WatStory ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก WatStory, ครีเอเตอร์ดิจิทัล, Phra Nakhon.

🎥 Wat Story – พาเที่ยววัดลับ วัดสวยทั่วไทย
รวมวัดลึกลับ วัดกลางป่า วัดริมทะเล
ดูวัดผ่านภาพ 4K, สารคดีสั้น, เสียงพากย์ และเรื่องเล่าแบบลึกซึ้ง
📍Hidden Temples in Thailand | Temple
วัดลับ / วัดสวย / วัดแปลก / วัดกลางน้ำ
youtube.com/

23/08/2025

เคยสงสัยไหมว่า... เบื้องหลัง "วันตราดรำลึก" 23 มีนาคม มีเรื่องราวการต่อสู้ทางการทูตที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่? ร่วมย้อนรอยการตัดสินพระทัยครั้งสำคัญของรัชกาลที่ 5 ที่ทรงพิสูจน์ให้เห็นว่า "คน" มีค่าเหนือกว่า "ดินแดน" จนนำมาสู่การได้เมืองตราดกลับคืนสู่สยาม บันทึกแห่งความรักชาติครั้งนี้ คือความภาคภูมิใจของเราทุกคน

ขอเชิญเพื่อนๆ ฟังเรื่องเล่าเมืองตราดกลับคืนสู่อ้อมอกสยาม

#เมืองตราด #ตราดกลับคืนมาเป็นของสยาม #วันตราดรำลึก #ประวัติศาสตร์ไทย #รัชกาลที่5 #ร5 #พระปิยมหาราช #เกาะกง #พระตะบอง #เสียมราฐ #การเสียดินแดน #วิกฤตการณ์รศ112 #สนธิสัญญาสยามฝรั่งเศส #เรื่องเล่าจากอดีต #เที่ยวตราด

ทิพยบาลผู้นิรันดร์: ตำนานเทพอารักษ์แห่งปราสาทพนมรุ้งส่วนที่ 1: มหาเทวาลัยบนภูเขาไฟ: ที่ประทับแห่งทวยเทพณ ดินแดนอีสานใต้ ...
23/08/2025

ทิพยบาลผู้นิรันดร์: ตำนานเทพอารักษ์แห่งปราสาทพนมรุ้ง

ส่วนที่ 1: มหาเทวาลัยบนภูเขาไฟ: ที่ประทับแห่งทวยเทพ
ณ ดินแดนอีสานใต้ บนยอดภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วในจังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทพนมรุ้งตั้งตระหง่านเป็นประจักษ์พยานแห่งศรัทธาอันยิ่งใหญ่ ที่นี่มิใช่เพียงโบราณสถาน หากแต่คือจักรวาลที่ถูกจำลองขึ้นด้วยศิลา เป็นขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับบนโลกของมหาเทพพระศิวะ การเดินทางขึ้นสู่ปราสาทจึงมิใช่เพียงการไต่ระดับทางภูมิศาสตร์ แต่คือการเดินทางเชิงสัญลักษณ์ที่นำพาดวงวิญญาณของผู้แสวงบุญให้สูงขึ้นจากโลกิยภูมิสู่แดนทิพย์

ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นจากหินทรายสีชมพูและศิลาแลงอันงดงามในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15 ถึง 18 โดยได้รับการออกแบบให้เป็นภาพจำลองทางกายภาพของจักรวาลวิทยาในศาสนาฮินดู กล่าวคือ เป็นการจำลองเขาไกรลาสหรือเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นแกนกลางของจักรวาลและเป็นที่ประทับของเหล่าทวยเทพ แผนผังทั้งหมด ตั้งแต่ทางดำเนิน สะพานนาคราช ไปจนถึงปราสาทประธาน ล้วนถูกจัดวางอย่างเป็นระบบเพื่อนำผู้มาเยือนเข้าสู่การเดินทางทางจิตวิญญาณ จากโลกภายนอกอันสับสนวุ่นวายมุ่งสู่ศูนย์กลางอันศักดิ์สิทธิ์ การเลือกสร้างเทวาลัยบนยอดภูเขาไฟจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการกระทำที่มีนัยสำคัญทางเทววิทยาอย่างลึกซึ้ง ช่างขอมโบราณไม่ได้เพียงเลือกพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งแล้วประกาศให้ศักดิ์สิทธิ์ แต่พวกเขาได้มองเห็นพลังอำนาจที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ—ขุนเขาที่เกิดจากไฟและมุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า—แล้วขยายพลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วยสถาปัตยกรรมที่สะท้อนภาพจักรวาล การผสานกันระหว่างธรรมชาติและสิ่งก่อสร้างของมนุษย์ได้สร้างพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังอำนาจอย่างหาที่เปรียบมิได้

ปราสาทพนมรุ้งคือเทวสถานในลัทธิไศวนิกายที่สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระศิวะ เทพประธานที่ประดิษฐานอยู่ภายในครรภคฤหะ (ห้องศักดิ์สิทธิ์ชั้นในสุด) คือ "ศิวลึงค์" สัญลักษณ์แห่งพลังในการสร้างสรรค์และทำลายล้างของพระศิวะ ซึ่งปรากฏนามในจารึกว่า "กมรเตงชคตวนํรุง" อันหมายถึง "เทพเจ้าแห่งปราสาทพนมรุ้ง" การปรากฏของประติมากรรมรูปโคอุสุภราช หรือโคนนทิ ซึ่งเป็นเทพพาหนะของพระองค์ ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงการอุทิศเทวาลัยแห่งนี้แด่มหาเทพ

