newslive-thailand.com

newslive-thailand.com เพจข่าวคุณภาพ

ข่าวดีสำหรับประเทศไทย! ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (BKK) ได้รับการจัดอันดับให้เป็น ท่าอากาศยานที่มีสายการบินให้บริการมากที่สุด...
25/07/2025

ข่าวดีสำหรับประเทศไทย! ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (BKK) ได้รับการจัดอันดับให้เป็น ท่าอากาศยานที่มีสายการบินให้บริการมากที่สุดในโลก ด้วยจำนวนสายการบินถึง 113 สายการบิน จากผลสำรวจของ Brilliant Maps นี่ไม่ใช่แค่ความสำเร็จของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แต่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งประเทศ ที่ตอกย้ำว่าประเทศไทยคือจุดหมายปลายทางสำคัญบนแผนที่การบินระดับโลก!

จัดอันดับท่าอากาศยานที่มีสายการบินให้บริการมากที่สุดในโลก
1.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ 113 สายการบิน
2.ท่าอากาศยานปารีส-ชาร์ล เดอ โกล 105 สายการบิน
3.ท่าอากาศยานนานาชาติดูไบ 97 สายการบิน
4.ท่าอากาศยานอิสตันบูล 93 สายการบิน
5.ท่าอากาศยานเลโอนาร์โด ดา วินชี-ฟีอูมีชีโน 92 สายการบิน
6.ท่าอากาศยานมิลาโน มัลเปนซา 86 สายการบิน
7.ท่าอากาศยานนานาชาติเซี่ยงไฮ้ผู่ตง 83 สายการบิน
8.ท่าอากาศยานนานาชาตินะริตะ83 สายการบิน
9.ท่าอากาศยานนานาชาติชางงีสิงคโปร์ 82 สายการบิน
10.ท่าอากาศยานแฟรงก์เฟิร์ต 80 สายการบิน

แน่นอนว่าการเป็นอันดับหนึ่งในวันนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะหยุดพัฒนา ในอนาคตประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และอุตสาหกรรมการบินของประเทศมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเสริมสร้างบทบาทของประเทศไทยในฐานะผู้นำด้านการบินระดับภูมิภาค และระดับโลก

Great News for Thailand!
Suvarnabhumi Airport (BKK) has just been ranked as the airport with the highest number of airlines operating in the world, with an impressive total of 113 airlines, according to a survey by Brilliant Maps.
This achievement is not only a milestone for Suvarnabhumi Airport, but also a source of pride for the entire nation, reinforcing Thailand’s status as a major destination on the global aviation map!

Top 10 Airports with the Most Airlines Operating:
1. Suvarnabhumi Airport – 113 airlines
2. Paris Charles de Gaulle Airport – 105 airlines
3. Dubai International Airport – 97 airlines
4. Istanbul Airport – 93 airlines
5. Leonardo da Vinci–Fiumicino Airport – 92 airlines
6. Milan Malpensa Airport – 86 airlines
7. Shanghai Pudong International Airport – 83 airlines
8. Narita International Airport – 83 airlines
9. Singapore Changi Airport – 82 airlines
10. Frankfurt Airport – 80 airlines

Of course, being ranked number one today does not mean we will stop improving. In the future, Thailand aims to further enhance the efficiency of Suvarnabhumi Airport and the country’s aviation industry to meet the growing demand and strengthen Thailand’s role as a regional and global aviation leader.

#ททท #ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ #ประเทศไทย

ผู้โดยสารภาครัฐและองค์กรสะสมเหรียญ Fun Coin สองเท่า!  ทุกเส้นทางในประเทศ กับเวียตเจ็ทไทยแลนด์(กรุงเทพฯ, 25 กรกฎาคม 2568)...
25/07/2025

ผู้โดยสารภาครัฐและองค์กรสะสมเหรียญ Fun Coin สองเท่า! ทุกเส้นทางในประเทศ กับเวียตเจ็ทไทยแลนด์

(กรุงเทพฯ, 25 กรกฎาคม 2568) – เวียตเจ็ทไทยแลนด์ เดินหน้าขยายแคมเปญสะสมคะแนน Fun Rewards ด้วยการมอบคะแนน Fun Coin เพิ่มเป็นสองเท่า สำหรับทุกเที่ยวบินในประเทศ ให้แก่ผู้โดยสารที่จองเที่ยวบินแบบภาครัฐและองค์กร ผ่านห้องจำหน่ายตั๋วของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ และช่องทางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ

สมาชิก Fun Rewards ที่เดินทางด้วยประเภทบัตรโดยสารภาครัฐและองค์กร จะได้รับคะแนน Fun Coin เพิ่มเป็นสองเท่าสำหรับทุกเที่ยวบินที่จองผ่านช่องทางดังกล่าว ข้อเสนอนี้ครอบคลุมทุกเส้นทางบินในประเทศ ช่วยให้องค์กรและผู้โดยสารมืออาชีพเปลี่ยนการเดินทางที่จำเป็นให้กลายเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าและมีรางวัลมากขึ้น แคมเปญพิเศษนี้เปิดให้สำรองที่นั่งตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม – 31 สิงหาคม 2568 และสามารถเดินทางได้ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2568 โดยผู้โดยสารจะต้องสมัครเป็นสมาชิก Fun Rewards ก่อนทำการจอง ระบบจะโอนเหรียญเข้าสู่บัญชีสมาชิกภายใน 30 วันหลังจากการซื้อบัตรโดยสาร

