้งความประสงค์ไว้ได้ว่า เมื่อกองเทอมฟันด์ครบอายุ ให้สับเปลี่ยนเข้ากองทุนเปิดบัวหลวงธนทวี (B-TNTV) หรือกองทุนเปิดบัวหลวงตราสารหนี้ภาครัฐ (B-TREASURY)
#กองทุน

PST GLOBLEX แนะซื้อ ORN เป้าหมาย 0.76 บาท2H/68 ยอดโอนสูง – ธุรกิจใหม่เสริมกำไรPST และ GLOBLEX คงคำแนะนำ “ซื้อ” ORN ราคาเ...
24/07/2025

PST GLOBLEX แนะซื้อ ORN เป้าหมาย 0.76 บาท
2H/68 ยอดโอนสูง – ธุรกิจใหม่เสริมกำไร
PST และ GLOBLEX คงคำแนะนำ “ซื้อ” ORN ราคาเป้าหมาย 0.76 บาท P/E 7 เท่า คาดแนวโน้มกำไรครึ่งหลังปี 2568 ดีกว่าครึ่งแรก ยอดขายแนวราบ- แนวสูง (Backlog) 2,590 ล้านบาท เริ่มโอน Q3/68 เป็นต้นไป ธุรกิจใหม่จ่อบุ๊ครายได้ประจำ โรงเรียนนานาชาติ Mill Hill International School Thailand เปิดเทอม ก.ย.นี้ โครงการคอมมูนิตี้มอลล์ ปิดพื้นที่เช่าแล้วกว่า 50% หนุนทิศทางกำไรสูงขึ้นต่อเนื่องในปี 69 มั่นใจภาพรวมตลาดอสังหาฯ เชียงใหม่ยังดี ลุยเปิด 2 โครงการใหม่ ควบคู่การบริหารจัดการต้นทุน
PST เห็นโอกาสลงทุน แนะนำ "ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมาย 0.76 บาท อิงจาก P/E ที่ 7 เท่า
บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (PST) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ยังคงแนะนำ “ซื้อ” และปรับลด P/E ของ ORN ลงมาที่ 7 เท่า เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดปัจจุบัน ราคาเป้าหมายที่ 0.76 บาท สำหรับไตรมาส 2/68 แนวโน้มยอดขายลดลงจากปีก่อนและไตรมาส 1 ยังเป็นภาพการขาย-โอนโครงการเดิม มองเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ และจะโอนได้ดีขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 4/68 จากคอนโด Arise-เจริญเมือง มูลค่า 1,308 ลบ. ที่จะครบกำหนดโอนกรรมสิทธิ์กลาง ไตรมาส 3/68
คาดแนวโน้มกำไรปี 68-69 จะสูงขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งปีนี้มีเปิดโรงเรียน Mill Hill International School Thailand ในเดือน ก.ย. คาดว่าจะมีนักเรียน 100 คน และจะเริ่มเห็นจุดคุ้มทุนมากกว่า 200 คน ได้ในรอบที่สองของปีการศึกษา การลงทุนธุรกิจโรงเรียนจะช่วยส่งเสริมการขายสินค้าอสังหาฯ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ ORN ส่วนในปี 68 ยอดโอนเติบโตได้จากโอนโครงการ Habitat ในช่วงต้นปีและ Arise-เจริญเมือง ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568
อย่างไรก็ตาม SG&A (ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร) จะสูงขึ้น จากค่าใช้จ่ายในการขายคอนโดและการเตรียมเปิดโรงเรียน และมีต้นทุนทางการเงินสูงขึ้นจากการซื้อที่ดินเพื่อเตรียมพัฒนา คาดกำไรปี 2568 ที่ 162 ล้านบาท สูงขึ้นถึง 15.4% เมื่อเทียบกับปี 2567