และเมื่อผู้แสวงบุญได้เดินทางผ่านเส้นทางอันยาวไกล ผ่านการชำระล้างจิตใจ จนมาถึงธรณีประตูสุดท้ายก่อนเข้าสู่เขตศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ณ ที่แห่งนั้นเอง พวกเขาจะได้เผชิญหน้าเป็นครั้งแรกกับเหล่าทวารบาล ผู้พิทักษ์ที่ยืนเฝ้าประตูอย่างเงียบงันและเป็นนิรันดร์

ส่วนที่ 2: อารักษ์แห่งธรณีประตู: บทบาทแห่งทิพยบาลในจักรวาล
คำว่า "ทวารบาล" มีความหมายตรงตัวว่า "ผู้รักษาประตู" บทบาทพื้นฐานของทวารบาลที่ปรากฏในวัฒนธรรมฮินดู พุทธ และเชน คือการพิทักษ์รักษาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้พ้นจากอำนาจชั่วร้าย สิ่งอัปมงคล และผู้ที่ไม่คู่ควร พวกเขาคือองครักษ์ทางจิตวิญญาณแห่งศาสนสถาน

ในโลกทัศน์ของขอมโบราณ หน้าที่ของทวารบาลนั้นลึกซึ้งกว่าการเป็นเพียงยามเฝ้าประตู พวกเขาคือตัวแทนแห่งพลังอำนาจของเทพเจ้าที่สถิตอยู่เบื้องหลังบานประตูนั้น รูปลักษณ์ที่น่าเกรงขามคือภาพสะท้อนของความศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาปกป้อง และยังทำหน้าที่เป็นบททดสอบทางจิตวิทยาและจิตวิญญาณแก่ผู้มาเยือน กระตุ้นให้พวกเขาเข้าใกล้ด้วยความอ่อนน้อมและจิตใจที่บริสุทธิ์

สำหรับเทวสถานในลัทธิไศวนิกายเช่นปราสาทพนมรุ้ง ทวารบาลไม่ได้เป็นเพียงรูปเคารพทั่วไป แต่เป็นคู่เทพอารักษ์ที่มีลักษณะเฉพาะและส่งเสริมซึ่งกันและกัน

อารักษ์เบื้องขวา: ตำแหน่งนี้เป็นของ นนทิเกศวร บริวารเอกของพระศิวะ ผู้เป็นตัวแทนแห่งความเมตตากรุณา ความภักดี และความยินดี ใบหน้าของท่านมักมีรอยยิ้มหรือสงบนิ่ง เพื่อต้อนรับผู้มีใจบริสุทธิ์

อารักษ์เบื้องซ้าย: ตำแหน่งนี้เป็นของ มหากาล ปางดุร้ายขององค์พระศิวะเอง ท่านเป็นตัวแทนแห่งพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวของมหาเทพ ซึ่งใช้เพื่อกำจัดความชั่วร้ายและความโอหัง ใบหน้าของท่านจะดุร้าย มีเขี้ยว และดวงตาถลน เพื่อเป็นคำเตือนอันน่าหวาดหวั่นแก่ผู้มีจิตใจไม่บริสุทธิ์

การจัดวางทวารบาลคู่นี้เป็นระบบที่ใช้ ณ ปราสาทพนมรุ้ง โดยปรากฏหลักฐานเป็นหลุมสำหรับติดตั้งประติมากรรมขนาบข้างประตูทางเข้าปราสาทประธาน ลักษณะอันเป็นขั้วตรงข้ามของทวารบาลทั้งสองนี้ไม่ใช่ความขัดแย้ง แต่คือการนำเสนอสัจธรรมอันซับซ้อนและเป็นบททดสอบทางเทววิทยา พวกเขามิได้เพียงเฝ้าประตู แต่กำลังแสดงให้เห็นถึงธรรมชาติสองด้านขององค์พระศิวะ ผู้ซึ่งเป็นทั้งโยคีผู้เปี่ยมด้วยความสงบ (เสามยะ) และเป็นผู้ทำลายล้างอันน่าเกรงขาม (อุคร) การเผชิญหน้ากับทวารบาลที่หน้าประตูจึงเปรียบเสมือนการเตรียมความพร้อมให้ผู้ศรัทธาได้ประจันหน้ากับธรรมชาติอันซับซ้อนของเทพเจ้าที่ตนกำลังจะเข้าไปนมัสการ เป็นการตั้งคำถามโดยนัยแก่ผู้มาเยือนว่า "ท่านคู่ควรที่จะพบกับพักตร์แห่งทิพยภาวะด้านใด ท่านบริสุทธิ์พอสำหรับการต้อนรับของนนทิเกศวร หรือความมัวหมองในใจท่านเรียกร้องให้ต้องชำระด้วยไฟแห่งมหากาล" ธรณีประตูทางสถาปัตยกรรมจึงถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นด่านทดสอบทางจิตวิญญาณและจิตใจไปในทันที

ส่วนที่ 3: ตำนานนนทิเกศวร: เจ้าแห่งความภักดีอันเกษมศานต์
เรื่องราวของนนทิเกศวร ทวารบาลเบื้องขวา คือมหากาพย์แห่งความภักดีอันบริสุทธิ์ (ภักติ) ท่านคือบริวาร (คณะ) ผู้ซื่อสัตย์และเป็นที่รักยิ่งของพระศิวะ เป็นหัวหน้าของเหล่าภูตคณะ และเป็นผู้เฝ้าประตูเขาไกรลาส แก่นแท้ของท่านคือการรับใช้อย่างไม่เห็นแก่ตนและความภักดีอย่างเปี่ยมสุข

