Nanyangxie of Zayplay Studio

Nanyangxie of Zayplay Studio ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก Nanyangxie of Zayplay Studio, ครีเอเตอร์ดิจิทัล, Phra Nakhon.

Writer, historian, 2D animation filmmaker, digital creator, artist and founder of Zayplay Studio
สัพเพสาระว่าด้วยศิลปวิทยาในเอเชียอาคเนย์และพื้นที่คาบเกี่ยว
รับผลิตสื่อ digital media ทุกรูปแบบ (None-AI)

04/07/2025

Tasty in Diversity, an animated short film by Zayplay Studio

Once upon a time in the 'Flavour World', five martial artists represented five tastes; bitter, salty, umami, sweet and sour, participated in the fighting contest to become 'the best taste ever'. Meanwhile, the Curry Demon of spicy taste also came to the scene. Who will be the winner, which deserves to be the only taste in the 'Holy S**t Flavourful Dish' and tasted by the god?

ตัวอย่างภาพโบราณวัตถุที่สำคัญในเอเชียอาคเนย์ จาก project Zas and His-story of Southeast Asia ที่เห็นอยู่นี้เป็นแค่บางส่ว...
02/07/2025

ตัวอย่างภาพโบราณวัตถุที่สำคัญในเอเชียอาคเนย์ จาก project Zas and His-story of Southeast Asia ที่เห็นอยู่นี้เป็นแค่บางส่วนเท่านั้น

Zayplay Studio ให้ความสำคัญกับ historical accuracy ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล สถานที่ architectures, props หรือ costume ซึ่งงาน animation ไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความสำคัญ ใช้จิตนาการกับความเคยชินมากกว่าความรู้ วาดไปตามแบบที่เคยเห็นมาโดยไม่รู้ว่าถูกหรือผิด

แต่ถึงกระนั้น สิ่งที่เราไม่เคยเห็นเวอร์ชันสมบูรณ์ เช่น งานสถาปัตยกรรม ก็ยังต้องอาศัยการสันนิษฐานโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งก็ยังไม่มีข้อสรุปแน่นอนตายตัว ที่ยังไม่ได้สันนิษฐานก็มีอีกเพียบ ดังนั้นนอกจากเราต้องเลือกใช้ข้อมูลที่เป็นไปได้มากที่สุด บางครั้งก็ต้องอาศัยการสันนิษฐานจากความรู้ของตัวเองด้วย

วันนี้เอาภาพ concept art ของ project Zas and His-story of Southeast Asia มาให้ดูกันครับงานนี้เป็น animated series กำลังอ...
02/07/2025

วันนี้เอาภาพ concept art ของ project Zas and His-story of Southeast Asia มาให้ดูกันครับ

งานนี้เป็น animated series กำลังอยู่ในขั้นตอนหาทุน-พัฒนา project หลายคนที่ติดตามกันมานานอาจเห็นผ่านตากันมาบ้างแล้ว แต่ผู้เขียนยังไม่เคยเล่าให้ฟังว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรยังไง วันนี้จะมาแฉร์ให้ฟังเป็นการเรียกน้ำย่อยครับ

Zas and His-story of Southeast Asia เป็นเรื่องราวของ แซส มนุษย์ต่างดาวที่ดูคล้ายแมว ซึ่งหลบหนีการตามล่าจากเผด็จการบนดาว ZP จนบังเอิญพลัดหลงเข้าไในหลุมดำและข้ามมิติมายังเขากะลา ประเทศไทย เขาพบว่าเอเชียอาคเนย์ช่างอุดมสมบูรณ์ จึงวางแผนยึดครองโลก

แต่ก่อนอื่นเขาต้องรู้ข้อมูลและความเป็นมาของ มนุษยชาติ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปกครองโลกใบนี้อยู่ โดยเริ่มจากประวัติศาสตร์ของประเทศไทยและภูมิภาคนี้ ด้วยการเดินทางผ่านเครื่อง Simulataverse ของ จวย หุ่นยนต์ AI คู่ใจ ที่สามารถจำลองเหตุการณ์ในอดีตจากข้อมูลแวดล้อม (ไม่ใช่การย้อนอดีตเหมือนเครื่อง time machine เพื่อย้ำว่าข้อเท็จจริงและหลักฐานต่าง ๆ ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริง 100%) รวมทั้งเดินทางไปเยี่ยมชมสถานที่จริงในปัจจุบัน

แซสได้เรียนรู้เกี่ยวกับแหล่งโบราณคดี โบราณวัตถุ ประเพณี-วัฒนธรรมที่สำคัญในประเทศไทยและเอเชียอาคเนย์ ในขณะเดียวกันก็มีเรื่องราววุ่น ๆ ระหว่างหาข้อมูลไปด้วย เช่น การตามล่าจาก ซูซี สายลับดาว ZP การเผชิญหน้ากับ แก๊งเสือสามตัว แมวจรเจ้าถิ่น ภารกิจช่วยเหลือเพื่อนเหมียวชาวโลก ฯลฯ โดยที่มนุษย์ไม่ได้รับรู้ถึงแผนการยึดครองโลกของเขาแม้แต่น้อย

เนื้อหาทางประวัติศาสตร์ที่นำมาเล่าจะแบ่งออกเป็น 4 ยุคสมัยตามภาพ เพื่อให้คนดูเห็นพัฒนาการทางสังคมตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ (c. 70,000 BP - 1 CE) ยุคโบราณ (c. 1 - 1,500 CE) ยุคก่อนสมัยใหม่ (c. 1,500 - 1,800 CE) และยุคสมัยใหม่ (c. 1,800 CE - present) จะเห็นได้ว่า ยิ่งเข้าใกล้ยุคปัจจุบัน ช่วงเวลาจะยิ่งสั้น ตามปริมาณข้อมูลที่เรารับรู้มากขึ้นเป็นธรรมดา สามารถอ่านเนื้อหาโดยย่อในแต่ละยุคได้จากภาพ หรือเข้าไปดูใน website (link ใน comment)

ถ้าชื่นชอบ อยากติดตามเป็นกำลังใจให้เจ้าเหมียวดำจากต่างดาว ฝาก like ฝาก share และ comment ว่า "อยากดู" ด้วยนะครับ

หลายคนคงดู Squid Game season 3 จบกันไปแล้ว คำพูดของซองกีฮุนในตอนสุดท้ายที่ว่า "เราไม่ใช่ม้าแข่ง เราเป็นคน คนน่ะ... (ซื้ด...
30/06/2025

หลายคนคงดู Squid Game season 3 จบกันไปแล้ว คำพูดของซองกีฮุนในตอนสุดท้ายที่ว่า "เราไม่ใช่ม้าแข่ง เราเป็นคน คนน่ะ... (ซื้ดอ่าส์)" น่าจะบีบคั้นจิตใจใครหลายคนอย่างมาก รวมทั้งผู้เขียน ชวนให้นึกถึงอมตะวาจาของลี้คิมฮวงจากฤทธิ์มีดสั้น ดังนี้