โดยปกติสมาชิก Fun Rewards จะได้รับคะแนน Fun Coin เริ่มต้นที่ 250 เหรียญต่อเที่ยว สำหรับชั้น Deluxe และ 350 เหรียญ สำหรับชั้น SkyBoss หากจองเที่ยวบินแบบไป – กลับ จะได้รับ 500 เหรียญ และ 700 เหรียญตามลำดับ พิเศษสำหรับผู้โดยสารกลุ่มภาครัฐและองค์กร รับเหรียญสะสมสองเท่า เริ่มต้นที่ 500 เหรียญต่อเที่ยว สำหรับชั้น Deluxe และ 700 เหรียญ สำหรับชั้น SkyBoss หรือสูงสุด 1,000 เหรียญ และ 1,400 เหรียญเมื่อจองเที่ยวบินแบบไป – กลับ

ผู้โดยสารสามารถใช้เหรียญ Fun Coin เป็นส่วนลดในการจองเที่ยวบินครั้งถัดไปผ่านเว็บไซต์ www.vietjetair.com หรือแอปพลิเคชัน Vietjet Thailand (เริ่มใช้ได้ขั้นต่ำตั้งแต่ 100 เหรียญขึ้นไป) นอกจากนี้ ยังสามารถแลกรับสิทธิพิเศษจากแบรนด์พันธมิตร เช่น เต่าบิน (TaoBin) ท็อปส์ (Tops) โลตัส (Lotus) ลาซาด้า (Lazada) เอวิส (AVIS) เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ (Major Cineplex) และอื่น ๆ ผ่าน LINE Official โดยเลือกเมนู "สมาชิก FUN Rewards"
เวียตเจ็ทไทยแลนด์ ให้บริการเส้นทางบินในประเทศ 11 เส้นทางหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ) – เชียงใหม่, เชียงราย, ภูเก็ต, กระบี่, อุดรธานี, หาดใหญ่, ขอนแก่น, อุบลราชธานี และสุราษฎร์ธานี รวมถึงเส้นทางข้ามภูมิภาค เช่น ภูเก็ต – เชียงใหม่ และ เชียงราย พร้อมเส้นทางบินระหว่างประเทศที่หลากหลายในภูมิภาคเอเชีย

เวียตเจ็ทไทยแลนด์ ยังคงย้ำความมุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์เดินทางที่คุ้มค่า เชื่อถือได้ และเต็มไปด้วยรางวัลสำหรับผู้โดยสารกลุ่มภาครัฐและองค์กร พร้อมเชิญชวนให้ผู้โดยสารกลุ่มดังกล่าวใช้โอกาสจากข้อเสนอพิเศษนี้ เพื่อรับคะแนนสะสมเพิ่มขึ้นในทุกการเดินทาง

สำหรับการจองหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อห้องจำหน่ายตั๋วของเวียตเจ็ทไทยแลนด์ทั่วประเทศ หรือติดต่อผ่าน LINE Official:

มจพ. ต้อนรับนักศึกษาใหม่ ปี 68 จัดพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณรับขวัญประดู่แดง    ศ.ดร.ธานินทร์ ศิลป์จารุ อธิการบดี มหาวิทยาลัยเท...
25/07/2025

มจพ. ต้อนรับนักศึกษาใหม่ ปี 68 จัดพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณรับขวัญประดู่แดง

ศ.ดร.ธานินทร์ ศิลป์จารุ อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เป็นประธานในพิธีกล่าวสัตย์ปฏิญาณรับขวัญประดู่แดง และกล่าวต้อนรับนักศึกษาใหม่ ประจำปีการศึกษา 2568 มีนางสาว จิราภา สุขขี นายกองค์การนักศึกษา สาขาวิชาศิลปประยุกต์และออกแบบผลิตภัณฑ์ คณะสถาปัตยกรรมและการออกแบบ มจพ. เป็นผู้นำกล่าวปฏิญาณตน กิจกรรมประกอบด้วย การอัญเชิญพระมหามงกุฎและฉัตรบริวาร ณ ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมมงกุฎนฤบดี ชั้น 2 อาคารอเนกประสงค์ เพื่ออัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนบุษบก การกล่าวบทอาเศียรวาทถวายสัตย์ และพิธีบายศรีสู่ขวัญเพื่อรับขวัญประดู่แดงช่อใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์ให้นักศึกษาเกิดความภาคภูมิใจต่อสถาบัน ความตั้งใจในการศึกษา เพื่อเป็นนักศึกษาที่มีความรู้ มีคุณธรรม จริยธรรม ตลอดจนสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้อง เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ณ สนามกีฬา ชั้น 2 อาคารปฏิบัติการวิทยาศาสตร์การกีฬา มจพ.

ครั้งแรกในประเทศไทยกับงาน “Data Governance in Thailand”   งานฟอรัมที่จะเปิดพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนความรู้ มุมมอง และประสบ...
25/07/2025

ครั้งแรกในประเทศไทยกับงาน “Data Governance in Thailand” งานฟอรัมที่จะเปิดพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนความรู้ มุมมอง และประสบการณ์ ระหว่าง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบายด้านข้อมูล
และการออกแบบระบบธรรมาภิบาลข้อมูลในประเทศไทย