ตำนานการกำเนิดของท่านนั้นทรงพลังยิ่งนัก กล่าวคือ มีฤาษีนามว่า "ศิลาทะ" ปรารถนาจะมีบุตรผู้เป็นอมตะ จึงได้บำเพ็ญตบะอย่างยิ่งยวดเพื่อบูชาพระศิวะเป็นเวลายาวนาน พระศิวะทรงพอพระทัยในความเพียร จึงประทานพรให้ตามที่ขอ และบังเกิดเด็กชายนามว่า "นนทิ" ขึ้นจากกองไฟในพิธีบูชา แต่ทว่าเหล่าเทพฤาษีได้ทำนายว่าเด็กน้อยผู้นี้จะมีอายุขัยสั้นนัก เพื่อที่จะเอาชนะโชคชะตา นนทิน้อยจึงได้เริ่มบำเพ็ญเพียรทำสมาธิถึงพระศิวะด้วยตนเอง พระศิวะทรงประจักษ์ในความภักดีอันบริสุทธิ์ของเด็กน้อย พระองค์ไม่เพียงแต่ประทานความเป็นอมตะให้ แต่ยังทรงรับนนทิไว้เป็นสหายคู่พระทัย เป็นเทพพาหนะ และเป็นผู้พิทักษ์ที่ประทับของพระองค์ตลอดกาล เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่าความภักดีที่แท้จริงนั้นสามารถอยู่เหนือแม้กระทั่งชะตากรรมที่ถูกลิขิตไว้

ในที่นี้ต้องทำความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่าง "โคนนทิ" พาหนะศักดิ์สิทธิ์ และ "นนทิเกศวร" ทวารบาลในรูปมนุษย์ ทั้งสองคือภาคปรากฏของเทพองค์เดียวกัน ในภาคของโคอุสุภราชเผือก ท่านคือผู้ทรงแบกรับเจ้าแห่งจักรวาลไว้บนหลัง ส่วนในภาคของนนทิเกศวร ท่านจะยืนเฝ้าประตูในรูปมนุษย์ โดยส่วนใหญ่มักจะอยู่ในท่าประนมมือ (อัญชลีมุทรา) อันเป็นสัญลักษณ์แห่งการนมัสการบูชาอย่างต่อเนื่อง

ตำนานเหล่านี้เชื่อมโยงโดยตรงกับบทบาทของท่านที่ปราสาทพนมรุ้ง ในฐานะทวารบาลเบื้องขวา ใบหน้าที่สงบนิ่งและเปี่ยมด้วยรอยยิ้มของท่านมิใช่สัญลักษณ์ของความอ่อนแอ แต่คือเครื่องหมายแห่งการบรรลุธรรมขั้นสูงสุด ท่านคือตัวแทนของหนทางแห่งความภักดี และมอบการต้อนรับอันอบอุ่นแก่ผู้ที่เข้าใกล้เทวสถานของพระศิวะด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์และเปี่ยมรัก การตั้งประติมากรรมของนนทิเกศวรไว้ที่ประตูจึงมิใช่เพียงเพื่อการปกป้อง แต่ยังเป็นการสอนธรรมไปในตัว ท่านคือภาพสะท้อนที่มีชีวิตของหนทางสู่ความหลุดพ้นในลัทธิไศวนิกาย เรื่องราวของท่านคือบทเรียนสำหรับผู้แสวงบุญทุกคนว่า หนทางที่จะเข้าถึงมหาเทพนั้นมิใช่ด้วยอำนาจหรือสติปัญญาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องผ่านความภักดีอันแน่วแน่และไม่เห็นแก่ตน ท่านจึงเป็นทั้งผู้พิทักษ์และปฐมคุรุที่ผู้มาเยือนจะได้รับฟังธรรมะก่อนเข้าสู่เทวาลัย

ส่วนที่ 4: ตำนานมหากาล: มหาบุรุษสีดำผู้เป็นพักตร์แห่งกาลเวลาอันน่าสะพรึง
ในทางตรงกันข้าม ตำนานของมหากาล ทวารบาลเบื้องซ้าย คือเรื่องราวอันน่าเกรงขามที่ถือกำเนิดขึ้นจากพระพิโรธของทวยเทพ เรื่องราวของท่านไม่ได้เริ่มต้นด้วยความภักดี แต่ด้วยเพลิงโทสะแห่งสวรรค์ คัมภีร์ศิวะมหาปุราณะเล่าว่า ครั้งหนึ่งพระพรหมผู้สร้างโลกเกิดความลำพองในตน ทรงโอ้อวดว่าเศียรทั้งห้าของพระองค์คือสัญลักษณ์แห่งความเป็นใหญ่เหนือทวยเทพทั้งปวง เพื่อกำราบความโอหังและนำสมดุลกลับคืนสู่จักรวาล พระศิวะจึงทรงสำแดงพระพิโรธ บันดาลให้เกิดบุรุษร่างสีดำทะมึนอันน่าสะพรึงกลัวขึ้นจากพระเนตรที่สามของพระองค์ บุรุษผู้นั้นคือ "มหากาล" หรือที่รู้จักในนาม "พระไภรวะ"

ภารกิจแรกของมหากาลคือการเด็ดเศียรที่ห้าของพระพรหมอันเป็นที่มาแห่งความโอหังด้วยปลายเล็บของพระองค์ การกระทำนี้มิใช่ความโหดร้าย แต่คือการสำแดงความยุติธรรมแห่งสวรรค์ เป็นการกำจัดความไม่สมดุลของจักรวาลให้สิ้นซาก มหากาลจึงกลายเป็นผู้รักษากฎแห่งจักรวาล ผู้ลงทัณฑ์ความอหังการแม้แต่ในหมู่ทวยเทพ