ทั้งนี้ บริษัทฯอยู่ในช่วงขยายการลงทุนแนวโน้ม D/E สูงขึ้นไปจนถึงปี 69 ในกรอบ 1.40-1.50 เท่า ส่วนทิศทางกำไรสูงขึ้นได้ต่อเนื่องในปี 69 ที่สามารถโอนโครงการคอนโดฯ Arise-เจริญเมือง ได้ต่อเนื่องและมี คอนโดฯ Arise vibe-ภูเก็ต และ Arise hill-เชียงใหม่ รวมมูลค่า 1,943 ล้านบาท ครบกำหนดโอนในไตรมาส 4/69
GLOBLEX คาดแนวโน้มกำไร 2H68 ดีกว่า 1H68
บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 มีแนวโน้มดีกว่าครึ่งปีแรก จากกําไร 2Q68F เติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่มีโอกาสลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากการโอนโครงการเก่าต่อเนื่องจากไตรมาสแรกไม่มีโอนโครงการใหม่ โดยมี backlog ณ ปลายมี.ค. 68 จํานวน 2,590 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มโอน โครงการ Arise เจริญเมืองในช่วงไตรมาส 3/68 และธุรกิจใหม่ที่จะช่วยสร้างรายได้ประจําในอนาคต
ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกต่อผลประกอบการปี 68 ที่มีโอกาสเติบโตสูงจากฐานที่ต่ำในปี 67 ราคาหุ้นที่ลดลง 8% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ซื้อขายที่ระดับ P/E 6 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ระดับ 11 เท่า โอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวลงไปมากกว่านี้มีน้อย แนะนํา “ซื้อ"
นายอรรคเดช อุดมศิริธำรง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) หรือ ORN เปิดเผย คาดว่าผลประกอบการครึ่งปีหลัง 2568 จะโดดเด่นกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากมี ยอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่ากว่า 2,590 ล้านบาท ที่พร้อมรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป
โดยได้รับแรงหนุนจากภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวอย่างเชียงใหม่และภูเก็ต ซึ่งได้อานิสงส์จากการกลับมาของภาคท่องเที่ยว การลงทุนจากต่างชาติ และเทรนด์ Remote Work รวมถึงนโยบายรัฐที่สนับสนุนและโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องในภาคเหนือ
ORN เดินหน้ากลยุทธ์เน้นพัฒนาโครงการแนวราบและแนวสูงที่มีศักยภาพ ควบคุมต้นทุน และปรับโครงสร้างราคาให้เหมาะสม เพื่อกระจายกลุ่มเป้าหมายทั้งคนไทยและต่างชาติ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 1,640 ล้านบาท ในครึ่งปีหลัง 2568 ได้แก่ คอนโดมิเนียมหรู THE ASTRA3 และ The Next 7 ยอด3 พร้อมกันนี้ โรงเรียนนานาชาติ Mill Hill International School Thailand ได้รับใบอนุญาตและพร้อมเปิดการเรียนการสอนในเดือนกันยายน 2568 โดยมีนักเรียนสมัครแล้วกว่า 200 ราย และ คอมมูนิตี้มอลล์ THE BACKYARD กำลังจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ซึ่งจะช่วยเสริมรายได้ประจำและกระแสเงินสดให้กับบริษัท
#หุ้น

SCB Julius Baer เผยข้อมูลจาก “Julius Baer- Global Wealth and Lifestyle Report 2025”ชี้เอเชียแปซิฟิกยังคงเป็นภูมิภาคที่มี...