"ชาติกำเนิดของคนหาได้สำคัญนักไม่ คนทั้งมิใช่สุนัข มิใช่อาชา จะต้องมีพันธุ์ดีจึงนับว่าดีได้ คนที่คิดจะเป็นบุคคลเยี่ยงไรนั้น ล้วนอยู่ที่ตัวมันเองทั้งสิ้น"

ความหมายและบริบทอาจต่างกันอยู่บ้าง แค่มีการเปรียบเปรยถึง "ม้า" เหมือนกัน แต่ก็สะท้อนมุมมองของทั้งสองตัวละครที่มีต่อมนุษย์คล้ายกัน

Squid Game จะพูดถึงการลดทอนความเป็นมนุษย์ (dehumanize) ในขณะที่ฤทธิ์มีดสั้นพูดถึง "คุณค่าของคน อยู่ที่ผลของการกระทำ" ดังนั้นในทัศนะของลี้น้อย ชีวิตของคนถ่อย ทำแต่เรื่องชั่วช้าสารเลว ย่อมไม่มีค่าแม้แต่อีแปะเดียว (เอาคอหอยมารับมีดบินไปซะ!)

36 เทียนกังแห่งคุกหลวงอยุธยาจากซ้องกั๋งถึงขุนแผน แรงบันดาลใจจาก 36 เทียนกังสู่ 36 นักโทษในวรรณคดีขุนช้างขุนแผน มุมมองใหม...
28/06/2025

36 เทียนกังแห่งคุกหลวงอยุธยา

จากซ้องกั๋งถึงขุนแผน แรงบันดาลใจจาก 36 เทียนกังสู่ 36 นักโทษในวรรณคดีขุนช้างขุนแผน มุมมองใหม่ในแง่นิยายบู๊เฮียบ ไม่ใช่แค่นิยายรักประโลมโลก

คอวรรณกรรมจีนย่อมรู้จักเรื่อง ซ้องกั๋ง หรือ 108 ผู้กล้าเขาเหลียงซาน กันดีอยู่แล้ว ชื่อภาษาจีนคือ สุยหู่จ้วน (水滸傳) แปลตรงตัวได้ว่า เรื่องปลายน้ำ หมายถึงการหลั่งไหลมารวมตัวกันของเหล่าผู้กล้า เหมือนสายน้ำหลั่งไหลมารวมกันที่เขาเหลียงซาน มันเป็นเรื่องบังเอิญหรือตั้งใจไม่ทราบได้ ในเสภาขุนช้างขุนแผนก็มีตัวละครโจร 35 คน เป็นนักโทษอาญาถูกขังอยู่ในคุกหลวง ซึ่งต่อมากลายเป็นพรรคพวกของขุนแผนและเป็นกำลังสำคัญในศึกรบเชียงใหม่ อันนี้สายน้ำหลั่งไหลมารวมตัวกันในคุกว่างั้น

ก่อนอื่นขอพูดถึงวรรณกรรมเรื่อง สุยหู่จ้วน เป็นการเกริ่นนำคร่าว ๆ เรื่องนี้มีตัวละครเอกคือ ซ้องกั๋ง หรือ ซ่งเจียง (宋江) ซึ่งมีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ ร่วมกับพรรคพวก 35 คน (รวมเป็น 36) พฤติการณ์ของซ่งเจียงและพี่น้องได้กลายเป็น folktale เรื่องผู้กล้าเขาเหลียงซาน มีการแต่งเติมสีสันให้พวกเขาเป็น 108 ดวงดาวมาเกิด อันประกอบด้วย 36 ดาวสวรรค์ หรือ เทียนกัง (天罡) และ 72 มารพิภพ หรือ ตี้ซ่า (地煞)

สำหรับสุยหู่จ้วนฉบับภาษาไทยนั้น สมเด็จเจ้าพระยาบรมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้รับสั่งให้มีการแปลขึ้นในปี ค.ศ. 1867-8 แปลจากต้นฉบับ 120 บท เพราะมีเรื่องราวตอนปราบกบฏซันโฮ้วและอองเข่งอยู่ด้วย วรรณกรรมจีน (ซึ่งมักเข้าใจกันว่าเป็น พงศาวดาร) หลายเรื่องคงเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ราษฎรมาตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ หรืออาจตั้งแต่ปลายสมัยอยุธยาแล้ว วรรณคดีไทยหลายเรื่องมีการสอดแทรกหรือนำเอาไอเดียจากวรรณกรรมจีนมาใช้ไม่น้อย ดังที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงวิจารณ์ไว้ว่า สุนทรภู่ได้ไอเดียพระอภัยมณีมีวิชาเป่าปี่มาจากเรื่องไซ่ฮั่น ตอนเตียวเหลียงเป่าขลุ่ยทำลายขวัญทหารเมืองฌ้อ หรือดังที่ปรากฏในพระราชนิพนธ์สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เรื่องคาวีบทหนึ่งว่า
..จะเข้าออกยอกย้อนผ่อนปรน
เล่ห์กลเรานี้อย่าวิตก
ทั้งพิชัยสงครามสามก๊ก
ได้เรียนไว้ในอกสาระพัด...

ดังนั้นจึงไม่แปลก หากกวีที่แต่งเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนจะได้แรงบันดาลใจเรื่องนักโทษทั้ง 35 คน (รวมขุนแผนด้วยเป็น 36 คน) มาจาก 36 เทียนกัง ในเรื่องซ้องกั๋ง ซึ่งปรากฏตัวในตอนที่ 27 เป็นต้นไป ในบทนี้ยังเผยรายชื่อไม่ครบทุกคน แต่ในตอนต่อ ๆ มาจึงสืบชื่อได้ครบทั้ง 35 ก่อนออกศึก เหล่านักโทษได้แสดงฝีมือต่อหน้าพระพันวสาเป็นการเรียกน้ำย่อย เป็นอรรถรสที่มีสีสันและสนุกสนานมาก ทำให้เราได้เห็นมิติของตัวละครแบบไพร่ ๆ ถ่อย ๆ และเป็นธรรมชาติ ขณะเดินทัพก็เมากัญชาน้ำตาเยิ้มกันเป็นนิจ ในเสภาให้รายละเอียดทั้ง 35 คนไว้ดังนี้ (อ่านบทความเต็มได้จาก link ใน comment)

จะเห็นได้ว่าวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนนี้มีความเป็น นิยายบู๊เฮียบ (武俠) สูงมาก ไม่ใช่แค่นิยายรักใคร่ประโลมโลกย์ ตามการตีความที่ dominate สังคมไทยมานานหลายทศวรรษ ตัวขุนแผนกับซ้องกั๋งนั้นมีประสบการณ์ชีวิตที่คล้ายคลึงกัน คือได้รับความอยุติธรรมจากอำนาจที่ไม่เป็นธรรมในสังคม จนต้องกลายเป็นคนเถื่อนและถูกตีตราว่าเป็นกบฏ