นาม "มหากาล" นั้นแปลว่า "มหากาลเวลา" หรือ "บุรุษสีดำผู้ยิ่งใหญ่" ท่านคือบุคลาธิษฐานของกาลเวลาที่ท้ายที่สุดแล้วจะกลืนกินและทำลายทุกสรรพสิ่ง ท่านมีความผูกพันกับป่าช้า ประดับร่างกายด้วยหัวกะโหลก และแวดล้อมด้วยสัญลักษณ์แห่งความตาย เพื่อเตือนให้ทุกชีวิตตระหนักถึงความไม่เที่ยงแท้ของจักรวาล ท่านเป็นพระสวามีของพระแม่มหากาลี และทั้งสองพระองค์คือตัวแทนของพลังแห่งกาลเวลาที่ไม่อาจหยุดยั้งได้

บทบาทของท่านในฐานะทวารบาลจึงเต็มไปด้วยความขัดแย้งในตัวเอง รูปลักษณ์อันน่าสะพรึงกลัวและธรรมชาติแห่งการทำลายล้างของท่านถูกนำมาใช้เพื่อการพิทักษ์รักษา ท่านไม่ได้ทำลายอย่างไม่เลือกหน้า แต่จะกำจัดเพียงความชั่วร้าย พลังงานด้านลบ และหมู่มารที่คุกคามความศักดิ์สิทธิ์ของเทวาลัย ใบหน้าที่น่าเกรงขามของท่านจึงเปรียบเสมือนโล่ที่ป้องกันความมืดมิด เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีเพียงสิ่งบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะผ่านเข้าไปสู่พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ การดำรงอยู่ของมหากาลจึงเป็นการนำเสนอแนวคิดทางเทววิทยาที่ซับซ้อนและเป็นผู้ใหญ่ ว่าความเมตตากรุณาเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอที่จะรักษาระเบียบของจักรวาล (ธรรมะ) ได้เสมอไป ความชั่วร้ายและความโอหังบางรูปแบบนั้นฝังรากลึกเกินกว่าจะแก้ไขได้ และจำเป็นต้องถูกกำจัดให้สิ้นซากด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัวทัดเทียมกัน มหากาลจึงมิใช่ความชั่วร้าย แต่ท่านคือบุคลาธิษฐานของการทำลายล้างที่จำเป็นและชอบธรรม เป็นเครื่องมือแห่งสวรรค์ที่ใช้ชำระล้างจักรวาลให้บริสุทธิ์

ส่วนที่ 5: สลักในศิลา: จากตำนานสู่งานศิลป์ ณ พนมรุ้ง
ส่วนนี้จะเชื่อมโยงเรื่องราวในตำนานเข้ากับประวัติศาสตร์ศิลปะ เพื่อวิเคราะห์ว่ามหากาพย์เหล่านี้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นประติมากรรมหินทรายที่ปราสาทพนมรุ้งได้อย่างไร รูปแบบศิลปะของทวารบาลเหล่านี้จัดอยู่ในศิลปะขอมแบบนครวัด (ครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ 17) ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านความสง่างาม ความสมดุล และการแสดงรายละเอียดของเทพเจ้าอย่างประณีต

การวิเคราะห์จะมุ่งเน้นไปที่วิธีที่ช่างศิลป์ถ่ายทอดธรรมชาติอันแตกต่างของทวารบาลทั้งสองผ่านประติมานวิทยา (Iconography)
นนทิเกศวร: การสร้างรูปของท่านจะเน้นความสงบนิ่ง ใบหน้ามีรอยยิ้มหรือสงบเยือกเย็น ท่วงท่าการยืนหรือนั่งมีความมั่นคงสมดุล เครื่องแต่งกายงดงามสมฐานะเทพบริวาร รูปทรงของท่านสื่อถึงการต้อนรับและสันติสุข

มหากาล: ประติมากรรมของท่านจะแสดงออกถึงพลังและความน่าสะพรึงกลัว ช่างจะสลักเขี้ยวที่แยกออก ดวงตาที่เบิกโพลง คิ้วที่ขมวด และร่างกายที่กำยำแข็งแรง ท่วงท่าอาจดูเคลื่อนไหวหรือคุกคาม เช่น การยกขาข้างหนึ่งขึ้น เพื่อสะท้อนบทบาทของผู้ทำลายล้างที่ไม่ประนีประนอม

ทวารบาลที่พนมรุ้งนั้นพบทั้งในอิริยาบถยืนและนั่งชันเข่า ซึ่งเพิ่มความหลากหลายให้กับการแสดงออกทางศิลปะ สิ่งสำคัญที่ผู้มาเยือนควรทราบคือ ประติมากรรมทวารบาลที่ตั้งตระหง่านเฝ้าประตูในปัจจุบันนั้นเป็นของจำลองที่สร้างขึ้นใหม่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เห็นภาพการจัดวางดั้งเดิม ส่วนประติมากรรมชิ้นจริงที่ค้นพบซึ่งมีคุณค่ามหาศาลนั้น ได้รับการเก็บรักษาไว้เพื่อการอนุรักษ์และศึกษา โดยมีชิ้นส่วนจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ

ส่วนที่ 6: นิทานสอนใจจากเขาไกรลาส: ตำนานนนทก ยักษ์ผู้หลงผิด
เพื่อให้เกิดความเข้าใจในบทบาทของทวารบาลอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เรื่องราวอีกบทหนึ่งจากวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในอุษาคเนย์ จะถูกนำมาเล่าขานเพื่อเป็นภาพสะท้อนอีกด้านหนึ่งของ "ผู้พิทักษ์"

