04/08/2025
🔻ชีวิตระหว่างบรรทัดของเจนจิรา
“หนูว่าหนูเป็นคนไทยนะ เพราะว่าเราอ่านออกเขียนได้ แล้วก็จบปริญญาตรี ทำงานได้เหมือนคนอื่นทุกอย่างตามปกติเลย ยกเว้นรับราชการ และก็ยังเกิดที่ประเทศไทยด้วย”
เจนจิรา ดาวพระแก้ว หรือ “เจน” วัย 29 ใช้ชีวิตอยู่ในจังหวัดแพร่ พ่อของเธอเป็นชาวลาว ส่วนแม่เป็นคนไทใหญ่ ทั้งสองคนเดินทางจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทำงานในสวนยางพารา ก่อนเธอเกิดและเติบโตที่จังหวัดชุมพร เจนเริ่มต้นชีวิตวัยเด็กที่นั่น จนกระทั่งแม่ล้มป่วยและเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง เธอจำเป็นต้องย้ายมาอยู่กับป้าที่จังหวัดแพร่ และพลัดพรากกับพ่อหลังการจากไปของแม่
เธอประคองชีวิตจนจบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยของรัฐ ทว่ามีบางสิ่งที่เธอยังขาดหาย นั่นคือ “สถานะบุคคลผู้มีสัญชาติไทย”
แม้กฎหมายจะกำหนดให้บุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรและมีคุณสมบัติตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเฉพาะ มาตรา 5 และ มาตรา 17 (7) สามารถยื่นขอสัญชาติไทยได้ แต่ในทางปฏิบัติ ความซับซ้อนของบทบาทหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ห่างไกล และข้อจำกัดของระบบราชการ กลับทำให้สิทธินั้นกลายเป็นเพียงความหวังที่ยังเอื้อมไม่ถึง
ความหวังที่ (ยัง) ไม่เป็นจริง
เจนเล่าว่า เธอเริ่มกระบวนการยื่นขอสัญชาติตั้งแต่ยังเรียนอยู่ระดับชั้นประถม
“ตั้งแต่เด็ก หนูเรียน ป.3 - ป.4 เท่าที่หนูจำความได้ พ่อแม่ ผู้ใหญ่บ้าน และคุณครู พยายามช่วยกันขอสถานะให้ครอบครัวเรามาตลอด แต่มันก็ล้มเหลวทุกครั้ง จนแม่เสีย หนูหาพ่อไม่เจอ หนูย้ายมาอยู่แพร่ เรียนจบ ป.ตรี และในวันนี้หนูอายุ 29 แล้ว…”
หลายครั้งที่เธอรู้สึกท้อแท้ แต่เมื่อมองเห็นคนอื่นที่ยังลำบากกว่า เธอเลือกที่จะลุกขึ้นสู้ต่อไป
“หนูท้อ เคยคิดว่าจะไม่เอาอะไรแล้ว พอมองคนที่เค้าลำบากกว่า เราก็ต้องลองสู้มันถึงที่สุด ตอนนี้รอติดตามประกาศจากมติ ครม. รู้สึกเป็นความหวังเดียวในเวลานี้”
แม้ว่าเธอจะมีความหวังที่แน่วแน่ แต่หนทางสู่การได้รับสัญชาตินั้นกลับเต็มไปด้วยอุปสรรค เธอเคยถูกปฏิเสธจากเจ้าหน้าที่ที่ควรเป็นผู้รับผิดชอบตาม มาตรา 5, 17 (7), และ 17 (11) ของ พ.ร.บ.สัญชาติ ซึ่งกำหนดให้มีหน้าที่รับและพิจารณาโดยตรง
“ตอนหนูเรียนอยู่ปีสอง นายอำเภอบอกกับหนูว่า ’ไม่มีผู้เชี่ยวชาญการขอสัญชาติ‘ เราอยากบอกว่า มันอาจจะเป็นแค่ข้ออ้าง เพราะมันเป็นเรื่องพื้นฐานที่เขาต้องสอบเข้ามาได้ เขาต้องมีความรู้อยู่แล้ว”
ความสับสนของสถานะที่ไม่อาจเลือกได้
การขาดความเข้าใจต่อการยื่นขอสถานะบุคคลของผู้ปกครองในช่วงที่เจนยังเป็นเด็ก ทำให้เกิดข้อผิดพลาดตั้งแต่ต้นทางของกระบวนการ
“เคยมีการสำรวจที่ชุมพรครั้งหนึ่ง พ่อกับแม่ไม่รู้ว่าคืออะไรแต่เอาชื่อของหนูไปแจ้งกับเจ้าหน้าที่ ทำให้ช่วงเวลาหนึ่งหนูมีหลายสถานะ ปะปนหลายบัตร ทั้งแรงงานต่างด้าว คนพลัดถิ่น”
สิ่งนี้ขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของ มาตรา 5 และ 9 (4) ซึ่งกำหนดให้เด็กที่เกิดในประเทศไทย มีสิทธิได้รับสัญชาติหากเข้าเงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด
สิทธิพื้นฐานที่เข้าไม่ถึง
การไม่มีสถานะพลเมืองทำให้เธอเข้าไม่ถึงสิทธิที่ควรได้รับตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ๆ รวมถึงมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.สัญชาติ ที่ว่าด้วยสิทธิในการเข้าถึงสวัสดิการรักษาพยาบาล
“เขามีสิทธิพื้นฐานให้เรา 10 บาท ค่ารักษาพยาบาลทั่วไป กรณีผ่าฟันคุด แต่สุดท้ายเราก็ต้องจ่ายเองอยู่ดี”
เธอย้ำว่า สิ่งที่เรียกร้องไม่ใช่การแย่งสิทธิใคร แต่เป็นสิ่งที่ควรมีในฐานะ “คนที่เกิดและใช้ชีวิตในแผ่นดินไทย”