แม้ว่าสุดท้ายทั้งสองคนจะยอมจำนนต่ออำนาจกษัตริย์ แต่ใจความสำคัญของวรรณกรรมทั้งสองเรื่องไม่ได้สอนให้คนภักดีอย่างไม่ลืมหูลืมตา สิ่งที่มาก่อนความภักดีคือ “คุณธรรม” ช่วยเหลือคนยากไร้และให้ความเป็นธรรมแก่สังคม

ขุนแผนอาจไม่ค่อยเด่นในจุดนี้ แต่ความอหังการ์ ไม่สนหมีสนเหมือยต่ออำนาจราชสำนักในช่วงหนึ่งของชีวิต คือแรงบันดาลใจที่ทำให้พฤติการณ์ของเขากลายเป็นตำนานที่นิยมในหมู่ชาวบ้านมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ไม่ใช่แค่นักรักเจ้าชู้ บลา ๆ ๆ ตามความเข้าใจที่ตื้นเขิน

จาก “วาจาสิทธิ์” ถึง “ล้มไพร่” ศึกแห่งความหมายในสนามวาทกรรมของ “ภูตหมอกควัน”ใครที่เคยอ่านผลงานของโกวเล้ง คงคุ้นเคยกับประ...
25/06/2025

จาก “วาจาสิทธิ์” ถึง “ล้มไพร่” ศึกแห่งความหมายในสนามวาทกรรมของ “ภูตหมอกควัน”

ใครที่เคยอ่านผลงานของโกวเล้ง คงคุ้นเคยกับประโยคทำนองที่ว่า “ยอดฝีมือชิงชัย แพ้ชนะตัดสินในพริบตา” หรือ “ในมือมีดาบ ในวาจาก็มีดาบ” ผู้เขียนก็เป็นสาวกโกวเล้งคนหนึ่ง จึงได้รับอิทธิพลมาไม่น้อย และมีเรื่องแปลกอยู่อย่างคือ เวลาดูฉาก action ในหนังที่ลากยาวเกินไป มักจะหลับทุกที นี่คือความย้อนแย้งของคนที่อยากเขียนเรื่องบู๊ แต่ไม่ได้ชอบหรือหมกมุ่นกับบทบู๊ เพราะบู๊เฮียบไม่ใช่แค่เรื่องราวการต่อสู้ ประลองกระบวนท่า หาวิธีสยบคู่ต่อสู้ กว่าจะรู้ก็ยืดเยื้อยาวนานหลายตอนแบบการ์ตูนโชเน็น แต่เป็น “การประลองทางความคิด”

แรกเริ่มเดิมที ผู้เขียนไม่ได้ตั้งใจเขียน “ภูตหมอกควัน” ให้เป็นนิยายการเมืองจ๋า แต่ก็มีความคิดที่อยากถ่ายทอดอยู่แล้วบ้างเป็นธรรมดา และการสร้างตัวละครให้มีมิติ มีชีวิต ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีจุดยืน ผ่านการแสดงออก ทั้งการกระทำ ความคิด และคำพูด ยิ่งเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตาย ความคิดอ่านของตัวละครย่อมไม่ได้มีแต่เรื่องฟีลกู๊ด วันนี้จะกินอะไร มีเวลาเล่นกับแมวไหม คืนนี้ไปซั่มกับใครดี ฯลฯ

บทความนี้จะชวนผู้อ่านไปสัมผัสกับ “การชิงชัยด้วยวาจา” ที่เข้มข้นไม่แพ้บทบู๊ตระการตา จากตัวอย่างบทสนทนาในภูตหมอกควันตอนที่ 35 และ 38 พร้อมชำแหละที่มาของแนวคิด เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาววรรณกรรม ถ้าพร้อมแล้ว ไปลุยกันเลย!

------------------------------

เลิศสอดส่ายสายตาไปรอบด้านด้วยท่าทีสงบแล้วกล่าวถาม

“พวกท่านคุ้มพระพรหมเคยสำนึกเสียใจบ้างหรือไม่?”

“สำนึกเสียใจอันใด?” ท้าวมาลีวราชเลิกคิ้ว

เลิศกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“พวกท่านเสียทีมีอำนาจทั้งในราชการและวงพวกนักเลง กลับมิได้เห็นแก่ราษฎร แอบอ้างเบื้องสูง ใช้อิทธิพลข่มเหงรังแกผู้คน กอบโกยผลประโยชน์ส่วนตน ยังกล้าเรียกหาตัวเองเป็นคนดีมีศีลธรรม!”

“หมู่ตึกอิสราคบหาต่างชาติหวังชักศึกเข้าบ้าน ปลุกปั่นยุยงราษฎร สร้างความเกลียดชังต่อต้านราชสำนัก ลบหลู่เบื้องสูง ต้องทำเช่นนี้จึงเรียกว่ามีคุณธรรม!?”

“ท่านย่อมมิเข้าใจ เพราะขาดความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ คนเรามีสิทธิ์มีเสียงเท่าเทียมกัน แต่กลับมีต้นทุนไม่เท่ากัน คนที่มีมากกว่าสมควรหยิบยื่นน้ำใจ มิใช่เหยียบย่ำซ้ำเติมเอารัดเอาเปรียบ!”

ท้าวมาลีวราชพลันรู้สึกหัวเราะมิออกร้องไห้มิได้ มันเกิดเป็นไพร่ในบ้านนอกคอกนา ขณะที่เลิศเติบโตมาบนกองเงินกองทอง ผู้ใดสมควรเข้าใจหัวอกชนชั้นล่างมากกว่ากันแน่ แต่มันมิเคยเห็นด้วยกับความเท่าเทียม มันเชื่อว่าคนเราต้องใช้สติปัญญาแลกำลังความสามารถไขว่คว้าสิ่งที่ปรารถนามาด้วยตัวเอง ผู้ที่อ่อนแอคิดแต่จะแบมือขอไม่สมควรได้รับรางวัลตอบแทนอันใด ในหมู่คนยากไร้มีคนจำพวกนี้อยู่มาก ปากร่ำร้องสองมือไม่ขยับ ไหนเลยบังเกิดความเห็นใจ ไม่คิดรังเกียจเดียดฉันท์ได้ หลังจากเงียบงันอยู่ครึ่งค่อนคืนจึงกล่าวถามเลิศ

“ทราบหรือไม่ ปัญหาของเจ้าอยู่ที่ใด?”

เลิศนิ่งสงบมิตอบคำ ท้าวมาลีวราชจึงกล่าวต่อ

“เจ้าไม่ยอมรับความแตกต่างของสรรพสิ่ง จึงแยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่กระจ่าง!”