เรื่องราวเริ่มต้นด้วย "นนทก" ยักษ์ตนหนึ่งซึ่งมีหน้าที่ล้างเท้าให้แก่เหล่าเทวดาที่เชิงเขาไกรลาสก่อนเข้าเฝ้าพระศิวะ แต่เหล่าเทวดามักจะกลั่นแกล้งนนทกอยู่เสมอด้วยการตบศีรษะและถอนเส้นผมจนกระทั่งศีรษะของเขาล้านเลี่ยน นนทกจึงเก็บความแค้นเคืองไว้ในใจ

ด้วยความคับแค้นใจ นนทกได้เข้าเฝ้าพระศิวะและทูลขอพรให้ตนมีนิ้วเพชรที่สามารถชี้ไปที่ผู้ใดแล้วผู้นั้นต้องถึงแก่ความตายได้ พระศิวะทรงเมตตาและประทานพรให้ แต่แทนที่นนทกจะใช้พลังนี้เพื่อปกป้องตนเอง เขากลับถูกความแค้นครอบงำและหลงระเริงในอำนาจ ไล่ใช้นิ้วเพชรสังหารเหล่าเทวดาและบริวารที่เคยรังแกตนจนล้มตายเป็นจำนวนมาก สร้างความเดือดร้อนไปทั่วสวรรค์

เพื่อยุติความวุ่นวาย พระนารายณ์จึงต้องอวตารแปลงกายเป็นนางอัปสรงดงามเพื่อมาปราบ นนทกเมื่อได้เห็นนางอัปสรก็หลงใหลในความงามและถูกล่อลวงให้ร่ายรำตามนาง นางอัปสรได้นำนนทกร่ายรำไปตามท่ารำแม่บทต่างๆ จนถึงท่า "นาคาม้วนหาง" ซึ่งเป็นท่าที่ต้องชี้นิ้วลงไปที่ขาของตนเอง นนทกผู้ลุ่มหลงได้รำตามและชี้นิ้วเพชรไปที่ขาของตนจนหักล้มลงในทันใด
เมื่อนนทกล้มลง นางอัปสรจึงกลับคืนสู่ร่างพระนารายณ์และเหยียบอกของนนทกไว้ ก่อนสิ้นใจ นนทกได้ตัดพ้อว่าตนพ่ายแพ้เพราะมีเพียงสองมือ แต่พระนารายณ์มีถึงสี่กร พระนารายณ์จึงได้ประกาศก้องว่า ในชาติภพต่อไป ขอให้นนทกไปเกิดเป็นพญายักษ์มีสิบเศียรยี่สิบกรนามว่า "ทศกัณฐ์" ส่วนพระองค์จะอวตารลงไปเกิดเป็นมนุษย์ธรรมดามีเพียงสองแขนชื่อว่า "พระราม" และจะตามไปปราบให้สิ้นทั้งโคตรวงศ์

ตำนานของนนทกนี้ทำหน้าที่เป็นอุทาหรณ์สอนใจที่สำคัญเมื่อนำมาเทียบเคียงกับเรื่องราวของนนทิเกศวรและมหากาล เป็นการสำรวจแก่นเรื่องของ "อำนาจ" และ "เจตนา" นนทิเกศวรได้รับพลังเพราะเจตนาของท่านคือการรับใช้อย่างบริสุทธิ์ มหากาลคืออำนาจแห่งสวรรค์ที่ใช้เพื่อความยุติธรรมของจักรวาล แต่นนทกกลับแสวงหาอำนาจเพื่อสนองความแค้นส่วนตัว เรื่องราวของเขาจึงเป็นคำเตือนอันลึกซึ้งว่า อำนาจที่ปราศจากธรรมะย่อมนำไปสู่การเป็นทรราชและความพินาศของตนเองในที่สุด ชะตากรรมของนนทกได้ตอกย้ำถึงคุณธรรมอันสูงสุดในความภักดีของนนทิเกศวร และความชอบธรรมแห่งพระพิโรธของมหากาล แสดงให้เห็นว่าในระเบียบแห่งจักรวาลนี้ "เหตุผล" ที่อยู่เบื้องหลังการใช้อำนาจนั้นสำคัญยิ่งกว่าตัวอำนาจเอง

ส่วนที่ 7: มรดกอันยั่งยืน: การเฝ้ายามชั่วนิรันดร์ของทิพยบาล
โดยสรุปแล้ว ทวารบาลแห่งปราสาทพนมรุ้งเป็นมากกว่าองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม พวกเขาคือหลักคำสอนทางเทววิทยาที่ถูกสลักเสลาไว้ในศิลา เป็นบทสรุปของโลกทัศน์ในลัทธิไศวนิกายที่มองเห็นได้ด้วยตา แสดงถึงธรรมชาติสองด้านของเทพเจ้า หนทางของผู้ภักดี และพลังอำนาจอันน่าเกรงขามที่นิยามและพิทักษ์ความศักดิ์สิทธิ์

แม้กษัตริย์ผู้สร้างเทวาลัยจะล่วงลับไปนานแล้ว และพิธีกรรมได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่เหล่าทวารบาลยังคงยืนหยัดเฝ้าอยู่ที่ตำแหน่งเดิมของตนอย่างมั่นคง พวกเขายังคงทำหน้าที่เชิงสัญลักษณ์ต่อไปสำหรับนักเดินทางและผู้แสวงบุญหลายพันคนที่เดินทางขึ้นมาสู่ยอดเขาแห่งนี้ในยุคปัจจุบัน ท้าทายให้ผู้มาเยือนได้ครุ่นคิดถึงเส้นแบ่งระหว่างโลกแห่งชีวิตประจำวันและโลกเหนือธรรมชาติ

