คู่รักการเดินทาง

คู่รักการเดินทาง บันทึกการเดินทางท่องเที่ยวแสวงบุญ​ในรูปแบบของเราตามสถานที่สำคัญต่างๆบนโลกใบนี้

https://www.youtube.com/

วันที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘  รำลึกวาระครบรอบ ๕๘ ปี แห่ง การเปิด "สะพานสารสิน" เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๑๐...
10/07/2025

วันที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ รำลึกวาระครบรอบ ๕๘ ปี แห่ง การเปิด "สะพานสารสิน" เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๑๐

"สะพานสารสิน" เป็นสะพานที่เชื่อมระหว่าง จังหวัดพังงา กับ จังหวัดภูเก็ต เป็น "สะพานแรกที่มีการสร้างเพื่อข้ามจาก จังหวัดพังงา ไป จังหวัดภูเก็ต เชื่อมต่อระหว่าง บ้านท่าฉัตรไชยของจังหวัดภูเก็ต และ บ้านท่านุ่นของจังหวัดพังงา โดย ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๒ มีความยาวทั้งหมด ๖๖๐ เมตร" เริ่มเปิดใช้เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๑๐

สะพานแห่งนี้ตั้งชื่อตามนามสกุลของ "นายพจน์ สารสิน" ซึ่งขณะนั้น ดำรงตำแหน่ง "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ" เริ่มสร้างครั้งแรก ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๙๔ โดยเปิดให้บริษัทรับเหมาก่อสร้าง แต่ปรากฏว่า การก่อสร้างในระยะเริ่มต้นมีปัญหาเพราะความไม่ชำนาญการ

ต่อมา ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๘ จึงได้เริ่มลงมือก่อสร้างอีกครั้งโดย บริษัท Cristiani & Nelson (Thailand) Ltd. จนสำเร็จสามารถเปิดใช้การได้ใน วันที่ ๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๑๐ ใช้งบประมาณทั้งหมด ๒๘,๗๗๐,๐๐๐ บาท

สะพานสารสิน มีความยาวทั้งหมด ๖๖๐ เมตร เป็นทางผิวคอนกรีต ๓๖๐ เมตร ตัวสะพานคอนกรีตอัดแรงยาว ๓๐๐ เมตร กว้าง ๑๑ เมตร เป็นทางรถวิ่งกว้าง ๘ เมตร ทางเท้าข้างละ ๑.๕ เมตร รับผิดชอบดูแลโดย กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม

#ตำนานความรักสะพานสารสิน
สะพานสารสิน เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเป็นสถานที่ที่เป็นตำนานความรักของหนุ่มสาวสองคนที่ไม่สมหวัง คือ โกดำ (ดำ แซ่ตัน) กับ กิ๋ว (กาญจนา แซ่หงอ) ที่มีความแตกต่างกันทางฐานะ ด้วยโกดำเป็นเพียงคนขับรถสองแถวรับจ้าง และ รับจ้างกรีดยาง ขณะที่กิ๋วมีฐานะที่ดีกว่า และ เป็นนักศึกษาวิทยาลัยครู โดยที่ผู้ใหญ่ทางบ้านของกิ๋วได้กีดกัน ทั้งสองได้คบหากัน ในที่สุดทั้งคู่จึงตัดสินใจกระโดดน้ำตายที่ "กลางสะพานสารสิน" ด้วยการใช้ผ้าขาวม้ามัดตัวทั้งสองไว้ด้วยกัน เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๑๖ ซึ่งเรื่องราวความรักของทั้งคู่โด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วจังหวัดภูเก็ต

วันที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ขอนอบน้อมกราบสักการะอาจาริยบูชาด้วยเศียร​เกล้า​ เนื่องในวาระโอกาสครบรอบ ๓๒ ปี มรณกาล​ พ...
10/07/2025

วันที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ขอนอบน้อมกราบสักการะอาจาริยบูชาด้วยเศียร​เกล้า​ เนื่องในวาระโอกาสครบรอบ ๓๒ ปี มรณกาล​ พระเดชพระคุณ หลวงพ่อเจ้าคุณ "พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินฺทปญฺโญ)" หรือ รู้จักในนาม "พุทธทาสภิกขุ" พระอริยสงฆ์แห่งสวนโมกขพลาราม ได้ละสังขารอย่างสงบ ณ สวนโมกขพลาราม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช​ ๒๕๓๖ ตรงกับ วันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีระกา​ เวลา ๑๑.๒๐ น.
สิริอายุ ๘๗ ปี พรรษา ๖๗

