20/10/2025                                                                            
                                    
                                                                            
                                            วันที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ 
ขอนอบน้อมกราบสักการะอาจาริยบูชาคุณด้วยเศียรเกล้า เนื่องในวาระครบรอบ ๒๐ ปี “องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO : United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) ได้ประกาศยกย่องให้ “พระธรรมโกศาจารย์” หรือ “พุทธทาสภิกขุ” เป็น “บุคคลสำคัญของโลก” จากการที่ท่านได้อุทิศตน เพื่อการผสานส่งเสริมความเข้าใจระหว่างศาสนา เพื่อความสันติภาพ ความเป็นธรรมของสังคม และ บุคคล” เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘ ดังที่ประกาศเป็นทางการไว้ว่า  
“พุทธทาสภิกขุ เป็น พระภิกษุในพระพุทธศาสนา ที่มีชื่อเสียง และ เป็นที่เคารพทั่วโลก ท่านเป็นผู้บุกเบิกในการส่งเสริมความเข้าใจระหว่างศาสนา โดยใช้การสานเสวนาระหว่างเหล่าศาสนิกต่างศรัทธา”
ท่านได้ละอารามที่เคยพำนัก และ ได้ค้นพบแนวทางในการผสานพุทธศาสนาในโลก ให้สอดคล้องกับแก่นธรรมคำสอนดั้งเดิมอีกครั้ง
ท่านยังเน้นย้ำถึงหลักการอิงอาศัยกันและกันของสรรพสิ่ง ทำให้ท่านเป็นผู้นำของความคิดเชิงนิเวศวิทยา และ ผู้ประกาศจุดยืนเพื่อสันติภาพระหว่างประชาชาติทั้งหลาย
งานเขียนของท่าน ซึ่งได้รับการแปล และ ตีพิมพ์ในหลายภาษา มีอิทธิพลอย่างมหาศาลต่อการฟื้นฟูวิธีคิดแนวพุทธขึ้นใหม่
ความคิดที่ท่านได้แสดงไว้ มิเพียงแต่จะสามารถชี้ทางให้กับประเทศไทยได้เท่านั้น หากยังรวมถึงสังคมทั้งปวง ที่กำลังพยายามสรรค์สร้างระเบียบทางสังคม การเมือง และ เศรษฐกิจ อันเที่ยงธรรม และ เป็นธรรมอีกด้วย
หลวงพ่อ “ #พุทธทาสภิกขุ” มีนามเดิมว่า “เงื่อม” นามสกุล “พานิช” เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๔๙ ตรงกับ วันขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะเมีย ในสกุลของพ่อค้าที่ตลาดพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี 
บิดาชื่อ “เซี้ยง” มารดาชื่อ “เคลื่อน” มีน้อง ๒ คน เป็นชายชื่อ “ยี่เกย” (ธรรมทาส) และ เป็นหญิงชื่อ “กิมซ้อย” 
บิดาของท่านมีเชื้อสายจีน ประกอบอาชีพค้าขายของชำ เฉกเช่นที่ชาวจีนนิยมทำกันทั่วไป แต่อิทธิพลที่ท่านได้รับจากบิดากลับเป็นเรื่องของความสามารถทางด้านกวี และ ทางด้านช่างไม้ ซึ่งเป็นงานอดิเรกที่ชื่นชอบของบิดา
ส่วนอิทธิพลที่ได้รับจากมารดาคือ ความสนใจในการศึกษาธรรมะอย่างลึกซึ้ง อุปนิสัยที่เน้นเรื่องความประหยัด ความละเอียดลออในการใช้จ่าย และ การทำทุกสิ่งให้ดีที่สุด และ ต้องทำให้ดีกว่าครูเสมอ ท่านได้เรียนหนังสือถึงชั้น ม.๓ แล้วต้องออกมาค้าขายแทนบิดาซึ่งเสียชีวิตด้วยโรคลมปัจจุบัน
ครั้นท่านอายุครบ ๒๐ ปี ได้บวชเป็นพระตามคตินิยมที่วัดอุบล (วัดนอก) อำเภอไชยา ได้รับนามฉายาว่า 
“อินฺทปญฺโญ” แปลว่า “ผู้มีปัญญาอันยิ่งใหญ่” 
เดิมท่านตั้งใจจะบวชเรียนตามประเพณีเพียง ๓ เดือน แต่ความสนใจ ความซาบซึ้ง ความรู้สึกเป็นสุข สนุกในการศึกษา และ เทศน์แสดงธรรม ทำให้ท่านไม่อยากสึก เล่ากันว่า “เจ้าคณะอำเภอเคยถามท่านขณะที่เป็นพระเงื่อมว่า มีความคิดเห็นอย่างไรในการใช้ชีวิต” ท่านตอบว่า “ผมคิดว่าจะใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์มากที่สุด”