24/07/2025

SCB Julius Baer เผยข้อมูลจาก “Julius Baer- Global Wealth and Lifestyle Report 2025”
ชี้เอเชียแปซิฟิกยังคงเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตของความมั่งคั่งรวดเร็วที่สุดในโลก
พบกระแสการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ (Longevity) ส่งผลสำคัญกับการวางแผนชีวิตและการเงิน
ชี้กรุงเทพฯ ค่าครองชีพแพงติดอันดับ 11 ของโลก ขณะที่สิงค์โปรคงครองอันดับ 1
บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จูเลียส แบร์ จำกัด (SCB Julius Baer) บริษัทร่วมทุนระหว่าง ธนาคารไทยพาณิชย์ และ จูเลียส แบร์ (Julius Baer) เปิดเผย “รายงานความมั่งคั่งและไลฟ์สไตล์จากทั่วโลก ประจำปี 2025” (Global Wealth and Lifestyle Report 2025) ที่จัดทำโดย จูเลียส แบร์ ซึ่งเผยให้เห็นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ที่มีความมั่งคั่งระดับสูง (UHNWIs และ HNWIs) ทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ยังคงมีการเติบโต โดยพบกระแสการมีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ (Longevity) ส่งผลสำคัญต่อการวางแผนชีวิตและการเงิน สอดคล้องกับนิยามของความหรูหราที่กำลังเปลี่ยนไปจากการบริโภคสินค้าหรูสู่การเน้นประสบการณ์อันล้ำค่า ขณะที่กรุงเทพฯ ติดอันดับเมืองค่าครองชีพแพงอันดับ 11 ของโลก และสิงค์โปรยังคงครองอันดับ 1 ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของตลาดความมั่งคั่งในเอเชียแปซิฟิกยังคงคึกคักและเติบโตอย่างต่อเนื่อง
เอเชียแปซิฟิกยังคงเป็นหัวใจของเศรษฐกิจโลก GDP โตต่อเนื่อง หนุนยอดเศรษฐีพุ่งพรวด
ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยังคงเป็นภูมิภาคที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวลงเล็กน้อยในปี 2567 แต่ก็ยังคงแซงหน้าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ความมั่งคั่งในภูมิภาคนี้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีการเติบโตของ GDP ที่ 4.5% ในปี 2567 ซึ่งลดลงเล็กน้อยจาก 5.1% ในปี 2566 แต่ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 3.3% อย่างชัดเจน แนวโน้มนี้ส่งผลโดยตรงต่อจำนวนผู้ที่มีความมั่งคั่งระดับสูงในเอเชีย ที่คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 5% ต่อปี แตะระดับ 855,000 คนในปี 2567 โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนและอินเดีย ซึ่งคาดการณ์ว่าจะช่วยหนุนสัดส่วนของ HNWIs รายใหม่ทั่วโลกในเอเชียให้สูงถึง 47.5% ระหว่างปี 2568 ถึง 2571 ตัวเลขเหล่านี้ตอกย้ำให้เห็นว่า เอเชียแปซิฟิกยังคงเป็นศูนย์กลางของโอกาสทางเศรษฐกิจและเป็นแหล่งกำเนิดความมั่งคั่งที่สำคัญของโลก
กรุงเทพฯ ติดอันดับค่าครองชีพแพงติดอันดับ 11 ของโลก
รายงานเผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงอันดับเมืองที่มีค่าใช้จ่ายสูงสำหรับผู้มีความมั่งคั่งระดับสูง โดยกรุงเทพฯ เลื่อนขึ้น 6 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 11 ของโลก ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดในภูมิภาค รายงานระบุว่า กรุงเทพฯ กลายเป็นหนึ่งในมหานครที่แพงที่สุดในโลกสำหรับ สินค้าฟุ่มเฟือย อย่างแฟชั่นสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ รวมถึงรถยนต์และนาฬิกา สำหรับเมืองอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก สิงคโปร์ยังคงครองอันดับ 1 เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ฮ่องกงอยู่ในอันดับ 3 (ลดลงจากอันดับ 2) โตเกียวเลื่อนขึ้น 6 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 17 และเซี่ยงไฮ้ลดลงจากอันดับ 4 มาอยู่ที่อันดับ 6
การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้มีความมั่งคั่งระดับสูงในเอเชียแปซิฟิก