๏ ชาติภูมิ
หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ นามเดิม "เงื่อม พานิช" เป็นชาวอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช​ ๒๔๔๙ ตรงกับ วันขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเมีย

๏ อุปสมบท
เริ่มบวชเรียนเมื่ออายุได้ ๒๐ ปี หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุได้บวชเรียนตามประเพณี เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พุทธศักราช​ ๒๔๖๙​ ณ อุโบสถ วัดอุบล หรือ​ วัดนอก
พระอุปัชฌาย์คือ "พระครูโสภณเจตสิการาม (คง วิมาโล)" รองเจ้าคณะเมืองสุราษฎร์ธานี ในสมัยนั้น
พระกรรมวาจาจารย์คือ "พระปลัดทุ่ม อินฺทโชโต" เจ้าอาวาสวัดอุบล
พระอนุสาวนาจารย์คือ "พระครูศักดิ์ ธมฺมรกฺขิตฺโต" เจ้าอาวาสวัดวินัย หรือ​ วัดหัวคู (อำเภอไชยา)
ได้รับฉายาว่า
"อินฺทปญฺโญ" แปลว่า "ผู้มีปัญญาอันยิ่งใหญ่"

๏ การศึกษา
หลวงพ่อพุทธทาส​ภิกขุ​ ได้เข้ามาศึกษาพระธรรมวินัยต่อที่ กรุงเทพมหานคร จนสอบได้ เปรียญธรรม ๓ ประโยค

หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ ใคร่ครวญพิจารณาว่า "สังคมพระพุทธศาสนาแบบที่เป็นอยู่ในขณะนั้น แปดเปื้อนเบือนบิดไปมาก และ​ ไม่อาจทำให้เข้าถึงหัวใจของศาสนาพุทธได้เลย ท่านจึงตัดสินใจหันหลังกลับมาปฏิบัติธรรม ที่ อำเภอไชยา จังหวัด​สุราษฎร์ธานี" ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมของท่านอีกครั้ง พร้อมปวารณาตนเองเป็น

" #พุทธทาส"

เนื่องจากต้องการ "ถวายตัวรับใช้พระพุทธศาสนาให้ถึงที่สุด"

๏ ผลงานการเผยแผ่ธรรม
คำสอนอันโดดเด่นของท่านคือ เรื่อง "การปล่อยวาง"

ผลงานอันโดดเด่นยิ่งใหญ่ของท่านคือ
🔸งานนิพนธ์ชุด "ธรรมโฆษณ์"
🔸ตามรอยพระอรหันต์
🔸คู่มือมนุษย์​ และ
🔸ผลงานนิพนธ์อีกไม่น้อยกว่า ๓๕๐ เล่ม

"หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ​" เป็น "พระภิกษุไทยรูปแรก ที่บุกเบิกการใช้โสตทัศนูปกรณ์สมัยใหม่ สำหรับการเผยแพร่ธรรมะ"

๏ สมณศักดิ์
หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น
🔸พระครูสัญญาบัตรที่
"พระครูอินทปัญญาจารย์"
เมื่อปีพุทธศักราช​ ๒๔๘๙
🔸พระราชาคณะชั้นสามัญที่
"พระอริยนันทมุนี"
เมื่อปีพุทธศักราช​ ๒๔๙๓
🔸พระราชาคณะชั้นราชที่
"พระราชชัยกวี สมาธินทรีย์คณาธิปัตย์ โมกขพลวัตรธรรมสุนทร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี"
เมื่อปีพุทธศักราช​ ๒๕๐๐
🔸พระราชาคณะชั้นเทพที่
"พระเทพวิสุทธิเมธี ศรีภาวนาจารย์ สุนทรญาณพิสิฏฐ์ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี"
เมื่อปีพุทธศักราช​ ๒๕๑๔
🔸พระราชาคณะชั้นธรรมที่
"พระธรรมโกษาจารย์ สุนทรญาณดิลก ตรีปิฎกธรรมภูสิต ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี"
เมื่อปีพุทธศักราช​ ๒๕๓๐ ตามลำดับ