“สิ่งที่ผิดในวันนี้ อาจมิได้ผิดกระไรในวันหน้า เรื่องปกติสามัญในวันนี้ อาจมิใช่เรื่องสมควรกระทำในวันหน้าเช่นเดียวกัน ผู้คนล้วนถูกตีกรอบด้วยโลกทัศน์อันคับแคบ!”

ท้าวมาลีวราชส่ายหน้าช้า ๆ

“สิ่งที่ผิดย่อมผิดอยู่วันยังค่ำ จะอีกกี่ร้อยกี่พันปี ความลวงก็ไม่มีวันเป็นความจริง!”

เลิศแค่นหัวเราะพลางกล่าว

“น่าขำ! วาจาสิทธิ์ของท่านกลับเท็จให้เป็นจริงได้ ยังมีอันใดเป็นไปมิได้!”

- จาก ภูตหมอกควัน ตอนที่ 35 วาจาสิทธิ์

------------------------------

ฉากนี้เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่าง เลิศ ผู้นำหมู่ตึกอิสรา กับ ท้าวมาลีวราช ผู้นำคุ้มพระพรหม ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการถกเถียงเรื่องการปกครอง แต่ยังสะท้อน “มุมมองทางศีลธรรม” และ “ปมในใจ” ของแต่ละฝ่าย เชื่อว่าผู้อ่านบางท่าน ถึงไม่เคยอ่านนิยายเรื่องนี้ ก็พอเดาออกว่าตัวละครมีพื้นเพความเป็นมาอย่างไร

เลิศ เป็นตัวแทนของอุดมคติแบบเสรีนิยม ยึดมั่นในเสรีภาพ ความเท่าเทียม และเสียงของสามัญชน (จริงรึเปล่า ต้องลองอ่านดู) มีทั้งความกล้าแสดงออก และภาวะผู้นำแบบนักคิด ซึ่งทัศนะคติแบบกลับด้านนี้ (มาจากกองเงินกองทอง แต่เรียกร้องสิทธิให้ผู้อื่น) มีทฤษฎีทางจิตวิทยารองรับ เรามักพบเห็นได้ในกลุ่มนักเคลื่อนไหวหัวก้าวหน้า และประโยคที่ว่า “สิ่งที่ผิดในวันนี้ อาจมิได้ผิดกระไรในวันหน้า” สะท้อนแนวคิด constructivism ที่มองว่า ศีลธรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นและเปลี่ยนแปลงได้ (relative morality)

ท้าวมาลีวราช เป็นชนชั้นแรงงานอนุรักษนิยมที่กร้านโลก ผ่านความยากลำบาก ดิ้นรนด้วยตัวเอง จึงไม่ศรัทธาในระบบที่ให้โอกาสทุกคนเท่ากันอย่างไร้เงื่อนไข เขาเชื่อใน meritocracy (พึ่งพาโอกาสและความสามารถ) และความจริงถาวรบางประการที่มนุษย์ควรยอมรับ ดังประโยคที่ว่า “สิ่งที่ผิดย่อมผิดอยู่วันยังค่ำ” คือการเชื่อว่ามี objective evil ที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามบริบท หรือเชื่อในศีลธรรมแบบ absolute morality แต่กระนั้น เลิศยังตอบโต้ด้วยประโยค “วาจาสิทธิ์ของท่านกลับเท็จให้เป็นจริงได้” แสดงให้เห็นถึงความลักลั่นย้อนแย้งในตัวท้าวมาลีวราช ที่อาศัยอำนาจเชิง performative ของชนชั้นนำ ตามแนวคิด regime of truth ของ Michel Foucault พูดง่าย ๆ คือ ใครมีอำนาจมากพอก็สามารถนิยาม “ความจริง” ได้นั่นเอง

การปะทะวาทกรรมของสองขั้วอุดมการณ์ยังมี rematch อีกครั้ง แต่เปลี่ยนคู่สนทนา ดังนี้

------------------------------

เลิศมิเคยหวั่นเกรงศัตรูเท่าครั้งนี้มาก่อน ต้องลอบหลั่งเหงื่อกาฬพลางเอ่ยขึ้น

“อ้ายคนขี้ขลาด! ในที่สุดก็ปรากฏตัว!”

“หากเราเป็นคนขี้ขลาด ท่านก็เป็นคนขี้แพ้”

พิมเสนกล่าวตอบราบเรียบ ศึกครั้งนี้มันมีขุมกำลังเหนือกว่ามาก ไยต้องลงมือเองให้เปลืองแรง นอกกำแพงยังมีเหล่าขุนนางกับทหารบางส่วนล้อมไว้อีกชั้น ทว่ามันออกจะเสียดายอยู่บ้าง หากมิได้แวะมาสนทนากับศัตรูผู้ยิ่งใหญ่เป็นครั้งสุดท้าย

“พวกท่านหมู่ตึกอิสราเคยสำนึกเสียใจบ้างหรือไม่?”

เลิศงงงันวูบ นี่กลับเป็นคำถามเดียวกันที่มันเคยถามท้าวมาลีวราช พิมเสนมิได้อยู่ด้วยในตอนนั้น หรือมันคิดข่มขวัญอันใด ต้องแค่นเสียงย้อนถาม

“สำนึกเสียใจอันใด?”

“พวกท่านเสียทีมีกิจการมั่งคั่งมากอิทธิพล กลับสร้างข่าวลวงมอมเมาราษฎรให้หลงผิด คิดต่อต้านราชสำนัก ชักนำความวุ่นวายมาสู่แผ่นดิน นี่หรือคือแนวทางตามหลักมนุษยธรรม?”

เลิศแค่นหัวร่อแล้วกล่าวตอบ

“ไยไม่ย้อนถามตัวเองว่าสภาพบ้านเมืองเช่นนี้มันดีแล้วหรือ ชนชั้นสูงเพียงหยิบมือผูกขาดอำนาจ ชาติไพร่มิอาจโงหัวชั่วนาตาปี ผู้มีกำลังแลปัญญากลับยอมสยบต่อความอยุติธรรม ซ้ำยังกดหัวคนเห็นต่าง ตีตราเป็นพวกชั่วช้า ไม่ฟังเสียงปวงประชา หากผู้ปกครองยังมีความคิดอ่านล้าหลังเช่นนี้ ไหนเลยนำพาบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมอารยะประเทศได้”

“อ้อ ที่แท้ท่านห่วงใยบ้านเมืองถึงเพียงนี้?”

เลิศมิตอบกระไร พิมเสนกล่าวต่อไป

“ท่านอาจมีเจตนาบริสุทธิ์จริงดังว่า ทว่าวิธีการกลับผิดเพี้ยน หากเรากระทำเลียนเยี่ยงท่าน หว่านล้อมผู้คนให้คล้อยตามแล้วแอบอ้างเป็นประชามติ ท่านยินยอมพร้อมใจรับได้หรือไม่?”

“ราษฎรมิได้โง่เขลาปานนั้น!”