พระเงื่อมได้เดินทางมาศึกษาธรรมะต่อที่กรุงเทพฯ สอบได้นักธรรมเอก แล้วเรียนภาษาบาลี จนสอบได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค ระหว่างที่เรียนเปรียญธรรม ๔ ประโยคอยู่นั้น ด้วยความที่ท่านเป็นคนรักการศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก และ ศึกษาค้นคว้าออกไปจากตำราถึงเรื่องการปฏิรูปพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกา อินเดีย และ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในโลกตะวันตก ทำให้ท่านรู้สึกขัดแย้งกับวิธีการสอนธรรมะที่ยึดถือรูปแบบตามระเบียบแบบแผนมากเกินไป ความย่อหย่อนในพระวินัยของสงฆ์ ตลอดจนความเชื่อที่ผิด ๆ ของพุทธศาสนิกชนในเวลานั้น ทำให้ท่านมีความเชื่อมั่นว่า พระพุทธศาสนาที่สอน ที่ปฏิบัติกันนั้นคลาดเคลื่อนไปมากจากที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะ
ท่านจึงตัดสินใจหันหลังให้กับการศึกษาของสงฆ์เวลานั้น กลับไชยาเพื่อศึกษา และ ทดลองปฏิบัติตามแนวทางที่ท่านเชื่อมั่น โดยร่วมกับนายธรรมทาส และ คณะธรรมทานจัดตั้งสถานปฏิบัติธรรม “สวนโมกขพลาราม” ขึ้น เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ 
หลังจากนั้น ท่านได้ศึกษา และ ปฏิบัติธรรมะอย่างเข้มข้น จนเชื่อมั่นว่า “ท่านมาไม่ผิดทาง และ ได้ประกาศใช้ชื่อนาม “พุทธทาส” เพื่อแสดงให้เห็นถึงอุดมคติสูงสุดในชีวิตของท่าน”
อุดมคติที่หยั่งรากลึกลงแล้วนี้ ทำให้ท่านสนใจใฝ่หาความรู้ทางธรรมะตลอดเวลา ไม่เฉพาะแต่พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทแต่ครอบคลุมไปถึงพระพุทธศาสนาแบบมหายาน และ ศาสนาอื่น เช่น คริสต์ อิสลาม ฮินดู ซิกข์ เป็นต้น จากความรอบรู้ที่กว้างขวาง และ ลึกซึ้งนี้เอง ทำให้ท่านสามารถประยุกต์วิธีการสอน และ ปฏิบัติธรรมะได้อย่างหลากหลาย ให้คนได้เลือกปฏิบัติที่สอดคล้องกับพื้นความรู้ และ อุปนิสัยของตนโดยไม่จำกัดชนชั้น เชื้อชาติ และ ศาสนา เพราะท่านเชื่อว่า “มนุษย์ทุกคนคือ เพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น และ หัวใจของทุกศาสนาก็เหมือนกันหมด คือ ต้องการให้มนุษย์พ้นจากความทุกข์” 
ท่านจึงตั้งปณิธานไว้ ๓ ข้อ คือ
   ๑. ให้พุทธศาสนิกชน หรือ ศาสนิกแห่งศาสนาใดก็ตาม เข้าถึงความหมายอันลึกซึ้งที่สุดแห่งศาสนาของตน
   ๒. ทำความเข้าใจอันดีระหว่างศาสนา
  ๓. ดึงเพื่อนมนุษย์ให้ออกมาเสียจากวัตถุนิยม
***  #ผลงานแห่งชีวิต ***
ตลอดชีวิตของหลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ ท่านย้ำอยู่เสมอว่า “ธรรมะคือหน้าที่” เป็น “การทำหน้าที่เพื่อความอยู่รอดทั้งฝ่ายกาย และ ฝ่ายวิญญาณของมนุษย์” และ ท่านได้ทำหน้าที่ในฐานะ “ทาสผู้ซื่อสัตย์ของพระพุทธเจ้า” ผลงานหนังสือของท่านมีทั้งที่ท่านประพันธ์ขึ้นเอง งานที่ถอดจากการบรรยายธรรมของท่าน และ งานแปลซึ่งท่านแปลจากภาษาอังกฤษ เกี่ยวกับงานหนังสือนี้ หลวงพ่อเคยให้สัมภาษณ์กับ “พระประชา ปสนฺนธมฺโม” ว่า
“เราได้ทำสิ่งที่มันควรจะทำ ไม่เสียค่าข้าวสุกของผู้อื่นแล้ว เชื่อว่า มันคุ้มค่า อย่างน้อยผมกล้าพูดได้อย่างหนึ่งว่า “เดี๋ยวนี้ไม่มีใครในประเทศไทยบ่นได้ว่า ไม่มีหนังสือธรรมะอ่าน” ก่อนนี้ได้ยินคนพูดจนติดปากว่า “ไม่มีหนังสือธรรมะจะอ่าน” เราก็ยังติดปาก ไม่มีหนังสือธรรมะจะอ่าน ตอนนี้บ่นไม่ได้อีกแล้ว”
ในระดับนานาชาติ ทุกมหาวิทยาลัยที่มีแผนกสอนวิชาศาสนาสากลทั้งในยุโรป และ อเมริกาเหนือ ล้วนศึกษางานของท่าน หนังสือของท่านกว่า ๑๔๐ เล่ม ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ กว่า ๑๕ เล่ม ได้รับการแปลเป็นภาษาฝรั่งเศส และ อีก ๘ เล่ม ได้รับการแปลเป็นภาษาเยอรมัน 
นอกจากนี้ ยังได้รับการแปลเป็นภาษาจีน อินโดนีเซีย ลาว และ ตากาล็อก อีกด้วย
***  #เกียรติคุณแห่งชีวิต ***
หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น 
“พระครูอินทปัญญาจารย์” , 
“พระอริยนันทมุนี” , 
“พระราชชัยกวี” , 
“พระเทพวิสุทธิเมธี” และ
“พระธรรมโกศาจารย์” ตามลำดับ 