๏ ได้รับการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ ได้รับการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ในสาขาต่าง ๆ จากสถาบันต่าง ๆ ดังนี้
- วันที่ ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช​ ๒๕๒๒ ได้รับการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ในสาขา "พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์" จาก มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย,
- วันที่ ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช​ ๒๕๒๘ ได้รับการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ในสาขา "อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาปรัชญาและศาสนา" จาก มหาวิทยาลัยศิลปากร,
- วันที่ ๓ ธันวาคม​ พุทธศักราช​ ๒๕๒๘ ได้รับการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ในสาขา "ศึกษาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์" จาก มหาวิทยาลัยรามคำแหง,
- วันที่ ๑ กุมภาพันธ์​ พุทธศักราช​ ๒๕๓๐ ได้รับการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ในสาขา "ครุศาสตร์" จาก มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์,
- วันที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช​ ๒๕๓๐ ได้รับการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ในสาขา "ปรัชญา" จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- วันที่ ๙ กุมภาพันธ์​ พุทธศักราช​ ๒๕๓๓ ได้รับการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ในสาขา "พัฒนศึกษาศาสตร์" จาก
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
- วันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์​ พุทธศักราช​ ๒๕๓๖ ได้รับการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ในสาขา "ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์" จาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

๏ ได้รับการยกย่อง​
นอกจากนี้ "หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ" ยังได้รับการยกย่องจากองค์กรต่าง ๆ ดังนี้

- พุทธศักราช​ ๒๕๐๘ หนังสือ "แก่นพุทธศาสน์" ได้รับรางวัลชนะเลิศ หนังสือดี ประจำปี พุทธศักราช ๒๕๐๘ จาก​ องค์การยูเนสโก

- พุทธศักราช​ ๒๕๒๗ ได้รับคัดเลือกเป็น

"บุคคลผู้ทำประโยชน์ฝ่ายบรรพชิต"

เนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี" ได้รับรางวัลเป็น "สัญลักษณ์เสาอโศก" และ เงินสดจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท

- พุทธศักราช​ ๒๕๓๗ คุรุสภาประกาศยกย่องเชิดชูว่า
" #หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ​"
เป็น

"ผู้ทำคุณประโยชน์อย่างสูงยิ่งต่อการศึกษาชาติ"

เนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี กระทรวงศึกษาธิการ

- วันที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช​ ๒๕๔๘ องค์การยูเนสโก ประกาศยกย่องให้ "หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ" เป็น

"บุคคลสำคัญของโลก ด้านส่งเสริมขันติธรรม สันติธรรม วัฒนธรรม ความสัมพันธ์ และ ความเข้าใจอันดีของมวลมนุษย์"

- ปีพุทธศักราช​ ๒๕๔๙ รัฐบาลไทย รวมทั้งหน่วยงานต่าง ๆ ได้พร้อมใจกันจัดกิจกรรมทางธรรมะ เนื่องในโอกาสรำลึกครบรอบ ๑๐๐ ปี ชาตกาล ท่านพุทธทาสภิกขุ

ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ "หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ" ได้รับการสดุดีว่าเป็น

"มหาปราชญ์แห่งพุทธธรรม ทางบูรพาทิศ"

ที่มีเกียรติคุณไม่น้อยไปกว่า

"ท่านนาคารชุน ปราชญ์ใหญ่ฝ่ายมหายานในอดีต"

ปัญญาชนทั้งไทยและต่างประเทศถือว่า

"หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ เป็น นักปฏิรูปพระพุทธศาสนาที่สำคัญที่สุดรูปหนึ่งของเมืองไทย"

๏ มรณภาพ
เช้าวันอังคาร​ที่ ๒๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๖ หลวงพ่อพุทธทาสตื่นตามปกติ ประมาณ ๐๔.๐๐ น. จากนั้นก็ลุกขึ้นมานั่ง เตรียมงานเทศน์ ในวันเลิกอายุ วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ พฤษภาคม แต่ทำไปได้เพียง ๑๐ นาที ท่านก็ล้มตัวลงนอน และ พูดกับพระอุปัฏฐากคือ "พระสิงห์ทอง" ว่า
"ทอง วันนี้เรารู้สึกไม่สบาย" หลังจากนั้น ได้ฉันยาหอมแล้วก็นอนต่อ