“มิผิด ด้วยเหตุนี้จึงมีคนอีกมากมิได้เห็นด้วยกับหมู่ตึกอิสรา หากท่านชิงชังรังเกียจคนเหล่านั้น กีดกันเป็นพวกโง่เง่า มิเท่ากับกลืนน้ำลายตัวเอง?”

“สิ่งที่เรามุ่งหวัง อย่างน้อยราษฎรยังมีโอกาสได้ตัดสินใจเลือกผู้ปกครอง มิใช่ถูกบังคับขู่เข็ญ”

พิมเสนส่ายหน้าช้า ๆ แล้วกล่าว

“เลือกได้หรือไม่ ชีวิตพวกมันก็ฝากฝังไว้ในมือผู้อื่นอยู่ดี การเมืองเรื่องอำนาจล้วนเกี่ยวพันกับความนิยม ผู้คนโดยมากไม่ยอมรับว่าถูกชักนำ ซ้ำยังหลอกตัวเองว่ามีอิสระเสรี ไหลไปตามกระแสโดยมิได้ตระหนักรู้ถึงสภาพความเป็นจริง”

“คนฉลาดล้ำเกินไปมักถูกลงโทษด้วยการถูกปกครองโดยคนโง่กว่า!”

“มิว่าโง่หรือฉลาด เราท่านล้วนตกอยู่ในวังวน มิอาจหลุดพ้นถึงนิพพานไปได้”

เลิศสูดหายใจลึก แหงนหน้ามองฟ้าด้วยท่าทีหยิ่งทะนง

“โต้เถียงกับเจ้าไปก็มิได้กระไรขึ้นมา!”

พิมเสนพยักหน้ายิ้มเล็กน้อย

“ข้อนี้เราเห็นด้วย ลำพังวาจามิอาจฉุดรั้งท่านจากปากประตูนรก เราได้แต่ส่งเสริมท่าน ผลักไสลงไปด้วยกำลังแล้ว!”

- จาก ภูตหมอกควัน ตอนที่ 38 ล้มไพร่

------------------------------

ฉากนี้เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่าง เลิศ กับ พิมเสน มือขวาของท้าวมาลีวราช ในสถานการณ์ที่สปอยล์ไปในตัวบทแล้วว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น คำถามที่พิมเสนโยนกลับมาอย่างราบเรียบ กลับทิ่มแทงยิ่งกว่าอาวุธใด ๆ ไม่ใช่แค่คำเหน็บแนม แต่เป็นการสะท้อนภาพกลับไปยังประโยคที่เลิศเคยถามท้าวมาลีวราช เพื่อพลิกฐานะ “ผู้กล่าวหา” ในตอนก่อนหน้าให้เป็น “ผู้ถูกกล่าวหา” บ้าง

พิมเสน เป็นตัวละครที่มีความคิดอ่านลึกซึ้ง ออกไปในเชิงปรัชญาการเมืองแบบ realpolitik เขาไม่ปฏิเสธว่า การเมืองคือเรื่องของอำนาจ ความนิยม และการควบคุม ส่วน เลิศ ยืนกรานในหลักการของเสรีภาพและศักดิ์ศรี แต่พิมเสนก็ท้าทายแนวคิดนี้ด้วยการตอกย้ำว่า “การเลือก” อาจเป็นแค่ภาพลวงตา สิทธิที่ปราศจากอำนาจต่อรอง ก็เป็นแค่สิทธิปลอม ๆ เท่านั้น!

ทั้งสองฝ่ายไม่ใช่แค่ “ศัตรูในวงพวกนักเลง” แต่เป็นตัวแทนของ ปรัชญาการเมืองที่ไม่อาจประนีประนอมกันได้ ดังประโยคที่ว่า “ลำพังวาจามิอาจฉุดรั้งท่านจากปากประตูนรก เราได้แต่ส่งเสริมท่าน ผลักไสลงไปด้วยกำลังแล้ว!” ซึ่งไม่ใช่แค่การปิดฉากวาทกรรม แต่เป็นประกาศศึก สะท้อนความจริงที่ว่า “มนุษย์มักคาดหวังให้การเมืองห้ำหั่นกันได้ด้วยอุดมคติ แต่สุดท้ายก็เลือกตัดสินกันด้วยกำลังอำนาจทางกายภาพอยู่ดี”

ทั้งคุ้มพระพรหมและหมู่ตึกอิสรา ไม่มีฝ่ายใดดี-เลวโดยสิ้นเชิง เพียงต่างอุดมการณ์เพราะใช้วิธีคิดคนละแบบ ซึ่งเป็นไปตาม concept “ม่านหมอกควันสีเทา” ของนิยายเรื่องนี้ บทสนทนาที่ยกมาเป็นตัวอย่างของการถกเถียงแบบ dialectic คือการโน้มน้าวฝ่ายตรงข้าม โดยการพิสูจน์ว่าเหตุผลของตัวถูกต้อง หรือพิสูจน์ว่าการให้เหตุผลของฝ่ายตรงข้ามนั้นผิด ซึ่งสุดท้ายอาจไม่ได้นำไปสู่ข้อสรุปอะไร เลยต้องใช้กำลังห้ำหั่นกันตามประสาชนชาวนักเลงฮั้นแล

การเขียนบทสนทนาลักษณะนี้ จะทำให้ผู้อ่านได้รับรู้มุมมองของทั้งสองฝ่าย ไม่ถูกยัดเยียดความคิด ไม่ใช่เพื่อให้คนอ่านตัดสินว่าใครถูกผิด แต่เป็นเหมือนกระจกสะท้อนมุมมองของผู้อ่านเอง นี่แหละคือ “พลังของวรรณกรรม”

อันที่จริง ผู้เขียนก็ไม่ได้ตั้งใจอ้างอิงทฤษฎีทางปรัชญาตามที่ยกมาอะไรตั้งแต่แรก แค่เขียนไปตาม logic ที่ควรจะเป็น ถ้อยคำบางคำมันผุดขึ้นมาในห้วงความคิด จากสิ่งที่เราเคยรับรู้มาในโลกความเป็นจริง แล้วบังเอิญสอดคล้องกับธรรมชาติของตัวละครเท่านั้น

ผู้เขียนเชื่อว่า “การสร้างเรื่องราว” ก็เหมือนการเล่นเกม Tetris ที่มีบล็อกอยู่หลายแบบ เราจะพลิกไปวางมุมไหนก็ได้ แต่ถ้าวางแล้วไม่ลงตัว มีช่องโหว่ มันก็พอกพูนไปเรื่อยจน “game over” เหมือนเรื่องราวที่แถไปเรื่อยโดยไม่มีการวางแผน ไม่กำหนด structure ซึ่งหลายคนอาจเข้าใจผิดมาจากประโยคที่ชอบพูดกันในวงการหนังสือหรือภาพยนตร์ที่ว่า “ทำให้คนอ่าน(หรือดู)รู้สึก มากกว่ารู้เรื่อง” ก็เลย improvise ไหลไปเรื่อย ซึ่งที่ถูกต้องคือ “ในฐานะผู้สร้าง เราทำงานด้วยความรู้ ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ ความรู้สึกเป็นเรื่องของผู้เสพ ซึ่งเรากำหนดผลลัพธ์แน่นอนตายตัวไม่ได้”

เสียใจด้วยที่ต้องบอกนักฝันทั้งหลายว่า “ไม่มีอะไรในการสร้างสรรค์งานศิลปะที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของคณิตศาสตร์-ฟิสิกส์” นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างของ clash ทางความคิดที่ไม่น่าจะประนีประนอมกันได้ หรือใครจะไฝว้ เข้ามาเลย!