พบกับงานฟอรัม “Data Governance in Thailand” จัดโดย LIRNEasia (ประเทศศรีลังกา) โดยได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณจาก IDRC-CRID (ประเทศแคนาดา) ร่วมกับ ภาควิชาการศึกษาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยฮันกุกแห่งประเทศเกาหลี (สาธารณรัฐเกาหลี), Privacy Thailand, และ สถาบันนโยบายศึกษา ประเทศไทย (IPPS) ที่จะเปิดเวทีเสวนาว่าด้วยธรรมาภิบาลข้อมูลในประเทศไทย พร้อมนำเสนอข้อค้นพบสำคัญจากโครงการวิจัย “Data for Development (D4D) Asia” และยังเป็นพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนความรู้ มุมมอง ประสบการณ์ระหว่าง ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบายด้านข้อมูล และการออกแบบระบบธรรมาภิบาลข้อมูลในประเทศไทย

ภายในงานจะมีการนำเสนอผลงานวิจัย รวมถึงการเสวนาในรูปแบบเวทีอภิปราย โดยได้รับเกียรติ จากผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคเอกชน อาทิเช่น Pranesh Prakash นักวิจัยนโยบายอาวุโส LIRNEasia และ หัวหน้าโครงการร่วม(จากประเทศอินเดีย), รองศาสตราจารย์ ดร. จอมพล พิทักษ์สันตโยธิน (จากประเทศไทย), Ibrahim Kholilul Rohman (จากประเทศอินโดนีเซีย), Oliver Xavier Reyes (จากประเทศฟิลิปปินส์), Ashwini Natesan (จากประเทศศรีลังกา) และตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆ อาทิ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (DGA) , สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) , สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (OIC) , ธนาคารแห่งประเทศไทย , สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) รวมถึงผู้ช่วยศาสตราจารย์ ฐิติรัตน์ ทิพย์สัมฤทธิ์กุล (คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์), คุณปฐม อินทโรดม (กรรมการคณะกรรมการดิจิทัลแห่งประเทศไทย: ภาคเอกชน)

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงานฟอรัม ฟรี (ไม่มีค่าใช้จ่าย) ในวันอังคารที่ 5 สิงหาคม 2568 เวลา 13:00-16:00 น. ณ ห้องซิกม่า ชั้น 6 โรงแรมพูลแมน คิงพาวเวอร์ กรุงเทพ (ซอยรางน้ำ) โดยขอสงวนสิทธิ์สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมงานเท่านั้น ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ได้ที่ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSd4floekUuovKddaCy5DYY7gGlDcTxImiH_NQAhe5z_Qr0pJA/viewform
หรือติดตามข้อมูลเพิ่มเติม https://lirneasia.net/
-CRID
# # # # #
เกี่ยวกับ LIRNEasia:
LIRNEasia เป็นสถาบันวิจัยนโยบายระดับภูมิภาคที่มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในเอเชียและแปซิฟิค โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา ดำเนินงานครอบคลุมทวีปเอเชียแปซิฟิคมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 มุ่งเน้นสนับสนุนการกระจายอำนาจในการสร้างนวัตกรรม สร้างการมีส่วนร่วมผ่านตลาดที่มีการแข่งขันเสรีเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คน
ด้วยเหตุนี้ LIRNEasia จึงดำเนินการวิจัยเชิงลึกที่เกี่ยวข้องกับนโยบายในหลายภาคส่วน ได้แก่ ดิจิทัล แรงงาน พลังงาน การคุ้มครองทางสังคม ความพิการ การศึกษา ภัยพิบัติ และอื่นๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลที่ครบถ้วนและบันทึกแนวปฏิบัติที่ดีในระดับภูมิภาค โดยปัจจุบันดำเนินการวิจัยใน 15 ประเทศในเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียตะวันออก
พันธกิจของเราคือ การเร่งการเปลี่ยนแปลงนโยบายและแนวทางแก้ไขปัญหาผ่านการวิจัย เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกด้วยความรู้ ข้อมูล และเทคโนโลยี
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมได้ที่ www.lirneasia.net หรือติดตามเราได้ที่ทวิตเตอร์

ฮิตาชิ เอนเนอร์ยี่ มอบ อุปกรณ์สาธิต SCADA (Supervisory Control and Data Acquisition) ให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชี...
25/07/2025

ฮิตาชิ เอนเนอร์ยี่ มอบ อุปกรณ์สาธิต SCADA (Supervisory Control and Data Acquisition) ให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้ให้นักศึกษา

ดร.ประดิษฐพงษ์ สุขสิริถาวรกุล Director & Vice President บริษัท ฮิตาชิ เอนเนอร์ยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ส่งมอบอุปกรณ์สาธิต SCADA (Supervisory Control and Data Acquisition) ตามมาตรฐาน IEC 61850 ให้กับ รองศาสตราจารย์ ดร.ธงชัย ฟองสมุทร คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ด้านการสนับสนุนการศึกษา การวิจัย และพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ

ความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและภาคอุตสาหกรรมในการแลกเปลี่ยนความรู้และทรัพยากร ถือเป็นรากฐานสำคัญของระบบพลังงานที่ยั่งยืนในอนาคต และยังมีบทบาทสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้กับวิศวกรในอนาคต ผ่านการศึกษาและการพัฒนาทักษะสหวิทยาการที่จำเป็นสำหรับการเปลี่ยนผ่านพลังงาน การสนับสนุนและการส่งมอบระบบ SCADA ให้กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อวัตถุประสงค์ทางการศึกษานี้ ช่วยเพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้เชิงปฏิบัติการให้นักศึกษาได้สัมผัสประสบการณ์จริงในการจัดการระบบพลังงานที่ซับซ้อน การดำเนินงานนี้สอดคล้องกับเป้าหมายของความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและภาคอุตสาหกรรมในการสร้างห้องปฏิบัติการ 'มีชีวิต' ที่นักศึกษาสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ทางทฤษฎีเพื่อนำมาปรับใช้ในสถานการณ์จริง