ประมาณ ๐๖.๐๐ น. ท่านบอกพระสิงห์ทอง ว่า
"วันนี้ เรารู้สึกไม่ค่อยสบาย ไปตามท่านโพธิ์​ (เจ้าอาวาสสวนโมกข์) มาพบที เธอไม่ต้องไป ให้คนอื่นไปตาม เพราะเราไม่สบาย"

เมื่อท่านอาจารย์โพธิ์มาถึง ท่านพูดด้วยน้ำเสียงปกติว่า
"น่ากลัวอาการเดิม จะกลับมาเป็นอีกแล้ว ไปโทรศัพท์ตาม​ ยูร (นพ. ประยูร คงวิเชียรวัฒนะ) มาพบที"

ตอนนั้นท่านรู้แล้วอะไรจะเกิดขึ้นกับท่าน จึงพูดกับพระเลขานุการคือ "พระพรเทพ" ว่า
"เอากุญแจ (กุญแจตู้เอกสารหนังสือ) ในกระเป๋านี้ไปด้วย เราไม่อยากจะตาย คากุญแจ"

ตอนนั้น พระพรเทพ ไม่คิดว่า "ท่านจะเป็นอะไรมาก จึงช่วยกันนวดแล้ว ให้ท่านนอนพัก"

ประมาณ ๐๘.๐๐ น. ท่านก็พูดกับพระสิงห์ทองว่า...
"ทอง ทอง เราจะพูด ไม่ได้แล้ว ลิ้นมันแข็งไปหมดแล้ว"

ต่อจากนั้น ท่านพูดไม่ชัด เมื่อพระอาจารย์โพธิ์มาพบท่าน ท่านพยายามพูดกับพระอาจารย์โพธิ์ ประมาณ ๔-๕ ช่วง คล้ายจะสั่งเสีย แต่ไม่มีใครฟังออก จับความไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง เนื่องจาก "เส้นเลือดในสมองแตก" ทำให้สมองที่ควบคุมการพูดเสียไป

เมื่อพระแสดงปฏิกิริยาว่า "รับรู้ไม่ได้ ท่านก็หยุดพูด" จากนั้น ท่านก็สาธยายธรรม ซึ่งพระองค์อื่น ก็ฟังไม่ออก

แต่ท่านพระอาจารย์โพธิ์ พอจับความในช่วงที่สั้น ๆ ว่า…

ยตฺถ เนว ปฐวี น อาโป น เตโช น วาโย ,

ว่านี้คือ " นิพพานสูตร " หลวงพ่อพุทธ​ทาส​ สาธยาย ทบทวนไป ทบทวนมา หลายครั้ง

หลังจากนั้น ท่านก็ไม่รู้ตัว แพทย์จึงนำท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ และ ในที่สุดก็นำท่านไปที่โรงพยาบาลศิริราช

ทุกคนรู้ว่า "การทำดังกล่าวเป็นการขัดความประสงค์ของท่าน แต่ก็จำยอมต้องทำเพื่อเชื่อว่า จะช่วยให้ท่านหายได้"

แต่หลังจากใช้ความพยายามเต็มที่กว่า ๔๐ วันก็ยอมรับความล้มเหลว

ในที่สุด จึงพาท่านกลับมายังสวนโมกข์​ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช​ ๒๕๓๖ เวลาประมาณ ๑๐.๓๐ น.
คณะศิษยานุศิษย์ นิมนต์หลวงพ่อพุทธทาส จากโรงพยาบาล​ศิริราช กลับสู่สวนโมกข์ พร้อมคณะแพทย์ที่เฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด "ไม่กี่นาทีที่ท่านถึงสวนโมกข์ ท่านก็หมดลมหายใจ"

พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณ "พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินฺทปญฺโญ)" หรือ "หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ" ได้ละสังขารอย่างสงบ ณ สวนโมกขพลาราม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช​ ๒๕๓๖ ตรงกับ วันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีระกา เวลา ๑๑.๒๐ น.
สิริอายุ ๘๗ ปี ๑ เดือน ๑๑ วัน พรรษา ๖๗

