06/08/2025
“สู้มา 20 ปี ถามว่าเหนื่อยไหม? เหนื่อย... ไม่รู้ว่าถ้าเกิดเราสู้แล้ววันนี้ ศาลมีคำตอบให้เราแบบตรงกันข้ามกับวันนี้ ไม่รู้พวกเราจะต้องสู้กันไปอีกแค่ไหน แล้วเราพี่น้องหมู่ 1 จะต้องตายจากกันไปอีกกี่คน แล้วจะมีคนรุ่นหลังจะมาสู้กับเราแบบนี้ไหม” นั่นคือความรู้สึกของลมัย จ้อยเล็ก ที่ปรากฏออกมาในรูปของคำถามจำนวนมาก ในฐานะโจทก์คนหนึ่ง เธอใช้เวลานับสิบกว่าปีในการเผชิญปัญหามลพิษจากโรงงาน และใช้เวลาอีกกว่า 8 ปีกับการรอคอยให้คดีนี้สิ้นสุด
สำหรับลมัย การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อเงินเยียวยา แต่เพื่อสิทธิในการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยบนผืนดินที่พวกเขาอยู่กันมาหลายชั่วอายุคน เพราะมลพิษจากโรงงานทำให้แหล่งน้ำที่เคยใช้เลี้ยงชีพปนเปื้อน การทำเกษตรกรรมอยู่บนผืนดินใกล้บ้านจึงต้องยุติลง ชาวบ้านจำนวนมากต้องย้ายถิ่นฐานออกไปทำงานต่างจังหวัด ซึ่งเธอเป็นคนหนึ่งที่ต้องทำเช่นนั้น
“น้ำในห้วยใช้ไม่ได้ พี่ก็ต้องไปหากินที่อื่น ต้องทิ้งหลานไว้... ถามว่าใช่ไหม? ผู้เป็นปู่เป็นย่าต้องทิ้งหลาน เพราะอะไรคะ? เพราะบริษัทแวกซ์กาเบ็จฯ ทำให้เราเดือดร้อน” ลมัย กล่าวทั้งน้ำตา
หลังจากการต่อสู้อย่างยาวนานกว่า 20 ปี การพิจารณาคดีแบบกลุ่ม (class action) ด้านสิ่งแวดล้อม คดีแรกของประเทศไทยก็ได้ถึงที่สุดแล้วเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2568 เมื่อศาลมีคำสั่งไม่รับฎีกาของบริษัท แวกซ์ กาเบ็จ รีไซเคิล เซ็นเตอร์ จำกัด ทำให้คำพิพากษาของคดีนี้เป็นไปตามคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ที่ตัดสินเมื่อปี 2566 ซึ่งเป็นการยืนตามศาลชั้นต้น
ย้อนกลับไปในปี 2563 ศาลแพ่ง แผนกคดีสิ่งแวดล้อมได้พิพากษาให้บริษัทแวกซ์กาเบ็จฯ และกรรมการบริษัท ร่วมกันรับผิดชอบค่าเสียหายด้านสุขภาพแก่ชาวบ้าน ต.น้ำพุ อ.เมืองราชบุรี 650 คน จำนวนเงินรวม 13 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5.0 ต่อปี พร้อมทั้งฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของดินและน้ำ ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ให้กลับมาเป็นสภาพปกติ
“สู้มา 20 ปี ถามว่าเหนื่อยไหม? เหนื่อย... ไม่รู้ว่าถ้าเกิดเราสู้แล้ววันนี้ศาลมีคำตอบให้เราแบบตรงกันข้ามกับวันนี้ ไม่รู้พวกเราจะต้องสู้กันไปอีกแค่ไหน? แล้วเราพี่น้องหมู่ 1 จะต้องตายจากกันไปอีกกี่คน แล้วจะมีคนรุ่นหลังจะมาสู้กับเราแบบนี้ไหม?” นั่นคือความรู้สึกของลมัย จ้อยเล็ก ที่ปรากฏออกมาในรูปของคำถามจำนวนมาก ในฐานะผู้ได้รับความเดือดร้อนคนหนึ่ง เธอใช้เวลานับสิบกว่าปีในการเผชิญปัญหามลพิษจากโรงงาน และใช้เวลาอีกกว่า 8 ปีกับการรอคอยให้คดีนี้สิ้นสุด
เมื่อวานนี้ (5 สิงหาคม 2568) ลมัยเดินทางมารับฟังคำสั่งที่ศาลแพ่งกรุงเทพ และกล่าวกับสื่อมวลชนพร้อมน้ำตาที่คลอเบ้าว่า
“ถามว่าวันนี้ดีใจไหม? ดีใจสุดๆ ดีใจมากๆ ดีใจแบบว่าวันนี้ที่รอคอย พี่น้องหมู่ 1 ได้รับแล้วความสำเร็จแล้ว ที่เรามาสู้ เราไม่ได้หวังเงิน เราหวังให้บ้านเราอยู่แบบเดิมๆ ไม่ต้องไปทำมาหากินต่างจังหวัด ทิ้งลูกทิ้งหลาน ทิ้งบ้านตัวเองไป มันไม่ใช่...”
สำหรับลมัย การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อเงินเยียวยา แต่เพื่อสิทธิในการใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยบนผืนดินที่พวกเขาอยู่กันมาหลายชั่วอายุคน เพราะมลพิษจากโรงงานทำให้แหล่งน้ำที่เคยใช้เลี้ยงชีพปนเปื้อน การทำเกษตรกรรมอยู่บนผืนดินใกล้บ้านจึงต้องยุติลง ชาวบ้านจำนวนมากต้องย้ายถิ่นฐานออกไปทำงานต่างจังหวัด ซึ่งเธอเป็นคนหนึ่งที่ต้องทำเช่นนั้น
“น้ำในห้วยใช้ไม่ได้ พี่ก็ต้องไปหากินที่อื่น ต้องทิ้งหลานไว้... ถามว่าใช่ไหม? ผู้เป็นปู่เป็นย่าต้องทิ้งหลาน เพราะอะไรคะ? เพราะบริษัทแวกซ์กาเบ็จฯ ทำให้เราเดือดร้อน” ลมัย กล่าวทั้งน้ำตา....
เรื่องโดย พิสิทธิ์ ศรีพุ่มไข่ มูลนิธิบูรณะนิเวศ
ภาพถ่ายโดย ปุณย์ ปฏิมาประกร นักศึกษาฝึกงานมูลนิธิบูรณะนิเวศ