SCADA เป็นระบบควบคุมและเก็บข้อมูลจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ในสถานีไฟฟ้าย่อย เพื่อให้สามารถมอนิเตอร์และควบคุมระบบไฟฟ้าได้จากศูนย์ควบคุมและอุปกรณ์จากระยะไกลได้

บทบาทของ SCADA ในสถานีไฟฟ้าย่อย
1. เฝ้าระวังและควบคุมการจ่ายไฟฟ้า
• ตรวจสอบสถานะเบรกเกอร์, หม้อแปลง, รีเลย์ ฯลฯ
• สั่งเปิด-ปิดอุปกรณ์จากศูนย์ควบคุมกลาง
2. เก็บข้อมูลการทำงานของระบบ (Data Acquisition)
• เช่น แรงดันไฟฟ้า กระแส กำลังไฟฟ้า ค่าผิดปกติ
3. วิเคราะห์และแจ้งเตือนเหตุขัดข้อง (Alarm & Event)
• แจ้งเตือนเมื่ออุปกรณ์มีปัญหา หรือเกิดเหตุขัดข้อง
• เก็บ Log เพื่อตรวจสอบย้อนหลัง
4. ควบคุมการทำงานอัตโนมัติร่วมกับรีเลย์ป้องกัน (Protection & Automation)
• ใช้ข้อมูลจากอุปกรณ์ IEDs เพื่อควบคุมแบบ real-time

ประโยชน์ของการใช้ SCADA ร่วมกับ IEC 61850
1. การสื่อสารที่เป็นระบบเดียวกัน (Unified Communication)
• ใช้ภาษาและโปรโตคอลเดียวกันในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น IEDs, HMI, RTU เป็นต้น
2. เพิ่มความเร็วในการควบคุมและวิเคราะห์ข้อมูล
• ลดเวลาในการส่งข้อมูลจากอุปกรณ์ไปยังศูนย์ควบคุม
3. ลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
• ลดการใช้สายสัญญาณแบบเดิม
• เพิ่มความสะดวกในการปรับเปลี่ยนระบบในอนาคต
4. รองรับการทำงานแบบอัตโนมัติและ Smart Grid
• รองรับการควบคุมแบบ real-time และระบบอัจฉริยะ

Stu/D/O Architects และโครงการ “111Praditmanutham” คว้ารางวัล Architizer A+Awards ประจำปี 2025 บนเวทีระดับโลกบริษัท Stu/D...
25/07/2025

Stu/D/O Architects และโครงการ “111Praditmanutham”
คว้ารางวัล Architizer A+Awards ประจำปี 2025 บนเวทีระดับโลก

บริษัท Stu/D/O Architects สร้างชื่อเสียงระดับนานาชาติอีกครั้ง ด้วยผลงานการออกแบบโครงการ “111Praditmanutham” ซึ่งได้รับรางวัล Popular Choice Winner จากเวที Architizer A+Awards 2025 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรางวัลด้านสถาปัตยกรรมที่ทรงเกียรติที่สุดในระดับโลก

โครงการ “111Praditmanutham” ตั้งอยู่บนถนนประดิษฐ์มนูธรรม เป็นอาคารสำนักงานสูง 6 ชั้น พื้นที่ใช้สอยรวม 20,000 ตารางเมตร ถูกออกแบบให้แบ่งเป็น 2 อาคาร มีลานกลางแจ้งขนาดใหญ่คั่นกลาง อาคารเป็นรูปทรงเฉียงผสานแนวคิด “พื้นที่ทำงานแห่งอนาคต” เข้ากับการออกแบบที่เน้นความยั่งยืนและการมีส่วนร่วมของชุมชน ภายในประกอบด้วยพื้นที่สำนักงานแบบยืดหยุ่น (Flexible Office), พื้นที่สีเขียว, ลานกิจกรรมส่วนกลาง และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ฟิตเนส คาเฟ่ ร้านอาหาร และห้องประชุม โดยโครงการออกแบบให้มีความโปร่งโล่ง มีการถ่ายเทอากาศตามธรรมชาติ และลดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้ออกแบบโครงการคือ Stu/D/O Architects เป็นสำนักงานสถาปนิกชั้นนำของไทย ก่อตั้งขึ้นในปี 2010 มีชื่อเสียงจากแนวทางการออกแบบที่ให้ความสำคัญกับบริบทท้องถิ่น ความยั่งยืน และประสบการณ์ของผู้ใช้งาน โดยที่ผ่านมา Stu/D/O เคยได้รับรางวัล World Architecture Festival (WAF) มาแล้วจากโครงการ InterCrop Head Office และ Naiipa Art Complex