ข้าพเจ้าไม่มีมรดกอะไร
ที่จะฝากไว้กับ เพื่อนพุทธบริษัท ผู้เป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งหลาย นอกจาก สิ่งที่ระบุไว้
ในข้อความข้างล่างนี้ ด้วยความหวังว่า

"ถ้ายังมีการ สืบมรดกนี้ อยู่เพียงใด กิจกรรม สวนโมกขพลาราม ก็จะยังคงมีอยู่ ตลอดกาลนาน เพียงนั้น และ "พุทธทาส" ก็จะยังคงมีอยู่ในสถานที่นั้น ๆ ตลอดกาล เพียงนั้น"

กดรับมรดก
https://www.facebook.com/buddhadasaarchives/videos/230035354558481/?vh=e

คงเหลือไว้แต่ผลงานที่ทรงคุณค่าแทนตัวท่านให้อนุชนคนรุ่นหลังได้สืบสานปณิธานของท่านรับมรดกความเป็น "พุทธทาสภิกขุ" เพื่อ "พุทธทาส" จะได้ไม่ตายไปจาก "พระพุทธศาสนา" ดังบทประพันธ์ของท่านที่ว่า

พุทธทาส จักอยู่ไป ไม่มีตาย
แม้ร่างกาย จะดับไป ไม่ฟังเสียง
ร่างกายเป็น ร่างกายไป ไม่ลำเอียง
นั่นเป็นเพียง สิ่งเปลี่ยนไป ในเวลา

พุทธทาส คงอยู่ไป ไม่มีตาย
ถึงดีร้าย ก็จะอยู่ คู่ศาสนา
สมกับมอบ กายใจ รับใช้มา
ตามบัญชา องค์พระพุทธ ไม่หยุดเลย

พุทธทาส ยังอยู่ไป ไม่มีตาย
อยู่รับใช้ เพื่อนมนุษย์ ไม่หยุดเฉย
ด้วยธรรมโฆษณ์ ตามที่วาง ไว้อย่างเคย
โอ้เพื่อนเอ๋ย มองเห็นไหม อะไรตาย

ภาพ "สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก" และ "พระธรรมโกศาจารย์ (หลวงพ่อ​พุทธทาสภิกขุ)" ในวาระโอกาสที่เสด็จมาเยือน "สวนโมกขพลาราม" จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน พุทธศักราช​ ๒๕๓๒

"...ขอประทานกราบสมเด็จพระสังฆราชหน่อยที่อุตส่าห์เสด็จมาเยี่ยมถึงวัด เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงพยายามห้าม แต่ท่านไม่ยอม แล้วต่างคนก็ต่างกราบ พอท่านพุทธทาสกราบ เจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชฯ ก็บอกไม่ได้ ๆ ต้องกราบกลับ..."

1. **เปลือกกล้วย:** มีแคลเซียมและโพแทสเซียมสูง2. **กากกาแฟ:** เหมาะกับพืชที่ชอบดินกรด เช่น ต้นมะนาว3. **เปลือกไข่:** อุด...
16/06/2025

1. **เปลือกกล้วย:** มีแคลเซียมและโพแทสเซียมสูง
2. **กากกาแฟ:** เหมาะกับพืชที่ชอบดินกรด เช่น ต้นมะนาว
3. **เปลือกไข่:** อุดมด้วยแคลเซียม นำมาบดแล้วโรยช่วยเสริมความแข็งแรงให้พืช
4. **เบกกิ้งโซดา:** โรยในพื้นที่ที่มีหอยทาก จะช่วยกำจัดทากได้
5. **กากน้ำตาล:** ใช้ทำปุ๋ยหมัก ช่วยปรับโครงสร้างดินให้มีความเป็นกรด-ด่างที่เหมาะสมต่อการปลูกพืช
6. **น้ำจากตู้ปลา:** เต็มไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อพืช
7. **ขี้เถ้า:** โรยลงบนพืชผัก ช่วยเติมโพแทสเซียมและแคลเซียมให้ดิน
8. **นม:** มีทั้งแคลเซียมและโปรตีน ช่วยให้พืชแข็งแรงและโตไว
9. **เศษผัก:** นำไปต้มให้ได้น้ำซุปที่มีสารอาหารครบถ้วนสำหรับพืช
10. **ถุงชาเก่า:** มีสารอาหารสำคัญที่พืชต้องการ