บางครั้งผู้เขียนก็สงสัยว่า การที่คนเราชื่นชอบหนังสือเรื่องใดก็ตาม เป็นเพราะเราเข้าถึงมันจริง หรือเพราะมันเป็นผลงานการันตีโดยนักเขียนชื่อดัง แล้วเราก็ซื้ดอ่าส์ไปตามอุปาทานหมู่ ถ้าเป็นอย่างหลังก็รู้ไว้ได้เลยว่า “รสนิยมของเรากำลังถูกปั่นโดยใครบางคน” นี่ไม่ใช่ conspiracy theory เพราะพลวัตทางสังคมไม่ได้ถูกขับเคลื่อนโดยรัฐเสมอไป

สืบเนื่องจากโพสต์ก่อนหน้านี้ https://www.facebook.com/share/p/16nP3bxCBY/ขุนแผนไม่ใช่ไอดอลความเจ้าชู้ ไม่ใช่ตัวแทนของเสน...
22/06/2025

สืบเนื่องจากโพสต์ก่อนหน้านี้ https://www.facebook.com/share/p/16nP3bxCBY/

ขุนแผนไม่ใช่ไอดอลความเจ้าชู้ ไม่ใช่ตัวแทนของเสน่ห์ยาแฝด วิชาอาคม หรือไสยเวท ตามมุมมองตื้นเขินที่ dominate สังคมไทยมานานหลายศตวรรษ ตามท้องเรื่อง ทั้งชีวิตเขามีผู้หญิงแค่ 5 คน ซึ่งในบริบททางประวัติศาสตร์ถือว่าเด็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับเจ้าพระยาโกษาปานที่มีเมีย 20 คน หรือเจ้าขุนมูลนายทั่วไป

ในแง่ศีลธรรม ทำไมขุนช้างถึงได้คะแนนสงสาร ทั้งที่เป็นคนยัดเงิน corruption โป้ปด ขี้อิจฉา หักหลังสหาย และเคยคิดจะฆ่าเด็กทารก (พลายงาม) การยกขุนช้างเป็นคนดี รักเดียวใจเดียว คือกับดักทวิลักษณ์ของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งรีบตัดสินโดยไม่สนใจบริบทหรือหลักฐาน ขุนช้างเคยแต่งงานกับนางแก่นแก้ว แต่ป่วยตายไปก่อนจะหลอกเอาวันทองมาเป็นเมีย

คำว่า วันทองสองใจ เป็นวลีที่เราถูกสอนให้ท่องจำเหมือนนกแก้วนกขุนทอง ทั้งที่ในยุคโบราณ การแต่งงานใหม่เป็นเรื่องปกติ ยกตัวอย่างเช่น คุณหญิงจัน (ท้าวเทพกษัตรี) วลีนี้เป็นมุมมอง-คำตัดสินของพระพันวสา ซึ่งไม่พอใจเรื่องชาวบ้าน ทั้งที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง เพียงแค่ต้องการแสดงอำนาจของเจ้าชีวิต ไม่ใช่เพราะวันทองเป็นแบบนั้นจริง ๆ

คนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่าขุนแผนมีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ แบบที่ไม่พยายามยึดโยงกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ อาศัยความเชื่อ จินตนาการมากกว่าความรู้ อีกกลุ่มก็ปฏิเสธแบบผิวเผินด้วยอคติ หรือเพราะรำคาญความงมงาย ทั้งสองฝั่งมีปัญหาเหมือนกันคือ ไม่คิดให้ลึก ไม่ศึกษาบริบท เห็นใครนำเสนอหลักฐานใหม่ก็หัวเราะเยาะไว้ก่อน ทั้งที่รู้น้อยกว่าเขาหลายเท่าตัว

ผู้เขียนไม่ได้ยกย่องความเจ้าชู้ ไม่ได้เชิดชูชายเป็นใหญ่ แต่เพราะเห็นความกล้าที่แท้จริงในตัวขุนแผน คนที่ฟังเสียงหัวใจตัวเองมากกว่าเสียงอำนาจ ยอมติดคุก ยอมเสี่ยงตาย เพื่อทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ไม่ยอมให้โครงสร้างใดมากำกับชีวิต นั่นคือคุณค่าของวรรณคดีเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องเวทมนตร์คาถา ไม่ใช่เรื่องรักใคร่ประโลมโลกย์ ไม่ใช่แค่ความบันเทิงรสนิยมต่ำที่สื่อกระแสหลักยังผลิตซ้ำ แต่เป็นเรื่องราวของสามัญชนที่ซื่อตรงต่อหัวใจตัวเอง บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อชำแหละมายาคติเหล่านั้น ถ้าไม่อ่านบทความเต็มก็ไม่มีวันเข้าใจ

อ่านได้ที่นี่ https://zayplaystudio.blogspot.com/2025/06/blog-post_20.html

I've pointed the way out of stupidity, it's up to you to follow or not

ขุนแผนไม่ใช่แค่ตัวละครในนิทานรักสามเส้า ตามการตีความที่ครอบงำสังคมมานาน แต่อาจมีตัวตนอยู่จริงในศึกอยุ....