คุณชนาสิต ชลศึกษ์ สถาปนิกและผู้ก่อตั้ง Stu/D/O Architects กล่าวถึงแนวคิดในการออกแบบโครงการ 111 Praditmanutham ว่า “สำหรับโครงการ 111PMT เราต้องการสร้างอาคารสำนักงานที่ตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงของวิถีการทำงานในอนาคต โดยเน้นความยืดหยุ่นของพื้นที่ การเปิดรับธรรมชาติ และการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างคน ธรรมชาติ และบริบทเมืองโดยรอบ เราเชื่อว่าอาคารสำนักงานไม่ควรเป็นเพียงพื้นที่ทำงาน แต่ควรเป็นสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมทั้งประสิทธิภาพและคุณภาพชีวิตของผู้ใช้งาน”
เวที Architizer A+Awards จัดขึ้นโดย Architizer.com เว็บไซต์ที่รวบรวมผลงานสถาปัตยกรรมและบริษัทสถาปนิกทั่วโลก เป็นแหล่งข้อมูลสำหรับสถาปนิก นักออกแบบ และผู้ที่สนใจในงานสถาปัตยกรรม นอกจากนี้ Architizer ยังเป็นผู้จัดงานประกวดรางวัล Architizer A+ Awards ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงการสถาปัตยกรรม โดยมีผู้ชมมากกว่า 400 ล้านคนทั่วโลกในแต่ละปี รางวัลดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อยกย่องงานออกแบบสถาปัตยกรรมที่สร้างผลกระทบในเชิงบวกต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และการอยู่อาศัย โดยรางวัลประเภท Mid Rise Office Building มอบให้กับอาคารสำนักงานที่มีความสูงระหว่าง 5–15 ชั้น และสะท้อนถึงความเป็นเลิศด้านแนวคิดการออกแบบและการใช้งานในระดับสากล

คุณกวินทร์ เอี่ยมสกุลรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลไล รีท แมนเนจเมนท์ จำกัด ซี่งเป็นธุรกิจด้านการลงทุนและบริหารอสังหาริมทรัพย์หาริมฯ ของกลุ่มเคอี และเป็นผู้พัฒนาโครงการ 111Praditmanutham กล่าวถึงรางวัลในครั้งนี้ว่า “เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่โครงการ 111PMT ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติจาก Architizer A+Awards ซึ่งเป็นรางวัลด้านสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่าและได้รับการยอมรับมากที่สุดรางวัลหนึ่งของโลก ความสำเร็จนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของเราในการพัฒนาโครงการสำนักงานที่ไม่เพียงสวยงาม แต่ยังตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนทำงานยุคใหม่อย่างรอบด้าน ทั้งในมิติของประสบการณ์ พื้นที่สีเขียว และความยั่งยืนในระยะยาว ผมขอขอบคุณทีมผู้ออกแบบ Stu/D/O Architects และทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมในการผลักดันโครงการนี้ให้เกิดขึ้นจริง”
การได้รับรางวัล Architizer A+Awards ในปีนี้ นับเป็นอีกหนึ่งหลักไมล์สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของนักออกแบบไทยบนเวทีสถาปัตยกรรมระดับโลก และเป็นแรงผลักดันให้วงการอสังหาริมทรัพย์ไทยก้าวสู่มาตรฐานใหม่ที่ยั่งยืน ทันสมัย และตอบสนองความต้องการของสังคมในอนาคต

การบินไทยจัดการประชุมสายการพาณิชย์ประจำปี 2568  THAI Commercial Conference 2025 “Aim Further: Strive for New Heights”กรุ...
25/07/2025

การบินไทยจัดการประชุมสายการพาณิชย์ประจำปี 2568 THAI Commercial Conference 2025 “Aim Further: Strive for New Heights”

กรุงเทพฯ 25 กรกฎาคม 2568 — บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) โดยสายการพาณิชย์ จัดการประชุมประจำปี THAI Commercial Conference 2025 ภายใต้แนวคิด “Aim Further: Strive for New Heights” เพื่อสื่อสารทิศทางการดำเนินงานเชิงกลยุทธ์ พร้อมอัพเดทผลิตภัณฑ์และการให้บริการแก่พันธมิตรทางธุรกิจ ตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสารจากทุกภูมิภาคทั่วโลกตามจุดบินของบริษัทฯ ทั้งในยุโรป เอเชีย ออสเตรเลีย และตัวแทนจากประเทศไทย พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงานการบินไทยในสำนักงานสาขาต่างประเทศทั่วโลก ณ โรงแรม แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค กรุงเทพฯ โดยมี นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทยฯ ให้เกียรติร่วมงาน

นายกรกฏ ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทยฯ นำทีมผู้บริหารสายการพาณิชย์ร่วมถ่ายทอดทิศทางเชิงกลยุทธ์ แนวโน้มอุตสาหกรรมการบิน ตลอดจนแผนพัฒนาธุรกิจในทุกมิติของสายการพาณิชย์ เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้โดยสาร และสร้างรายได้อย่างยั่งยืน ตอกย้ำพันธกิจของการบินไทยในการส่งมอบคุณค่าที่แตกต่างแก่ลูกค้าทั่วโลก การจัดประชุมในครั้งนี้ ยังสะท้อนถึงความพร้อมของการบินไทยหลังจากประสบความสำเร็จในการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ และการเตรียมความพร้อมเพื่อกลับเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับพันธมิตรทางธุรกิจทั่วโลก

ภายในงานยังได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิร่วมบรรยายพิเศษ ได้แก่ Mr. David Mann, Chief Economist,Asia Pacific, Middle East & Africa จาก Mastercard ซึ่งได้แบ่งปันมุมมองด้านเศรษฐกิจมหภาคและแนวโน้มการท่องเที่ยวในระดับโลก และ Mr. Alex Haigh, Managing Director จาก Brand Finance Asia Pacific ที่ร่วมสะท้อนบทบาทของแบรนด์ในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของสายการบิน

โอกาสเดียวกันนี้ การบินไทยยังได้แนะนำผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ที่พร้อมสร้างประสบการณ์การเดินทางที่น่าประทับใจยิ่งขึ้น อาทิ การนำเสนอเก้าอี้โดยสารบนเครื่องบินแบบ A321neo ผ่านระบบ Virtual Reality นิตยสารสวัสดี อาหารและเครื่องดื่ม ชุด Amenity Kits ในเที่ยวบินชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจ รวมถึงผลิตภัณฑ์จาก THAI Shop นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการจัดแสดงแฟชั่นโชว์ชุดพิเศษ ถ่ายทอดความงดงามของเครื่องแบบพนักงานต้อนรับของการบินไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สะท้อนเส้นทางแห่งความภาคภูมิใจตลอด 65 ปีขององค์กร จาก “ความสง่างาม” สู่ “การเติบโต” อย่างมั่นคง ภายใต้แนวคิด “Grace to Growth” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาองค์กรควบคู่กับการส่งมอบประสบการณ์เหนือระดับให้แก่ผู้โดยสารทั่วโลก
การประชุมในครั้งนี้นับเป็นเวทีสำคัญในการเชื่อมโยงสายการบินไทยกับพันธมิตรทั่วโลก พร้อมก้าวเดินไปสู่อนาคตด้วยความมุ่งมั่น แข็งแกร่ง และเปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ เพื่อยกระดับการให้บริการ และตอกย้ำความเป็นผู้นำในฐานะสายการบินแห่งชาติที่พร้อมเชื่อมโยงประเทศไทยสู่ทุกมุมโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ศูนย์คลังข้อมูลกฎหมายฯ จัดบรรยายพิเศษการรู้เท่าทัน AI และการใช้งาน พ.ร.บ. AI ยุคดิจิทัล ปี 2568  ผศ.ดร. สราวุฒิ  สืบแย้ม...
25/07/2025

ศูนย์คลังข้อมูลกฎหมายฯ จัดบรรยายพิเศษการรู้เท่าทัน AI และการใช้งาน พ.ร.บ. AI ยุคดิจิทัล ปี 2568

ผศ.ดร. สราวุฒิ สืบแย้ม ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายการคลังและกิจการทั่วไป และประธานคณะกรรมการศูนย์คลังข้อมูลกฎหมายการศึกษาและอุตสาหกรรม กองกลาง สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เป็นประธานเปิดการบรรยายพิเศษในหัวข้อ เรื่อง “การรู้เท่าทัน AI และการใช้งาน พ.ร.บ. AI
ในยุคดิจิทัล” ประจำปีการศึกษา 2568 ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2568
โดยได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.พยุง มีสัจ ผู้อำนวยการสำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เป็นวิทยากร
มีวัตถุประสงค์เพื่อ เพื่อให้บุคลากร มจพ. มีความรู้ ความเข้าใจ การรู้เท่าทัน AI และการใช้งาน พ.ร.บ. AI เกี่ยวกับประเภทของ AI และผลกระทบที่ AI มีต่อชีวิตประจำวันและภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงส่งเสริมการใช้ AI อย่างมีจริยธรรม มีความรับผิดชอบ และตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งาน AI ที่ไม่เหมาะสม
โดยมีบุคคลากร มจพ. และผู้สนใจเข้าฟังจำนวนมาก ณ หอประชุมเบญจรัตน์ อาคารนวมินทรราชินี มจพ.

ติดตามข่าวสารได้ที่นี้ https://www.facebook.com/elic.kmutnb/
หรือที่เว็บไวซต์ https://elic.kmutnb.ac.th/index.php

AI Culture: Modern Organizational Culture in the Age of Artificial IntelligenceIn an era where technology is rapidly cha...
24/07/2025

AI Culture: Modern Organizational Culture in the Age of Artificial Intelligence

In an era where technology is rapidly changing, organizations must continuously adapt to the emerging challenges and opportunities. One of the significant changes is Artificial Intelligence (AI), which plays a vital role in driving various industries, whether manufacturing, services, finance, healthcare, as well as public and private sectors. However, leveraging AI to its fullest potential is not solely about technology. It also requires an organizational culture that is ready to support and advance alongside AI operations. Today, OPEN-TEC (Tech Knowledge Sharing Platform), powered by TCC TECHNOLOGY GROUP, will take you to explore the “AI culture”, which becomes the foundation of modern organizations.
What is AI Culture?
AI Culture, or an organization culture that aligns with AI, refers to the integration of AI into an organization's concepts, work processes, and values in a balanced and ethical manner. The goal is to enable humans and AI to work together seamlessly, which enhance efficiency, fostering innovation, and expanding the organization's capabilities. According to the Human Technology Institute (HTI - UTS), organizations with an AI culture understand both the strengths and limitations of AI. They create an environment that promotes diverse learning methods, including training, experimentation, and continuous adaptation.1 These elements are crucial for driving organizations forward in the digital age.
The Role of Leadership in Driving AI Culture
Creating a sustainable AI culture begins with "leaders" who have a clear vision and understanding of AI's role. They must be capable of integrating technology with organizational strategy and ethical principles. A report by the World Economic Forum reveals that 74% of employees prefer learning through their leaders, highlighting the critical role leadership plays in building internal capabilities, especially as technological skills evolve rapidly.2 Therefore, investing in learning and development becomes a key tool for upskilling, motivating, and ensuring long-term organizational growth.
Promoting AI Literacy at All Levels
AI Literacy is no longer confined to IT departments. All units, including marketing, finance, HR, and executive leadership, must engage with AI knowledge and application relevant to their roles. A Microsoft report shows that employees who receive proper AI training are 1.9 times more likely to see its value, especially in decision-making and improving work performance.3 Therefore, organizations should start by providing foundational knowledge of how AI works, while embedding ethical considerations, transparency, and responsibility to enable employees to use technology confidently. When learning becomes a part of the organizational culture, change is no longer feared but embraced as a chance to elevate both individual and organizational capability.
AI Culture and Competitive Advantage
Having a sustainable AI culture is more than just a response to technological trends, it is a long-term strategy to build competitive advantage. Organizations that effectively use data and AI can adapt to market changes faster, make more accurate decisions, and innovate continuously. According to Deloitte, organizations that use data effectively are 48% more likely to achieve business goals within a year, while those lacking such an AI culture often struggle to adapt.4 AI Culture, deeply embedded within an organization’s structure and mindset, becomes a unique strength which is difficult to replicate because it is not about carelessly technology use, but a consistent set of behaviors and values at every level.
Lastly, in an era where data has become invaluable assets, transforming data into accurate decision making is the heart of success. Having an "AI culture" is the crucial mechanism that makes things happen sustainably, empowering organizations to move forward with AI as a shared purpose.