🍌🍌 สูตรบำรุงพืชให้แข็งแรงและป้องกันการร่วงของดอก
**สิ่งที่ต้องเตรียม:**
- เปลือกไข่
- เปลือกกล้วย

**วิธีทำ:**
1. ใส่เปลือกไข่และเปลือกกล้วยลงในภาชนะ
2. เติมน้ำให้ท่วมแล้วหมักไว้ 3 วัน
3. นำส่วนผสมที่หมักแล้ว 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ 1 ลิตร จากนั้นฉีดพ่นบนพืช

🐜🐜สูตรไล่มดและแมลง
**สิ่งที่ต้องเตรียม:**
- เปลือกไข่
- เบกกิ้งโซดา

**วิธีทำ:**
1. บดเปลือกไข่ให้ละเอียด
2. โรยเบกกิ้งโซดาลงไป 2 ช้อน คนให้เข้ากัน
3. ใช้ผงนี้โรยบริเวณที่มีมดและแมลง หรือผสมน้ำ 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 500 มล. แล้วฉีดพ่น

🥬🥬สูตรเร่งการเจริญเติบโตของพืชผัก
**สิ่งที่ต้องเตรียม:**
- น้ำจากตู้ปลา
- เครื่องดื่มชูกำลัง

**วิธีทำ:**
1. เมื่อต้องเปลี่ยนน้ำในตู้ปลา ให้นำไปรดพืชผัก หรือนำมาผสมเครื่องดื่มชูกำลัง 2 ช้อนโต๊ะเพื่อเพิ่มการเจริญเติบโตของพืช

🍅🍅สูตรสำหรับบำรุงมะเขือเทศ
**สิ่งที่ต้องเตรียม:**
- เบกกิ้งโซดา

**วิธีทำ:**
1. โรยเบกกิ้งโซดา 2 ช้อนโต๊ะรอบโคนต้นมะเขือเทศ จะช่วยให้มะเขือเทศมีรสหวานและกลมกล่อม
2. ผสมเบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำ 1 ลิตร แล้วฉีดพ่นบนต้นและใบเพื่อช่วยไล่แมลงและทาก #ดันขึ้นหน้าฟีด #เปิดค่าการมองเห็น #ผู้ติดตามทั่วโลก #ภาพนิ่งสร้างรายได้จากเนื้อหา #ประโยชน์ของ เปลือกกล้วย

"ยายถามตา ว่า...ทำไม..ถึงทนยายบ่นมาได้นานขนาดนี้..ตาบอกว่า... ถ้าไม่มีตาฟัง แล้วใครจะมานั่งฟังยาย.....การอยู่ด้วยกัน ......
28/05/2025

"ยายถามตา ว่า...ทำไม..ถึงทนยายบ่นมาได้นานขนาดนี้..
ตาบอกว่า... ถ้าไม่มีตาฟัง แล้วใครจะมานั่งฟังยาย.....การอยู่ด้วยกัน ...การกระทบกระทั่ง..มันเป็นเรื่องธรรมดา...
โขดหิน...ไม่เคยบ่น...น้ำทะเลที่ซัด....
เพราะโขดหินรู้ดีว่า....น้ำทะเล...จะไม่มีวันทิ้งโขดหินไปไหน...
และโขดหิน...ก็สบายใจที่ได้อยู่ตรงนี้...
ยายเลยถามต่อว่า...."ถามแกตรงๆ แกเบื่อฉันไหม ?? "
ตาตอบว่า.... "ถ้าตอบตรงๆก็เบื่อ ...แต่รักมากกว่า...
ฉันเรียนรู้ที่จะอยู่กะแกให้มากที่สุด... ไม่ว่าสุขหรือทุกข์.....อยากเช็ดน้ำตาให้เวลาแกร้องไห้....