แต่ท่านจะใช้ “สมณศักดิ์” ต่อเมื่อมีความจำเป็นต้องติดต่อทางราชการเท่านั้น ถ้าเป็นเรื่องอื่นแล้ว ท่านจะใช้ชื่อว่า “พุทธทาส อินฺทปญฺโญ” เสมอ แสดงให้เห็น “ความอ่อนน้อมถ่อมตัวของท่าน” และ ชื่อ “ #พุทธทาส” นี้ก็เป็น “ที่มาแห่งอุดมคติของท่าน” นั่นเอง
ท่านได้รับ “ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์” จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 
มหาวิทยาลัยศิลปากร, 
มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 
มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, 
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, 
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในสาขาวิชาต่าง ๆ
๏ ได้รับการยกย่อง
นอกจากนี้ “หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ” ยังได้รับการยกย่องจากองค์กรต่าง ๆ ดังนี้
- พุทธศักราช ๒๕๐๘ หนังสือ “ #แก่นพุทธศาสน์” ได้รับรางวัลชนะเลิศ หนังสือดีประจำปี พุทธศักราช ๒๕๐๘ จากองค์การยูเนสโก
- พุทธศักราช ๒๕๒๗ ได้รับคัดเลือกเป็น
“บุคคลผู้ทำประโยชน์ฝ่ายบรรพชิต เนื่องในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี” ได้รับรางวัลเป็น “สัญลักษณ์เสาอโศก และ เงินสดจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท”
- พุทธศักราช ๒๕๓๗ คุรุสภาประกาศยกย่องเชิดชูว่า
“ #หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ เป็น ผู้ทำคุณประโยชน์อย่างสูงยิ่งต่อการศึกษาชาติ เนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี กระทรวงศึกษาธิการ”
- วันที่ ๒๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘ องค์การยูเนสโก ประกาศยกย่องให้ “ #หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ” เป็น
“บุคคลสำคัญของโลก ด้านส่งเสริมขันติธรรม สันติธรรม วัฒนธรรม ความสัมพันธ์ และ ความเข้าใจอันดีของมวลมนุษย์”
- ปีพุทธศักราช ๒๕๔๙ รัฐบาลไทย รวมทั้งหน่วยงานต่าง ๆ ได้พร้อมใจกันจัดกิจกรรมทางธรรมะ “เนื่องในโอกาสรำลึกครบรอบ ๑๐๐ ปี ชาตกาล ท่านพุทธทาสภิกขุ”
ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ ได้รับการสดุดีว่าเป็น
“ #มหาปราชญ์แห่งพุทธธรรม ทางบูรพาทิศ”
ที่มีเกียรติคุณไม่น้อยไปกว่า
“ท่านนาคารชุน ปราชญ์ใหญ่ฝ่ายมหายานในอดีต”
ปัญญาชนทั้งไทย และ ต่างประเทศถือว่า 
“หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ เป็น “นักปฏิรูปพระพุทธศาสนาที่สำคัญที่สุด” รูปหนึ่งของเมืองไทย”
* ละสังขาร
วันที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๖ เวลาประมาณ ๑๐.๓๐ น. 
คณะศิษยานุศิษย์ นิมนต์หลวงพ่อพุทธทาส จาก โรงพยาบาลศิริราช กลับสู่สวนโมกข์ พร้อมคณะแพทย์ที่เฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด 
พระเดชพระคุณหลวงพ่อเจ้าคุณ “พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินฺทปญฺโญ)” หรือ “หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ” ได้ละสังขารอย่างสงบ ณ สวนโมกขพลาราม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๖ ตรงกับ วันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๘ ปีระกา เวลา ๑๑.๒๐ น.
สิริอายุ ๘๗ ปี ๑ เดือน ๑๑ วัน 
พรรษา ๖๗
คงเหลือไว้แต่ผลงานที่ทรงคุณค่าแทนตัวท่านให้อนุชนรุ่นหลังได้สืบสานปณิธานของท่าน รับมรดกความเป็น “พุทธทาส” เพื่อ “พุทธทาสจะได้ไม่ตายไปจากพระพุทธศาสนา” 
และในปีพุทธศักราช ๒๕๔๘ “องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO : United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) ได้ประกาศยกย่องให้ท่าน “พุทธทาสภิกขุ” เป็น “บุคคลสำคัญของโลก” นับว่า เป็นอีกหนึ่งเกียรติประวัติ” ที่ช่วยยืนยันว่า 
“พุทธทาสจักอยู่ไปไม่มีตายอย่างแน่นอน”