Reference
1. Carney, G., & Davis, N. (2024). People, skills and culture for effective AI governance (AI Governance Snapshot #4). Human Technology Institute, University of Technology Sydney (UTS).
2. World Economic Forum. (2025). AI and beyond: How every career can navigate the new tech landscape. https://www.weforum.org/stories/2025/01/ai-and-beyond-how-every-career-can-navigate-the-new-tech-landscape/
3. Benzing, M. (2025). Research drop: Investing in training opportunities to close the AI skills gap. Microsoft.https://techcommunity.microsoft.com/blog/microsoftvivablog/research-drop-investing-in-training-opportunities-to-close-the-ai-skills-gap/4389566
4. Davenport, T. H., Smith, T., Guszcza, J., & Stiller, B. (2019). Analytics and AIdriven enterprises thrive in the Age of With. Deloitte Insights. https://www.deloitte.com/us/en/insights/topics/analytics/insight-driven-organization.html

AI Culture: วัฒนธรรมองค์กรยุคใหม่ในโลกของปัญญาประดิษฐ์ ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว องค์กรต่างๆ จำเป็นต้อง...
24/07/2025

AI Culture: วัฒนธรรมองค์กรยุคใหม่ในโลกของปัญญาประดิษฐ์

ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับความท้าทายและโอกาสที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในปัจจัยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต การบริการ การเงิน การแพทย์ รวมไปถึงภาครัฐและภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว หากจำเป็นต้องมีวัฒนธรรมองค์กรที่เข้าใจและพร้อมทำงานร่วมกับ AI อย่างเป็นระบบและยั่งยืน วันนี้ OPEN-TEC (Tech Knowledge Sharing Platform) ภายใต้การดูแลของ TCC TECHNOLOGY GROUP จะพาทุกท่านไปสำรวจ “AI Culture” ที่จะกลายเป็นรากฐานสำคัญขององค์กรยุคใหม่

AI Culture คืออะไร?
AI Culture หรือ วัฒนธรรมองค์กรที่พร้อมอยู่ร่วมกับ AI หมายถึงการบูรณาการ AI เข้ากับแนวคิด กระบวนการทำงาน และค่านิยมขององค์กรอย่างสมดุลและมีจริยธรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อให้คนและ AI สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เปิดโอกาสในการสร้างนวัตกรรม และขยายศักยภาพขององค์กรให้กว้างขึ้น ทั้งนี้ จากข้อมูลของสถาบัน Human Technology Institute ระบุว่า องค์กรที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่พร้อมอยู่ร่วมกับ AI จะมีความเข้าใจในศักยภาพและข้อจำกัดของ AI พร้อมสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการฝึกอบรม การทดลองใช้งาน และการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง1 ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญในขับเคลื่อนองค์กรในยุคดิจิทัล

บทบาทของผู้นำในการผลักดัน AI Culture
การเสริมสร้าง AI Culture ให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน เริ่มต้นจาก “ผู้นำ” ที่มีวิสัยทัศน์และเข้าใจบทบาทของ AI อย่างชัดเจน พร้อมสามารถเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากลยุทธ์และแนวคิดด้านจริยธรรมขององค์กร จากรายงานของ World Economic Forum ชี้ให้เห็นว่า 74% ของบุคลากรต้องการเรียนรู้ผ่านผู้นำของตนเอง ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของบทบาทผู้นำในการเสริมสร้างศักยภาพคนในองค์กร2 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ทักษะด้านเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การลงทุนด้านการเรียนรู้จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มพูนทักษะ เสริมสร้างแรงจูงใจ และการเติบโตขององค์กรในระยะยาว

การส่งเสริม AI Literacy ในทุกระดับ
AI Literacy หรือ การรู้เท่าทัน AI ไม่ได้จำกัดเฉพาะฝ่ายงานด้านเทคโนโลยีอีกต่อไป ทุกฝ่ายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการตลาด การเงิน ทรัพยากรบุคคล หรือผู้บริหารระดับสูง ต่างมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้และประยุกต์ใช้ AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในบริบทของตนเอง ตามรายงานจาก Microsoft ชี้ให้เห็นว่าบุคลากรที่ได้รับการฝึกอบรมด้าน AI อย่างเหมาะสม มีแนวโน้มที่จะมองเห็นคุณค่าของ AI มากกว่าคนทั่วไปถึง 1.9 เท่า โดยเฉพาะในด้านการตัดสินใจและการเพิ่มประสิทธิภาพงาน3 ดังนั้น องค์กรจึงควรเริ่มต้นจากการให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทำงานของ AI พร้อมปลูกฝังแนวคิดด้านจริยธรรม ความโปร่งใส และความรับผิดชอบในการใช้งาน เพื่อให้บุคลากรมีความมั่นใจในการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม เพราะเมื่อการเรียนรู้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กร การเปลี่ยนแปลงก็จะไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว แต่คือโอกาสในการยกระดับความสามารถของคนและองค์กรไปพร้อมกัน