💏..อยากนั่งมองแกนานๆ....เวลาแกยิ้มหวาน.....
เพราะเมื่อวันที่เรา...ต้องจากกันตลอดกาลมาถึง......ฉันจะได้คิดถึงแก... คิดถึงที่มีแค่ความคิดถึง.. ไม่ใช่ความเสียดาย..”
ยายได้แต่นั่งยิ้มหวาน...แล้วบอกตาไปว่า...."มองฉันนานๆ ฉันยิ้มหวานอยู่นะแก”
^___^ " ชีวิตเรานั้นแสนสั้นนัก....แต่ ความรัก..ของเราสิ..ยาวนานกว่า...แล้ว ..จะมัว มาทะเลาะกันทำไมให้เสีย ..เวลา ..
ถนอมความรักและหัวใจ..กันและกัน..จะดีกว่า....ไม่ใช่หรือครับ .""

22/05/2025
 #อินเดียเป็นนักเล่าเรื่อง  #จีนเป็นนักบันทึกพุทธประวัติ คนมักเชื่อว่าเป็นเรื่องเล่า แต่เมื่อพบบันทึกของจีนจึงน่าอัศจรรย...
20/05/2025

#อินเดียเป็นนักเล่าเรื่อง
#จีนเป็นนักบันทึก

พุทธประวัติ คนมักเชื่อว่าเป็นเรื่องเล่า

แต่เมื่อพบบันทึกของจีนจึงน่าอัศจรรย์ใจ

ประวัติพระพุทธองค์นั้นเป็นเรื่องจริง

เหตุการณ์ของพระพุทธเจ้า ที่ถูกบันทึกโดยราชวงศ์จีน
สำเนาอักษรจีนโบราณ
1). ศิลาจารึกระบุว่า มีแผ่นดินไหวและแสงสว่าง 5 สี บนท้องฟ้า
สมัย ราชวงศ์โจว มีการบันทึกประวัติศาสตร์เหตุการณ์อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจริงในสมัยนั้น เหตุการณ์หนึ่งบอกว่า
“ในสมัย กษัตริย์ โจวเจา (โจวเจาหวัง แปลว่า กษัตริย์โจวเจา) ปีที่ 26 เดือน 4 วันที่ 8 (นับแบบจีนโบราณ) ได้เกิดเหตุในเมืองจีนคือ1.น้ำขึ้นในแม่น้ำ(ซึ่งปกติเป็นช่วงน้ำลด) 2.น้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติมีน้ำผุดขึ้นมาจนล้นทุกแห่ง3.แผ่นดินไหว 4.มีแสงสว่าง 5 สี (สำนวนจีนแปลว่าหลายสี) พวยพุ่งไปบนท้องฟ้า ส่องสว่างไปถึงยังนอกอวกาศ สุดลูกหูลูกตา ทำให้กษัตริย์ โจวเจา รู้สึกประหลาดใจ จึงสอบถามอำมาตย์ว่าเกิดอะไรขึ้น อำมาตย์ได้กราบทูลตอบว่า “ในทิศตะวันตก(ของจีน)ได้มีอริยบุคคล บังเกิดขึ้นแล้ว” กษัตริย์ โจวเจา จึงถามว่า “แล้วเราจะได้พบคำสอนของท่านผู้นั้นหรือไม่” อำมาตย์ตอบว่า “คำสอนของท่าน(อริยบุคคลนั้น)จะเผยแผ่เข้ามาในแผ่นดินจีนอีก 1 พันปีข้างหน้า” กษัตริย์ โจวเจาจึงมีรับสั่งให้บันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ โดยแกะสลักลงบนแผ่น ศิลาประวัติศาสตร์จีน”

2). 80 ปีต่อมา ถึงยุคกษัตริย์ โจวมู่ ก็มีการบันทึกเหตุการณ์แปลกประหลาดอีก คือได้เกิดเหตุการณ์ แผ่นดินไหว มีลมพัดแรงในเมืองจีนและแสงสว่างคล้ายสีรุ้ง 12 เส้น ส่องมาจากทิศตะวันตก ทาบอยู่บนท้องฟ้าของเมืองจีนตลอดคืน อำมาตย์ทำนายว่า “กายหยาบของอริยบุคคลกำลังแตกดับจากโลกนี้ไป”