ผู้มีความมั่งคั่งระดับสูงในเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มการเพิ่มทั้งการใช้จ่ายและการลงทุน (39%) โดยมีการเพิ่มขึ้นโดยรวมในการลงทุนสูงที่สุดที่ 68% ผู้ลงทุนในภูมิภาคนี้ยังมีแนวโน้มสนใจการลงทุนในเทรนด์อนาคตหรือการลงทุนที่สอดคล้องกับค่านิยมของตนเองมากกว่าภูมิภาคอื่น ด้านหุ้นยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ตามด้วยอสังหาริมทรัพย์และเงินสด นอกจากนี้ยังพบว่าแม้ภูมิภาคอื่นจะเกิด ESG fatigue หรือความอ่อนล้าจากการลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลในหลายภูมิภาคทั่วโลก แต่ในเอเชียแปซิฟิกกลับสวนทางด้วย ความมุ่งมั่นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในการลงทุนอย่างยั่งยืน สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวและความตระหนักถึงความสำคัญของการสร้างผลกระทบเชิงบวกควบคู่ไปกับการสร้างผลตอบแทนทางการเงิน
กระแสการมีอายุยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ส่งผลต่อการวางแผนชีวิตและการเงิน
ผู้มีความมั่งคั่งระดับสูงในเอเชียแปซิฟิกให้ความสำคัญกับการมีอายุยืนยาวและมีคุณภาพชีวิต (Longevity) เป็นอันดับต้นๆ โดย 100% ของผู้ตอบแบบสอบถามในภูมิภาคนี้พบว่าพวกเขากำลังใช้มาตรการต่างๆ เพื่อเพิ่มอายุขัย ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิต เช่น การออกกำลังกายสม่ำเสมอและการรับประทานอาหารที่ดี ไปจนถึงการบำบัดด้วยยีน (Gene) และไครโอจีนิกส์ (Cryogenic) ที่มีผู้ใช้ถึง 21% เมื่อพิจารณาถึงความยืนยาวทางการเงิน ผู้มีความมั่งคั่งระดับสูงส่วนใหญ่กล่าวว่าพวกเขาจะปรับกลยุทธ์การจัดการความมั่งคั่งเพื่อรองรับการมีอายุยืนยาวขึ้น ผู้ตอบแบบสอบถามในเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มที่จะสร้างแผนการดูแลระยะยาวมากกว่าภูมิภาคอื่น โดยมีถึง 68% ที่เลือกตัวเลือกนี้
เศรษฐีโลกเปลี่ยนโฟกัสจาก "ของหรู" สู่ "ประสบการณ์อันล้ำค่า"
รายงานยืนยันแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านจากการบริโภคสินค้าไปสู่การเน้นประสบการณ์ ในขณะที่การใช้จ่ายสำหรับสินค้าหรูหราชะลอตัวลง แต่ความต้องการสำหรับการรับประทานอาหารสุดหรู (Fine Dining) การท่องเที่ยวแบบเอ็กซ์คลูซีฟ และประสบการณ์ที่ได้รับการคัดสรรยังคงเติบโตได้ดี สะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการของนิยามของ “ความหรูหรา” ที่เปลี่ยนไปของกลุ่มผู้ที่มีความมั่งคั่งระดับสูง โดยพวกเขาไม่ได้มองความหรูหราที่การครอบครองสิ่งของอีกต่อไป แต่หันมาให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์, ความเป็นอยู่ที่ดี (Wellbeing), และประสบการณ์ที่มีความหมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เติมเต็มคุณค่าทางจิตใจและสร้างความทรงจำที่ยั่งยืนมากกว่าการเป็นเจ้าของวัตถุ
โอกาสและความท้าทายในอนาคต
ภูมิทัศน์ความมั่งคั่งในเอเชียกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อธุรกิจแบบดั้งเดิมยังคงเป็นรากฐานสำคัญ แต่โอกาสใหม่จากเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนโฉมหน้าผู้ที่มีความมั่งคั่งระดับสูงในเอเชียให้หลากหลายและทันสมัยยิ่งขึ้น พร้อมกันนั้น การส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่นคาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนมือของสินทรัพย์มูลค่ากว่า 5.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ระหว่างปี 2566-2573 ซึ่งจะเร่งให้เห็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความต้องการใหม่ในรูปแบบการใช้ชีวิตและการใช้จ่าย เช่น การมุ่งเน้นด้านความยั่งยืน การก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว และการให้ความสำคัญกับประสบการณ์เหนือกว่าการครอบครองสิ่งของ แนวโน้มเหล่านี้จะส่งอิทธิพลอย่างมากต่อตลาดสินค้าหรูทั่วโลก อสังหาริมทรัพย์ และกลยุทธ์การลงทุน ในอีกหลายปีข้างหน้า ซึ่งเป็นการปูทางไปสู่โอกาสและความท้าทายใหม่ๆ ในอนาคต