“เราอยากได้สิทธิพื้นฐานที่เราควรจะได้โดยที่มันไม่ได้ไปเบียดเบียนใครเลย เราไม่ได้แย่งงานจากใคร”
เส้นทางที่ไร้จุดหมาย
แม้จะมีความรู้ทางกฎหมายและเตรียมเอกสารครบถ้วนทุกอย่างเมื่อเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย แต่ระบบราชการก็ยังไม่เปิดทางให้
“เราได้เรียนรู้เรื่องกฎหมายมากขึ้น เพราะว่าเราเรียนรัฐศาสตร์ ตอนนั้นเราเป็นแกนนำกับพี่แอน (กลุ่มพลังโจ๋) ทำงานช่วยเหลือเยาวชนกลุ่มเปราะบาง เรามีโอกาสได้เรียนรู้และเจอคนแนะนำมากขึ้น เลยรู้ว่าถ้าอยากได้สัญชาติ เราต้องเตรียมอะไรบ้าง หนูเตรียมครบทั้งหมดเลย แต่พอไปขอจริงมันไม่ได้อย่างที่หวัง”
อนาคตที่ถูกปิดกั้น
การถูกกีดกันออกจากโอกาสเล็ก ๆ ในโรงเรียน สะท้อนถึงการถูกทำให้ไร้ตัวตนในระดับโครงสร้าง โดยเฉพาะสิทธิในการศึกษา ซึ่งระบุไว้ใน มาตรา 5 และ 8 ของ พ.ร.บ.สัญชาติ และในรัฐธรรมนูญไทยเอง
“เวลามีคนจากมหาวิทยาลัยมาแนะแนว เราก็เป็นหนึ่งในที่เขาไม่ให้เข้าไปฟังแนะแนว เพราะว่าเขากลัวเราเสียใจ”
“ก็ต้องขอบคุณเขา แต่เป้าหมายของเด็กหลาย ๆ คนก็อยากจะรู้แหละว่า ต่อไปเราจะมีทางเลือกอะไรได้บ้าง”
สัญชาติและอนาคตของชาติ
เจนไม่มองว่าสัญชาติคือจุดสิ้นสุดของการต่อสู้ แต่คือประตูบานหนึ่งสู่อนาคต และหากเปิดบานประตูนี้ ให้กับคนที่เกิดและเติบโตในประเทศ การพัฒนาก็อาจเป็นผลพลอยได้ที่รัฐมองข้าม
“สำหรับเจ้าหน้าที่ที่ทำเรื่องสัญชาติ คิดว่าบางครั้งไม่ต้องพิจารณาก็ได้นะ คือคนที่ไปขอสัญชาติเขาไม่ได้ทำให้ประเทศล่มจม การที่เขาพยายามขอสัญชาติอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พัฒนาชาติให้ดีขึ้นก็ได้”
“มันไม่ได้มีแค่คนที่เป็นแรงงานอยากไปขอสัญชาติเพื่อให้เป็นคนไทยเท่านั้น แต่ยังมีเด็กบางคนที่เขารอการได้สัญชาติเพื่อที่เขาจะได้มีอนาคตที่ดี และตอบแทนกลับให้ประเทศ”
”เราเคยมีความฝันอยากสอบเข้ารับราชการเป็นครูศิลปะ แต่มันก็เป็นไม่ได้ มันไปต่อไม่ได้“
ถึงอย่างนั้นทุกวันนี้เจนก็ยังได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เธอรับงานสอนพิเศษศิลปะให้เด็กระดับชั้นอนุบาลถึงประถม ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และทำงานวาดภาพจิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์
เรื่องราวของเจนคือภาพสะท้อนของช่องว่างระหว่าง “หลักกฎหมาย” กับ “การปฏิบัติ” ที่ยังไม่อาจเติมเต็ม แม้เธอจะเกิดและเติบโตในประเทศไทย อ่านออกเขียนได้ ร่ำเรียนจนจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และประกอบอาชีพสุจริตไม่ต่างจากพลเมืองทั่วไป แต่กลับยังไม่มีสิทธิในฐานะ “คนไทย” อย่างสมบูรณ์ตามกฎหมาย
ปัจจุบันเจนจิรา ได้ยื่นเอกสารคำร้องขอสัญชาติไทยอีกครั้ง ณ ที่ว่าการอำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ หลังจากวันที่ 30 มิถุนายนที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้ประกาศหลักเกณฑ์การเร่งรัด เพื่อแก้ปัญหาประชากรไร้รัฐไร้สัญชาติ ประมาณ 480,000 คน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 29 ตุลาคม 2567 สามารถยื่นคำขอสถานะต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายและสัญชาติไทยได้ที่สำนักเขต และที่ว่าการอำเภออำเภอทั่วประเทศ โดยกระบวนการนี้จะใช้เวลาดำเนินการเพียง 5 วัน จากเดิมที่ใช้เวลา 180 วัน สำหรับการยื่นขอสัญชาติไทย และ 270 วัน สำหรับการขอสถานะต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย
บทสัมภาษณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการสื่อสารเพื่อลดอคติทางชาติพันธุ์ ในชื่อ Find the Tune - ตามหาเสียงที่ไม่เคยถูกรับฟัง ได้รับการสนับสนุนจาก ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร - SAC
#จังหวัดแพร่
#สัญชาติไทย
#อคติทางชาติพันธุ์