การเฝ้ายามอันเป็นนิรันดร์นี้ได้ทำให้ปราสาทพนมรุ้งไม่เป็นเพียงโบราณสถาน แต่ยังคงเป็นสัญลักษณ์สำคัญของจังหวัดบุรีรัมย์ และเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่กำลังได้รับการพิจารณาให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงพลังอันเป็นสากลของงานศิลปะ และตำนานอันเป็นอมตะของเหล่าทิพยบาลผู้พิทักษ์แห่งขุนเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

หากคุณชื่นชอบสารคดีเชิงประวัติศาสตร์และตำนานเช่นนี้ ติดตามเรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจได้ทางช่องยูทูบ WatStory อย่าลืมกด Subscribe และกดติดตาม เพื่อไม่ให้พลาดเนื้อหาใหม่ๆ จากเรา

#ทวารบาล #ปราสาทพนมรุ้ง #ตำนานขอม #ประวัติศาสตร์ไทย #โบราณคดี #นนทิเกศวร #มหากาล #สารคดี

จากยักษ์ผู้ถูกเหยียบย่ำ สู่ผู้กุมอำนาจชี้เป็นชี้ตายด้วย 'นิ้วเพชร' พบกับเรื่องราวของ 'นนทก' ตำนานที่สอนให้รู้ว่าอำนาจที่...
18/08/2025

จากยักษ์ผู้ถูกเหยียบย่ำ สู่ผู้กุมอำนาจชี้เป็นชี้ตายด้วย 'นิ้วเพชร' พบกับเรื่องราวของ 'นนทก' ตำนานที่สอนให้รู้ว่าอำนาจที่ปราศจากธรรมะ ย่อมนำมาซึ่งโศกนาฏกรรม และเป็นปฐมบทแห่งมหากาพย์สงครามระหว่างยักษ์กับมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ติดตามรับชมคลิปวีดีโดได้ที่ 👉https://youtu.be/EMfZLlikqHg?si=2ndPtTzVt-8CGdTC

05/08/2025
ความซับซ้อนของประวัติศาสตร์ขอมและเขมรในบริบทไทยคำว่า 'ขอม' ที่เราใช้กันในภาษาไทย มีที่มาและความหมายอย่างไรกันแน่? วิดีโอ...
04/08/2025

ความซับซ้อนของประวัติศาสตร์ขอมและเขมรในบริบทไทย

คำว่า 'ขอม' ที่เราใช้กันในภาษาไทย มีที่มาและความหมายอย่างไรกันแน่? วิดีโอนี้จะพาคุณย้อนรอยประวัติศาสตร์ของคำที่เต็มไปด้วยปริศนานี้ ตั้งแต่รากศัพท์ในภาษามอญ-เขมร สู่การเปลี่ยนแปลงความหมายในแต่ละยุคสมัย และเปิดโปงเบื้องหลังวาทกรรมชาตินิยมที่พยายามแยก 'ขอม' ออกจาก 'เขมร'

ทั้งที่หลักฐานทางวิชาการยืนยันถึงความต่อเนื่องทางชาติพันธุ์และอิทธิพลทางวัฒนธรรมอันลึกซึ้งระหว่างผู้สร้างนครวัดกับชาวกัมพูชาในปัจจุบัน มาร่วมไขความกระจ่างเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและรอบด้านเกี่ยวกับคำสำคัญนี้
https://www.youtube.com/watch?v=ZS0lwInUtIw

#ขอม #เขมร #ประวัติศาสตร์ #ภาษาไทย #กัมพูชา #นครวัด #วาทกรรมชาตินิยม #อัตลักษณ์ #วัฒนธรรม #เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ความซับซ้อนของประวัติศาสตร์ขอมและเขมรในบริบทไทยเจาะลึกความซับซ้อนของคำว่า 'ขอม' ในประวัติศาสตร์ไทยและภ.....

📣 คลิป “บ้านเชียง” พร้อมให้รับชมแล้วครับ!เรื่องราวของอารยธรรมเก่าแก่ที่ยังมีอีกมากให้ค้นพบ📍รับชมได้ที่ลิงก์นี้เลย 👉 http...
31/07/2025

📣 คลิป “บ้านเชียง” พร้อมให้รับชมแล้วครับ!
เรื่องราวของอารยธรรมเก่าแก่ที่ยังมีอีกมากให้ค้นพบ
📍รับชมได้ที่ลิงก์นี้เลย 👉 https://youtu.be/H_RmSgO0dpI?si=8K0RAyzFLb41VPn6

#บ้านเชียง #ประวัติศาสตร์ไทย #มรดกโลก #อารยธรรมเอเชีย #สารคดีไทย

เจาะลึกเรื่องราวของแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี จากการค้นพบโดยบังเอิญในปี พ.ศ. 2509 สู่การเปิดเผย....

ขอขอบคุณทหารไทยทุกนาย ที่ยืนหยัดปกป้องแผ่นดิน ณ ชายแดนปราสาทตาควาย–ตาเมือนธม ด้วยหัวใจกล้าแกร่งที่สุดขอให้พี่ๆ ทุกคนปลอด...
29/07/2025

ขอขอบคุณทหารไทยทุกนาย ที่ยืนหยัดปกป้องแผ่นดิน ณ ชายแดนปราสาทตาควาย–ตาเมือนธม ด้วยหัวใจกล้าแกร่งที่สุด
ขอให้พี่ๆ ทุกคนปลอดภัย และขอส่งแรงใจไปถึงแนวหน้าเสมอ 🇹🇭 🙏🫶

ความเป็นมาของชาวขอมคำว่า “ขอม” ไม่ได้เป็นชื่อชนชาติที่มีอยู่จริง แต่เป็นชื่อที่ใช้เรียกกลุ่มคนซึ่งมีบทบาทสำคัญในประวัติศ...
28/07/2025

ความเป็นมาของชาวขอม

คำว่า “ขอม” ไม่ได้เป็นชื่อชนชาติที่มีอยู่จริง แต่เป็นชื่อที่ใช้เรียกกลุ่มคนซึ่งมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา อีสานใต้ และกัมพูชาในยุคโบราณ. เดิมที “ขอม” เป็นคำที่ใช้ระบุถึงผู้คนหรือชุมชนที่ได้รับวัฒนธรรมอินเดีย เช่น ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู หรือพุทธมหายาน มีการใช้อักษรเฉพาะและมีรูปแบบศิลปะที่โดดเด่น เช่น สถาปัตยกรรมแบบปราสาทหิน.