SCB Julius Baer พร้อมรับมือภูมิทัศน์ความมั่งคั่งที่กำลังเปลี่ยนแปลง
SCB Julius Baer ในฐานะ Private Baking จากสวิตเซอร์แลนด์เพียงแห่งเดียวที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย พร้อมรับมือกับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงสำคัญของภูมิทัศน์ความมั่งคั่งทั่วโลก โดยมุ่งเน้นให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูงในเมืองไทย ผ่านบริการที่ครบวงจร ครอบคลุมทั้ง บริการที่ปรึกษาด้านการลงทุน บริการ Discretionary mandates ตลอดจนบริการการวางแผนความมั่งคั่งด้วยการจัดโครงสร้างการถือครองทรัพย์สิน การวางแผนทางการเงิน และการส่งต่อความมั่งคั่งสำหรับคนรุ่นต่อไป โดย SCB Julius Baer พร้อมที่จะนำความเชี่ยวชาญ โดยทีมงานมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญสูง ซึ่งประกอบด้วย ผู้จัดการธุรกิจสัมพันธ์ หรือ Relationship Manager (RM) และที่ปรึกษาการลงทุน หรือ Investment Advisors (IA) ให้คำแนะนำและคำปรึกษาแก่ลูกค้าคนสำคัญ เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถประเมินผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน และวางแผนการส่งต่อความมั่งคั่งให้กับรุ่นถัดไปได้อย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ
ผู้ที่สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติม และดาวน์โหลดรายงานความมั่งคั่งและไลฟ์สไตล์จากทั่วโลก ประจำปี 2025 “Julius Baer - Global Wealth and Lifestyle Report 2025” ได้ที่ www.juliusbaer.com/GWLR
#การเงิน

‘PSGC’ ประกาศวิสัยทัศน์มุ่งสู่บริษัทชั้นนำระดับภูมิภาคต่อยอดความแข็งแกร่งธุรกิจรับเหมาก่อสร้างครบวงจรผงาดสู่ธุรกิจทรัพยา...
24/07/2025

‘PSGC’ ประกาศวิสัยทัศน์มุ่งสู่บริษัทชั้นนำระดับภูมิภาค
ต่อยอดความแข็งแกร่งธุรกิจรับเหมาก่อสร้างครบวงจร
ผงาดสู่ธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ และธุรกิจพลังงาน สร้างการเติบโตยั่งยืน
‘พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น’ หรือ PSGC (ชื่อย่อหลักทรัพย์ PSG) ผู้นำด้านการให้บริการรับเหมาก่อสร้างแบบครบวงจร ประกาศยุทธศาสตร์เติบโตครั้งสำคัญ ขยายความแข็งแกร่งในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ไปสู่ 2 ธุรกิจที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ ธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ และธุรกิจพลังงาน กางวิสัยทัศน์มุ่งเป็นบริษัทชั้นนำระดับภูมิภาคด้านการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนและทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ตั้งเป้าหมายรายได้ต่อปีเติบโตก้าวกระโดดแตะระดับ 20,000 – 30,000ล้านบาทภายในปี 2578 เดินหน้าขยายโอกาสทางธุรกิจในกลุ่มประเทศ CLMV ควบคู่การปรับโครงสร้างทุน เพื่อเสริมสร้างฐานะทางการเงินให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
นายเดวิด แวน ดาว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PSGC (ชื่อย่อหลักทรัพย์ PSG) เปิดเผยว่า PSGC ดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้างแบบครบวงจร ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง 2 โครงการสำคัญใน สปป.ลาว ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับแผนการขยายธุรกิจ ได้แก่
1.โครงการขยายกำลังการผลิตเหมือง XPPL Phase 1 โครงการประกอบด้วยงานก่อสร้างถนน อาคารคลังสินค้า แคมป์ถาวร และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหมืองในพื้นที่ลาวใต้ มูลค่าโครงการ 239.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเทียบเท่า 8,082.23 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ชนะการประมูล) ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 มีความคืบหน้างาน 81% และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2569