ขุนแผนไม่ใช่แค่ตัวละครในนิทานรักสามเส้า ตามการตีความที่ครอบงำสังคมมานาน แต่อาจมีตัวตนอยู่จริงในศึกอยุธยา–ล้านนา ผ่านร่อง...
21/06/2025

ขุนแผนไม่ใช่แค่ตัวละครในนิทานรักสามเส้า ตามการตีความที่ครอบงำสังคมมานาน แต่อาจมีตัวตนอยู่จริงในศึกอยุธยา–ล้านนา ผ่านร่องรอยจากเอกสารทางประวัติศาสตร์

ทำไมในคำให้การชาวกรุงเก่าจึงมีเรื่องราวของขุนแผน รวมทั้งตัวประกอบอย่างจมื่นศรีฯ พระพิจิตร รวมทั้งม้าสีหมอกและดาบฟ้าฟื้น แต่กลับไม่ได้กล่าวถึงเรื่องรักสามเส้า หรือขุนช้างกับวันทองเลย รวมทั้งพลายงามด้วย อาจารย์ผาสุกและคริสเชื่อว่า คำให้การชาวกรุงเก่าน่าจะได้เรื่องขุนช้างขุนแผนไปจากเสภาสำนวนกรุงเก่า

ดังนั้น โครงเรื่อง (core story) จริง ๆ ของขุนช้างขุนแผนคือ การรบเชียงใหม่ ไม่ใช่เรื่องรักสามเส้า ซึ่งเป็นเพียงส่วนเสริม ไม่ใช่สาระสำคัญในวรรณคดีเรื่องนี้

เรื่องขุนช้างขุนแผน มีเค้าโครงมาจากพฤติการณ์ของบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในสงครามอยุธยา-เชียงใหม่ และมีชื่อเสียงว่าเป็นคนดีมีวิชา (คนดีในสมัยโบราณหมายถึง คนมีดี ไม่จำเป็นต้องประพฤติดีซื้ดอ่าส์อะไร) อาจไม่ได้ชื่อ พลายแก้ว เหมือนในเสภาก็ได้ แต่ใช้ราชทินนาม แผนสะท้าน จะมียศเป็น ขุน หรืออะไรก็ได้ อนุมานจากเนื้อหาในเสภาได้ว่า สงครามอยุธยา-เชียงใหม่ที่ว่านี้เกิดขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้นราวศตวรรษที่ 15-16 หลังจากหัวเมืองเหนือ (สุโขทัย) เป็นส่วนหนึ่งของอยุธยาแล้ว เพราะเชียงใหม่ในสมัยพระนเรศเป็นต้นมาตกเป็นประเทศราชของพม่ามาจนถึงสมัยธนบุรี ไม่มีเค้าความในเสภาบ่งบอกว่าเป็นยุคดังกล่าว และในภาคปลาย ตอนพลายยงไปเกิดใหม่เป็นกษัตริย์หงสาวดีแล้วยกมาตีเชียงใหม่ ดูสอดล้องกับเหตุการณ์ที่พระเจ้าบุเรงนองตีเชียงใหม่ได้ใน ค.ศ. 1558 อีกทั้งตามท้องเรื่องในเสภา กษัตริย์อยุธยาที่ครองราชย์ต่อจากพระพันวสาคือ พระมหาจักรพรรดิ แม้ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงจินตนาการของกวี ไม่ได้ยึดโยงกับเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ แต่ก็ไม่ควรมองข้าม

สมมติว่า ขุนแผน คนนี้มีตัวตนอยู่จริง เขาได้เป็นแม่ทัพไปรบเชียงใหม่จริงหรือ อาจจริงหรือไม่จริงก็ได้ และพฤติการณ์ของเขาอาจไม่เท่อย่างที่เล่าลือกันจนกลายมาเป็นนิทาน ผู้เขียนขอเสนอหลักฐานสำคัญอีกชิ้นคือ ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ผูกที่ 4 กล่าวถึงสมัยพระเจ้าติโลกราช ซึ่งกำลังทำศึกกับอยุธยาในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ

มีเนื้อหาตอนหนึ่งกล่าวถึงคนผู้หนึ่งนามว่า หาน(หาญ)พรหมสะท้าน ไว้สั้น ๆ ว่าเป็น อุปนิกขิต (สายลับ) ไปเป็นไส้ศึกในเมืองเชียงใหม่ ซึ่งการนี้ต้องอาศัยคนที่มีวิชาเอาตัวรอดได้สูง ในขณะเดียวกันทางเชียงใหม่ก็ส่งสายลับนามว่า หานไสสูง มายังอยุธยาเช่นกัน สงครามจราชนนี้เป็น tactic ที่ทางล้านนาชอบใช้มาก เช่นเดียวกับในสมัยพญามังรายที่ส่งอ้ายฟ้าไปเป็นอุปนิกขิตในเมืองลำพูน แรก ๆ พระเจ้าติโลกราชก็หลงกลหานพรหมสะท้าน โค่นต้นนิโครธ ซึ่งเป็นไม้มงคลหลักเมือง แต่ต่อมาก็จับได้ แล้วให้โกนหัวปล่อยตัวกลับอยุธยา เพื่อให้ไปปล่อยข่าวลวงอีกต่อหนึ่ง หลังจากนั้นชื่อของ หานพรหมสะท้าน ก็ไม่ถูกกล่าวถึงอีกเลย

หานพรหมสะท้านจะกลับมาอยุธยาแล้วโม้ว่าอะไรเราก็ไม่ทราบได้ เพราะไม่ได้มีบันทึกไว้ แต่เป็นไปได้ที่ชาวบ้านจะร่ำลือถึงความเก่งกาจที่รอดชีวิตมาได้จนกลายเป็นเรื่องเล่าประเภท folk hero ต่อมาอีกหลายปี จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องราวของขุนแผนในที่สุด สุจิตต์ วงษ์เทศเคยเสนอว่า คำว่า ขุนแผน ในโองการแช่งน้ำนั้นหมายถึง พระพรหม ดังนั้นคำว่า พรหมสะท้าน อาจเป็นคำเดียวกับ แผนสะท้าน ก็ได้ แต่ทางล้านนาเรียก หาน (หาญ) ในขณะที่ทางอยุธยากล่าวว่ามียศเป็น ขุน ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงในสมัยอยุธยาตอนต้น

สมมติว่าพฤติการณ์ของขุนแผนที่มีตัวตนในประวัติศาสตร์เป็นดังที่กล่าวมานี้ แล้วเรื่องรักสามเส้ากับขุนช้างมาจากไหน ผู้เขียนค่อนข้างเชื่อว่าเนื้อหาส่วนนี้เป็นการแต่งเติมขึ้นมา เพราะโดยทั่วไป historical figure ที่กลายมาเป็น folk hero มักจะเป็นที่รู้จักก็ตอนสร้างวีรกรรมจนเกิดเป็นเรื่องราวขึ้นมา ก่อนหน้านั้นเขาเป็นใคร มาจากไหน อาจไม่เป็นที่รับรู้ เมื่อชาวบ้านคาใจกับความเป็น hero กึ่งสำเร็จรูป จึงต้องมีคำบอกเล่าเกี่ยวกับประวัติช่วงต้นขึ้นมาว่าเป็นลูกใคร เกิดที่ไหน เมียชื่ออะไร เคยทำอะไรมาบ้าง ซึ่งอาจมีทั้งเรื่องจริงและไม่จริงปะปนกัน เช่นเดียวกับกรณีพระราชประวัติพระเจ้าตากสิน

อ่านบทความเต็มได้ที่ https://zayplaystudio.blogspot.com/2025/06/blog-post_20.html

บู๊เฮียบไม่เคยตาย: ว่าด้วยแก่นแท้ของนิยายกำลังภายใน และการว่ายทวนกระแสในโลกวรรณกรรมบู๊เฮียบไม่ใช่แค่นิยายจีนต่อสู้ แต่เป...
18/06/2025