จุดเริ่มต้นและพัฒนาการ
- ประมาณพุทธศตวรรษที่6 (ราว1,300-1,400ปีที่แล้ว) พื้นที่แถบนี้เริ่มรวมตัวเป็น “อาณาจักรฟูนัน” กินพื้นที่ตั้งแต่ลุ่มแม่น้ำโขงตอนใต้ เวียดนามตอนใต้ ไปถึงชายแดนอีสานไทย.
- หลังฟูนันเสื่อมอำนาจ มีการสถาปนา “อาณาจักรเจนละ” และพัฒนาอารยธรรมจนถึงจุดสูงสุดในชื่อ “อาณาจักรพระนคร” (นครวัด–นครธม) ในกัมพูชา.
- ศูนย์กลางวัฒนธรรมนี้รับเอาพิธีกรรม อินเดีย ภาษาเขียนที่เรารู้จักว่า “อักษรขอม” และพัฒนาเมือง ปราสาท ศิลปกรรมขึ้นอย่างมากมาย

“ขอม” กับความหมายในประวัติศาสตร

- คำว่า “ขอม” ในอดีตใช้แทนกลุ่มที่นับถือศาสนาฮินดู–พุทธมหายาน มีอำนาจทางวัฒนธรรมและเป็นกลุ่มปกครอง ไม่ได้จำกัดเพียงกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่ง อาจพบได้ตั้งแต่มอญ เขมร ไทย ลาว ฯลฯ ที่รับวัฒนธรรมแบบเดียวกัน.
- ในจารึกสมัยสุโขทัย–ล้านนา มักเอ่ยถึงขอมว่าเป็นผู้นำอารยธรรมบางอย่าง เช่น อักษร ศิลปะ สถาปัตยกรรม[1][8].
- ต่อมาเมื่อวัฒนธรรมขอมแผ่ถึงไทยและละโว้ (ลพบุรี) ก็กลายเป็นรากฐานสำคัญของศิลปะและสังคมยุคอยุธยา.

ขอมในยุคต่อมา

- เมื่อศาสนาพุทธแบบเถรวาทเข้ามาแทนที่ การใช้คำว่า “ขอม” ในสังคมไทยเริ่มเปลี่ยนแปลง กลายเป็นคำที่ใช้อ้างถึงเขมรโบราณเฉพาะกลุ่มในกัมพูชา และถอยกลายเป็นความหมายทางวัฒนธรรมมากกว่าชนชาติ.
- ฝ่ายเขมรเองไม่เคยเรียกตนเองว่าขอม แต่ใช้คำว่า “ขะแมร์” หรือ “เขมร” มาตั้งแต่สมัยโบราณ[4].

**สรุป**
“ขอม” คือกลุ่มวัฒนธรรมโบราณซึ่งมีบทบาทสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นศูนย์กลางของอารยธรรมและศิลปกรรมที่ยิ่งใหญ่ วัฒนธรรมขอมกลายเป็นรากฐานสำคัญของหลายสังคมในภูมิภาคนี้ แม้กาลเวลาจะผ่านมา แต่ร่องรอยของขอมยังคงเห็นได้จากศิลปวัตถุ โบราณสถาน และอักษรที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน[1][2][3][6][4][5].

[1] https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%A1
[2] https://www.silpa-mag.com/history/article_94382
[3] https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%A1
[4] https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3
[5] https://www.matichonweekly.com/history-culture/article_652855
[6] https://www.thefloathouseriverkwai.com/th/kanchanaburi-blog/khmer-art-and-architect-in-thai-culture/
[7] http://www.digitalschool.club/digitalschool/social1_1_1/social1_2/more/page28.php
[8] https://www.thepeople.co/social/look-up/53293
[9] https://www.youtube.com/watch?v=gGGsraoFHTI
[10] https://www.youtube.com/watch?v=Fk9E36eKSWA
[11] https://www.planetholidaystravel.com/articles/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B9%E0%B8%8A%E0%B8%B2-%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%A1/
[12] https://so03.tci-thaijo.org/index.php/RDIBRU/article/download/128756/96771/
[13] https://www.youtube.com/watch?v=8jT4wy8nDPk
[14] https://www.dasta.or.th/th/article/296
[15] https://pantip.com/topic/38021469
[16] https://pantip.com/topic/41885256

ขอม (Khom) ตามนิยามของพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2554 คือ เขมรโบราณ[1] กลุ่มชาวขอมกลุ่มหนึ่งที่อยู่บริเวณลุ่ม....

28/07/2025

คนสยามคือใคร?

คนสยามคือกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า "สยาม" ในอดีต และตอนนี้คือประเทศไทยในปัจจุบัน โดยคำว่า "สยาม" เป็นชื่อที่คนต่างชาติและราชวงศ์ไทยใช้เรียกประเทศและกลุ่มคนในดินแดนนี้ รวมถึงกลุ่มชาติพันธุ์ไทหลายกลุ่ม เช่น ไท ลาว มอญ เขมร และอื่นๆ ที่อาศัยร่วมกันในพื้นที่นั้น ความหมายของคำว่าสยามจึงเป็นชื่อเรียกรวมของดินแดนและประชากรหลากหลายชาติพันธุ์ ไม่ใช่ชื่อเรียกชนชาติเดียวหรือกลุ่มชาติพันธุ์เดียว

ในประวัติศาสตร์ คนสยามมักพูดภาษาไท-ไตเป็นภาษากลางสื่อสารระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ และกลายเป็นกลุ่มหลักที่มีอำนาจก่อตั้งรัฐ เช่น อาณาจักรอยุธยา คนสยามในแง่ของชาติพันธุ์จึงหมายถึงกลุ่มชาติพันธุ์ไทที่มีอำนาจทางการเมืองและวัฒนธรรมในภูมิภาคนี้ มากกว่าจะเป็นคำที่กลุ่มคนเหล่านั้นใช้เรียกตัวเองโดยตรง

ต่อมาในปี พ.ศ. 2482 คำว่า "สยาม" ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "ไทย" อย่างเป็นทางการ โดยมีเจตนารมณ์เพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชนภายในประเทศ และเน้นความเป็นชาติเดียวกันมากขึ้น แม้ว่าคนในพื้นที่จะมีหลายชาติพันธุ์และภาษาพูดแตกต่างกัน

โดยสรุป

"คนสยาม" คือประชากรในดินแดนที่เรียกว่าสยาม ซึ่งรวมหลายกลุ่มชาติพันธุ์ในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ไท

เป็นคำเรียกโดยภายนอกและในบริบทของรัฐ ไม่ใช่ชื่อชนชาติเดี่ยว

มีบทบาทสำคัญทางการเมืองและวัฒนธรรมในพื้นที่นี้ก่อนจะเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นไทย

ถ้าต้องการคำอธิบายแบบง่ายๆ ก็คือ "สยาม" คือชื่อเก่าของประเทศไทยและหมายถึงกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในดินแดนนั้น ซึ่งประกอบด้วยหลายชาติพันธุ์ที่พูดภาษาไทและมีวัฒนธรรมร่วมกันในระดับหนึ่ง.

ปราสาทเขาพระวิหาร (Prasat Preah Vihear)ปราสาทเขาพระวิหาร ตั้งอยู่บนยอดผาเป้ยตาดีในเทือกเขาพนมดงรัก ที่สูงประมาณ 657 เมตร...
27/07/2025

ปราสาทเขาพระวิหาร (Prasat Preah Vihear)

ปราสาทเขาพระวิหาร ตั้งอยู่บนยอดผาเป้ยตาดีในเทือกเขาพนมดงรัก ที่สูงประมาณ 657 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และตั้งอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา

โบราณสถานแห่งนี้เป็นเทวสถานฮินดูแบบขอม สร้างขึ้นในยุคศตวรรษที่ 10‑12 ประดับด้วยศิลปกรรมบันทายศรี มีผังขนานเหนือ-ใต้ แตกต่างจากปราสาทขอมทั่วไป

แม้ว่าในปี พ.ศ. 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะตัดสินให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาทเขาพระวิหาร แต่พื้นที่โดยรอบยังคงเป็นข้อพิพาท และเป็นจุดที่สะท้อนความละเอียดอ่อนของอธิปไตยและประวัติศาสตร์ร่วมของสองชาติ

🎥 ดูวิดีโอเกี่ยวข้องบน YouTube : https://youtu.be/oEPhbqlelZM?si=vbgFcqZb2DoVtoUD

วิดีโอนี้พาคุณย้อนชมภาพปราสาทพระวิหาร ผ่านเลนส์ที่เล่าเรื่องราวเกือบพันปีของโบราณสถาน ความงดงามและบนเส้นทางที่สะท้อนประวัติศาสตร์และความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินอยู่ในปัจจุบัน

หากต้องการวิดีโออื่น ๆ เช่น ประเด็นข้อพิพาทชายแดนหรือข่าวสารล่าสุด แจ้งได้เลยครับ ผมจะหามาให้เพิ่มเติมครับ!

วิดีโอนี้ จะพาคุณเจาะลึกตั้งแต่กำเนิดตำนานขุนเขา ความเชื่อท้องถิ่น พิธีกรรมลี้ลับ ไปจนถึงปมร้อนทางการเ.....

“เปิดตำนาน ‘ปราสาทตาควาย’ ศิวลึงค์เกิดเองบนสันเขาพนมดงรักศิลปะขอมโบราณซ่อนความศักดิ์สิทธิ์บนเขาพนมดงรัก 🌄เล่าความเชื่อ ‘...
27/07/2025

“เปิดตำนาน ‘ปราสาทตาควาย’

ศิวลึงค์เกิดเองบนสันเขาพนมดงรัก
ศิลปะขอมโบราณซ่อนความศักดิ์สิทธิ์บนเขาพนมดงรัก 🌄
เล่าความเชื่อ ‘สวยัมภูลึงค์’ ศิวลึงค์ที่เชื่อว่าเกิดขึ้นเองจากธรรมชาติ ✨
ทำไมคนท้องถิ่นต้องทำพิธีสืบชะตาทุกเมษายน?
กดดูให้จบแล้วบอกเราหน่อย — คุณเชื่อพลังลึกลับของสถานที่นี้ไหม? 👀

46 likes, 3 comments. “"ฮู้จักบ่? ปราสาทตาควาย อยู่สุรินทร์บ้านเฮาเด้อ!" "ปราสาทตาควาย…อยู่ชายแดนกะยังงามคัก!" #ไทยต้องรู้ #....

ที่อยู่

Phra Nakhon

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ WatStoryผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์