2.โครงการก่อสร้างพื้นที่พัฒนาเพื่อการตั้งถิ่นฐานใหม่ Resettlement Development งานก่อสร้างเพื่อพัฒนาชุมชนใหม่และโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานสำหรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่ลาวเหนือ มูลค่าโครงการ 5,000 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 มีความคืบหน้างาน 21% และคาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2570
“ความสำเร็จในการดำเนิน 2 โครงการก่อสร้างข้างต้น สะท้อนถึงความสามารถของ PSGC ในการบริหารและดำเนินงานโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการขยายธุรกิจในหลากหลายด้าน ความสำเร็จดังกล่าวผลักดันให้บริษัทฯ กำหนดวิสัยทัศน์ ในการดำเนินธุรกิจขึ้นใหม่ คือ ก้าวสู่การเป็นบริษัทชั้นนำในการพัฒนาโครงการพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยอาศัยความเชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างในการขยายสู่ธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาของภูมิภาค” นายเดวิดกล่าว
อ้างอิงรายงานของธนาคารโลกซึ่งระบุว่าเศรษฐกิจของ สปป.ลาว ในปีที่ผ่านมาขยายตัวร้อยละ 4.1 โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากภาคพลังงาน เหมืองแร่ และเกษตรกรรม “แม้จะเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา PSGC ยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตระยะยาวของ สปป.ลาว เราให้ความสำคัญกับการลงทุนใน สปป.ลาว อย่างต่อเนื่อง และมองเห็นสัญญาณบวกจากการปฏิรูปหลายด้าน เราเชื่อว่าภายใต้การนำของคณะผู้บริหารในปัจจุบัน ประเทศจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง” นายเดวิดกล่าวเสริม
นายเดวิด กล่าวว่า ปี 2568 นี้ PSGC วางแผนขยายการเติบโตจากการก่อสร้างโครงการใหม่ 1-2 โครงการ เน้นงานที่มีมูลค่าใกล้เคียงกับโครงการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ล่าสุด บริษัทฯ มีโครงการก่อสร้างที่อยู่ระหว่างสรุปรายละเอียด 2 โครงการสำคัญใน สปป.ลาว ได้แก่
1. โครงการก่อสร้างอาคารประกอบอุปกรณ์สนับสนุนสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนเซกอง (XTPPL) ขนาด 1,800 เมกะวัตต์ งานโยธาและการติดตั้งอุปกรณ์สำหรับโรงไฟฟ้าขนาด 1,800 เมกะวัตต์ ในเมืองกะลึม แขวงเซกอง โครงการยังรวมถึงเหมืองแบบบูรณาการ และสายส่งไฟฟ้าแรงสูงขนาด 500 กิโลโวลต์ ความยาว 253 กิโลเมตร เชื่อมต่อจากโรงไฟฟ้าไปยังชายแดนลาว–กัมพูชา ทั้งนี้ ได้มีการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับ Electricité du Cambodge (EDC) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานของประเทศกัมพูชา โดยมีกำหนดการก่อสร้างตั้งแต่ไตรมาส 4/2568 ถึงไตรมาส 1/2573
2. โครงการก่อสร้างระบบลำเลียงถ่านหินและเถ้าสำหรับโรงไฟฟ้าขนาด 1,800 เมกะวัตต์ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ XTPPL โดยทำหน้าที่ขนส่งเชื้อเพลิงสำหรับโรงไฟฟ้าและบริหารการจัดการผลพลอยได้จากเถ้าถ่านที่เกิดจากกระบวนการผลิตไฟฟ้า กำหนดระยะเวลาก่อสร้างปี 2568 – ไตรมาส 1/2570
“หากบริษัทฯ สามารถคว้างานดังกล่าวสำเร็จ จะส่งผลให้ Backlog งานก่อสร้างของ PSGC เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับแผนการเติบโตของบริษัทฯ” นายเดวิดกล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ กำลังเริ่มทดลองให้บริการด้านการดำเนินงานและบริหารจัดการเหมืองใน สปป.ลาว ซึ่งเป็นรูปแบบธุรกิจใหม่ที่อยู่ระหว่างการทดสอบในพื้นที่เหมือง 2 แห่ง โดยผลการดำเนินงานเบื้องต้นเป็นที่น่าพอใจ และคาดว่าบริษัทฯ จะสามารถสรุปรูปแบบการดำเนินงานได้ภายในสิ้นปีนี้ จากข้อมูลระบุมูลค่าการผลิตแร่รวมของ สปป.ลาว ในปี 2567 มีมูลค่าสูงกว่า 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า สะท้อนถึงขนาดตลาดและโอกาสการเติบโตที่น่าสนใจ