บู๊เฮียบไม่เคยตาย: ว่าด้วยแก่นแท้ของนิยายกำลังภายใน และการว่ายทวนกระแสในโลกวรรณกรรม

บู๊เฮียบไม่ใช่แค่นิยายจีนต่อสู้ แต่เป็นวรรณกรรมจริยธรรมของสามัญชน บทความนี้ชวนค้นหาว่า ในม่านหมอกควัน เราจะยืนหยัดเป็นผู้กล้าหรือปล่อยตัวเป็นฝูงปลา

เมื่อโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล การเขียนนิยายไม่ได้ถูกจำกัดแค่ในรูปแบบหนังสือ หรือลงรายตอนในนิตยสารรายสัปดาห์ นิยายจีนกลายเป็นกระแสหลักที่หลายแพลตฟอร์มต้องมี ไม่ว่าจะเป็นสายหวาน สายวาย สายต่างโลก (isekai) สืบสวน หรือแม้แต่โลกคู่ขนานในร้านคาเฟ่สไตล์จีนโบราณ บ่อยครั้งนักอ่านหน้าใหม่มักเข้าใจว่า นิยายจีน = กำลังภายใน ทั้งที่จริงแล้ว นิยายจีนนั้นมีมากมายหลายแนว ส่วนบู๊เฮียบแบบดั้งเดิมค่อย ๆ เฟดหายไปจากความนิยมของผู้คน โดยมีแนวอื่นเข้ามายึดครองพื้นที่ในสื่อกระแสหลักแทน ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง เพราะคุณค่าของนิยายประเภทนี้ไม่ได้มีแค่ความสนุกตื่นเต้นของการต่อสู้ แต่มันสะท้อนโลกทัศน์ กล่าวถึง “สามัญชน” คนธรรมดาที่ไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศ แต่สามารถฟันหินได้ดุจฟันเต้าหู้ ยืนหยัดในความถูกต้อง แม้จะอยู่ในสังคมแสนโสมม รวมทั้งให้แง่คิดเชิงปรัชญา ว่าด้วยอารมณ์ความรู้สึกพื้นฐานของมนุษย์ ทั้งความรัก ความแค้น ปณิธาน และอื่น ๆ อีกมากมาย

ซึ่งในความหลากหลายนี้ มีปรากฏการณ์ที่น่าตกใจก็คือ เรากำลังเสพทุกอย่างโดยไม่รู้ว่ากำลังเสพอะไรไปตามกระแส เหมือนฝูงปลาที่ใครโปรยอาหารไปทางไหนก็เฮโลกันไปทางนั้น โดยไม่สามารถกำหนดชะตากรรมของตัวเองได้ เพียงเพราะมันถูกเสิร์ฟมาวางตรงหน้าอยู่ทุกวัน นี่เองที่เรียกว่า อุปาทานหมู่ (massive hysteria) ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรกังวล โดยเฉพาะในโลกของวรรณกรรมและการสร้างสรรค์ ถ้าเราไม่เคยตั้งคำถามว่า สิ่งที่กำลังอินอยู่ มันคืออะไรกันแน่ เราก็อาจสูญเสียสติปัญญาอันพึงมีตามศักยภาพของมนุษย์ ไม่สามารถแยกแยะอะไรได้ เหมือนท่อน intro เพลง Stupify ของ Disturbed ที่ว่า

Yeah, bringing you another disturbing creation, from the mind of one sick animal who can't tell the difference, and gets stupefied.

อ่านบทความเต็มได้ที่
https://zayplaystudio.blogspot.com/2025/06/blog-post.html

ผู้เขียนเพิ่งมีเวลาปรับปรุง website www.zayplaystudio.com โฉมใหม่ ในนี้จะรวบรวมผลงานทั้ง original และ service พร้อมคู่มื...
07/06/2025

ผู้เขียนเพิ่งมีเวลาปรับปรุง website www.zayplaystudio.com โฉมใหม่ ในนี้จะรวบรวมผลงานทั้ง original และ service พร้อมคู่มือการว่าจ้างฉบับเข้าใจง่าย สำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าใจกระบวนการทำงาน animation & digital media นอกจากนี้ยังตั้งใจรวบรวมบทความเก่าเอาไว้ด้วย รวมทั้ง design deck ของ original project (under construction) เรียกว่าเป็นคลังข้อมูลครบวงจร ต่างกับการโพสไปวัน ๆ ใน social media (ซึ่งทุกวันนี้ไม่น่าใช้งานเลย) เชิญเข้าไปเยี่ยมชมกันบ่อย ๆ นะครับ มีทั้งแบบ desktop และ mobile อาจมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง ค่อย ๆ ปรับแก้กันไป

อ้อ ลืมบอก website เราใช้ภาษาไทยเป็นแล้วนะ หลังจากกระแดะมานาน มีให้เลือกดูทั้ง version ไทยและอังกฤษครับ

วันนี้พาแซสไปตะลุยไทยพีบีเอสมา จะรุ่งหรือร่วง อีกไม่นานรู้กัน ฝากเป็นกำลังให้เจ้าเหมียวดำจากต่างดาวด้วยนะครับ
30/05/2025

วันนี้พาแซสไปตะลุยไทยพีบีเอสมา จะรุ่งหรือร่วง อีกไม่นานรู้กัน ฝากเป็นกำลังให้เจ้าเหมียวดำจากต่างดาวด้วยนะครับ

11/05/2025

วันนี้เอาตัวอย่าง Smoking Hero Visual Novel ที่ทำค้างไว้เป็นชาติมาให้ยลกันเบา ๆ ครับ เพิ่งเสร็จไปแค่ scene เดียวจาก 32 Chapter หนทางช่างยาวไกลจนขี้เกียจ แต่ก็ทำไปเรื่อย ๆ เสร็จเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น

สำหรับคนที่ไม่รู้ visual novel ก็คือเกมที่เล่นเพื่อดูเนื้อเรื่องและสะสมภาพ CG artwork โดยทั่วไปจะมีตอนจบหลายแบบ ขึ้นอยู่กับการตอบคำถามของผู้เล่น ตอบผิดชีวิตเปลี่ยนว่างั้น

ส่วน opening animation ตัวนี้ บางคนอาจเคยเห็นผ่านตากันมาบ้างแล้วในงาน 2D See สั้น ที่ ม.ศรีปทุม เมื่อปลายปีที่แล้ว ผ่านมาเกือบ 6 เดือนก็ยังไม่มีเวลาทำต่อให้เสร็จซะที แต่ก็ทำไปเรื่อย ๆ เสร็จเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น (เช่นเคย)

ที่อยู่

Phra Nakhon

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Nanyangxie of Zayplay Studioผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Nanyangxie of Zayplay Studio:

แชร์