ซึ่งวันที่ถูกจารึกในสมัย กษัตริย์โจวเจา ได้ตรงกับ วันประสูติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ส่วนวันที่ถูกจารึกในสมัย กษัตริย์โจวมู่ ได้ตรงกับ วันปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่วันประสูติและปรินิพพานของพระพุทธเจ้าได้เกิด แผ่นดินไหวไปทั่วโลก ซึ่งชาวจีนก็ได้บันทึกไว้ในศิลาจารึกประวัติศาสตร์ของประเทศด้วย

ส่วนในวันตรัสรู้นั้น ได้มีหลักฐานบันทึกไว้ในบทขยายความว่า ก็เกิดเหตุมีแสงสว่างเกิดมาถึงเมืองจีนเช่นกัน

1 พันปีต่อมา ถึงยุคราชวงศ์ ฮั่น ของกษัตริย์ ฮั่นหมิงตี้ พระองค์ฝันเห็นบุรุษในรูปกายทองคำ สูงใหญ่ มีรัศมีเรืองรองกระจายไปทั่ว

อำมาตย์ผู้ซึ่งชำนาญในประวัติศาสตร์ของจีน ทำนายฝันว่า “นั่นเป็นภาพของพระศาสดาพระองค์หนึ่ง ที่อยู่ทางทิศตะวันตก ที่เรียกว่า “ฝอ” หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสมัยที่พระองค์มีพระชนม์ชีพก็อยู่ในบริเวณประเทศอินเดีย”

อำมาตย์คนที่ 2 ผู้จบการศึกษาสูงสุด กล่าวเสริมว่า “ใช่เลยพระเจ้าข้า เพราะในยุคของกษัตริย์โจวเจา ก็มีบันทึกในศิลาจารึก เรื่องอริยบุคคลในทิศตะวันตกนี้ไว้ ซึ่งตอนนี้ก็ครบ 1 พันปีพอดี ได้ถึงเวลาที่ศาสนาของพระองค์ ควรจะเข้ามาในจีนแล้ว เป็นบุญของพวกเราชาวจีนแล้ว”

กษัตริย์ฮั่นหมิงตี้ จึงส่งคณะทูตอันประกอบด้วยขุนนางผู้มีความรู้จำนวน 18 คนไปอัญเชิญพระพุทธศาสนามาที่เมืองจีน โดยใช้เวลาเดินทางไปกลับถึง 3 ปี ซึ่งคณะทูตทั้ง 18 ได้พบกับพระภิกษุในพระพุทธศาสนาชาวเอเชียกลางผสมกับอินเดีย จำนวน 2 รูป จึงได้นิมนต์ท่านมาที่จีนพร้อมกับพระสูตร พระบรมสารีริกธาตุ และพระพุทธรูป

เมื่อกลับมาถึงจึงได้มีการแปลพระสูตรเป็นภาษาจีนครั้งแรกที่ วัดม้าขาว (ซึ่งปัจจุบัน วัดนี้มีอายุถึง 1,900 ปี แต่เดิมเคยเป็นของความเชื่ออื่นมาก่อน) จึงถือว่าวัดนี้เป็นต้นกำเนิดพระพุทธศาสนาในประเทศจีน
อ้างอิงจาก ซื่อคู่เฉวียนซู : จึปู้ เล่มที่ 21 ซึ่งเป็นหนังสือชุดที่รวบรวมตำราความรู้ของจีนตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว จนถึง ยุคราชวงศ์ชิง
ชื่อหนังสืออ้างอิง

ชื่อหนังสือ สาระสำคัญซื่อคู่เฉวียนซู : จึปู้ เล่มที่ 21 , คณะผู้เรียบเรียง ยวี่หมินจงและคณะ , โรงพิมพ์ ฉางชุน จี่หลินเหยินหมิน, ความหนา 405 หน้า, ISBN7-206-02629-X

書 名 四庫全書薈要:子部 第二十一冊
ISBN和價格 7-206-02629-X (精) 68.00
責 任 者 於敏中等編修
出版發行項 長春: 吉林人民出版社, 2002.5
物理描述項 405頁 26厘米

ที่อยู่

Amphoe Muang Phuket

เบอร์โทรศัพท์

+66869449222

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ คู่รักการเดินทางผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง คู่รักการเดินทาง:

แชร์