สำหรับการเข้าสู่ธุรกิจพลังงานของ PSGC มุ่งเน้นใน 3 แนวทางยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่
1) ศึกษาความเป็นไปได้การปรับปรุงโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ (Pumped Storage Hydropower หรือ “PSH”) และได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับ Electricite du Laos (EDL) รัฐวิสาหกิจด้านสาธารณูปโภคของสปป.ลาว เพื่อปรับปรุงโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเดิมของ EDL และบริษัทในเครือให้เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำแบบสูบกลับ รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังน้ำอื่นๆ ที่ EDL อาจถือครองในอนาคต พร้อมทั้งศึกษาแนวทางการผนวกแหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม เข้าสู่ระบบโครงข่ายไฟฟ้าแห่ง สปป.ลาว เพื่อสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบโดยรวม
2) ศึกษาการผลิตพลังงานหมุนเวียนแบบผสมผสาน โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าแบบผสมผสาน (Hybrid) ที่รวมการผลิตไฟฟ้าจากระบบ PSH เข้ากับพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานหมุนเวียนรูปแบบอื่น ๆ ผลการศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นบนพื้นที่ขนาด 7,000 เฮกตาร์ในแขวงอัตตะปือ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาโซลาร์ฟาร์มขนาด 10,000 เมกะวัตต์ ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นพลังงานสูบน้ำให้กับระบบ PSH ได้
3) แสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจ และตลาดจำหน่ายไฟฟ้า บริษัทฯได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับหน่วยงานพลังงานระดับภูมิภาค เพื่อศึกษาการส่งออกพลังงานไฟฟ้าจาก สปป.ลาวไปยังประเทศกัมพูชา สิงคโปร์และจีน
“วิสัยทัศน์ระยะยาว คือการสร้างให้ PSGC ก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับภูมิภาคในธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน และก่อสร้างภายในปี 2578” นายเดวิดกล่าว “แม้ว่าบริษัทฯ จะเริ่มต้นดำเนินธุรกิจใน สปป.ลาว แต่เป้าหมาย คือ การขยายสู่ระดับภูมิภาคอย่างมั่นคง”
ด้านนางสาวสมฤดี ห์ลีละเมียร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการเงิน บริษัท พีเอสจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PSGC กล่าวว่า ปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยไตรมาส 1/2568 มีรายได้รวมกว่า 642 ล้านบาท กำไรสุทธิ 98.8 ล้านบาท และมี Backlog รอการรับรู้รายได้ถึงปี 2570 กว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมงานก่อสร้างอีก 2 โครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างสรุปรายละเอียด
เพื่อสนับสนุนการเติบโตและพัฒนาโครงสร้างทางการเงินมีความโปร่งใส ชัดเจนมากขึ้น บริษัทฯ ได้ดำเนินการรวมหุ้นและลดทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้ว ผ่านการลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ วัตถุประสงค์เพื่อล้างรายการส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้น การดำเนินการรวมหุ้นและลดทุนจดทะเบียนในรอบแรกจะแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้ มีผลให้จำนวนหุ้นของบริษัทลดลงเหลือ 16,248,109,539 หุ้น และราคาหลักทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคมที่ผ่านมา
“เมื่อกระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้น งบการเงินของเราจะสะท้อนมูลค่าและสถานะที่แท้จริงของบริษัทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักลงทุนสถาบันและกองทุนมากขึ้น” นางสาวสมฤดีกล่าว
#หุ้น

ที่อยู่

Phra Nakhon

เบอร์โทรศัพท์

+66994515503

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Outperformผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Outperform:

แชร์