AI Culture ต่อความสามารถในการแข่งขัน
การมี AI Culture อย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงการตอบสนองต่อกระแสเทคโนโลยีเท่านั้น หากแต่เป็นกลยุทธ์ระยะยาวในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน องค์กรที่มีวัฒนธรรมการใช้ช้อมูลและ AI อย่างมีระบบจะสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็ว ตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น พร้อมทั้งสร้างสิ่งใหม่ๆได้อย่างต่อเนื่อง ตามข้อมูลของ Deloitte ยังระบุว่า องค์กรที่ใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพมีโอกาสบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจสูงถึง 48% ภายในหนึ่งปี ในขณะที่องค์กรที่ขาดวัฒนธรรมดังกล่าวกลับเผชิญปัญหาด้านการปรับตัว4 ทั้งนี้ AI Culture ที่ฝังลึกอยู่ในโครงสร้างและ ความคิดของผู้คนภายในองค์กรยังเป็นจุดแข็งที่ยากจะลอกเลียนแบบ เพราะไม่ใช่แค่การใช้เทคโนโลยีอย่างฉาบฉวย แต่เป็นแนวคิดและพฤติกรรมที่สอดคล้องกันในทุกระดับขององค์กร

สุดท้ายนี้ ในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นสินทรัพย์อันล้ำค่า การแปลงข้อมูลให้กลายเป็นการตัดสินใจที่แม่นยำ คือหัวใจของความสำเร็จ และ “AI Culture” คือกลไกสำคัญที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน และเปลี่ยนแปลงองค์กรให้ก้าวเดินไปพร้อมกับ AI อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน

อ้างอิง
1. Carney, G., & Davis, N. (2024). People, skills and culture for effective AI governance (AI Governance Snapshot #4). Human Technology Institute, University of Technology Sydney (UTS).
2. World Economic Forum. (2025). AI and beyond: How every career can navigate the new tech landscape. https://www.weforum.org/stories/2025/01/ai-and-beyond-how-every-career-can-navigate-the-new-tech-landscape/
3. Benzing, M. (2025). Research drop: Investing in training opportunities to close the AI skills gap. Microsoft.https://techcommunity.microsoft.com/blog/microsoftvivablog/research-drop-investing-in-training-opportunities-to-close-the-ai-skills-gap/4389566
4. Davenport, T. H., Smith, T., Guszcza, J., & Stiller, B. (2019). Analytics and AIdriven enterprises thrive in the Age of With. Deloitte Insights. https://www.deloitte.com/us/en/insights/topics/analytics/insight-driven-organization.html

มาห์เลเดินหน้าเต็มสูบสู่เป้าหมายการลดคาร์บอนความหลากหลายด้านเทคโนโลยีเป็นกลยุทธ์ที่มาห์เลยึดถือมาโดยตลอดการนำเทคโนโลยีระ...
24/07/2025

มาห์เลเดินหน้าเต็มสูบสู่เป้าหมายการลดคาร์บอน

ความหลากหลายด้านเทคโนโลยีเป็นกลยุทธ์ที่มาห์เลยึดถือมาโดยตลอด
การนำเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนที่ยั่งยืนมาใช้กับยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น จะช่วยเร่งผลักดันการปกป้องสภาพภูมิอากาศ
มาห์เลเรียกร้องให้มีการปรับปรุงกฎหมายควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ในยุโรปโดยเร็ว เพื่อให้มีผลครอบคลุมกับเครื่องยนต์สันดาปภายในและเชื้อเพลิงที่ยั่งยืน

อาร์นด์ ฟรานซ์ ซีอีโอของมาห์เล กล่าวว่า “เราต้องการให้ความหลากหลายทางเทคโนโลยีถูกบรรจุไว้ในกฎหมาย เพื่อปกป้องสภาพภูมิอากาศ เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรป และรักษาอัตราการจ้างงานในยุโรป”
ที่งาน IAA Mobility มาห์เลจะเข้าร่วมจัดแสดงเทคโนโลยีที่ช่วยเร่งการใช้ระบบขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้า และลดการปล่อย CO₂ ในการจราจรบนท้องถนน

มาห์เลไม่เพียงแต่ปรับปรุงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในการแข่งขันและเพิ่มความสามารถในการปรับตัว
ความหลากหลายทางเทคโนโลยีเป็นกลยุทธ์ที่มาห์เล (MAHLE) ยึดถือมาโดยตลอด และยังเป็นรูปแบบที่มีความหวังมากที่สุดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เนื่องจากระบบขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้า (e-mobility) ยังขยายตัวได้ช้า มาห์เลจึงขอเน้นย้ำว่า นอกจากรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ 100% แล้ว วงการอุตสาหกรรมควรสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงระบบไฮบริดและระบบเปลี่ยนน้ำมันเป็นพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่ (range extender) โดยอาร์นด์ ฟรานซ์ (Arnd Franz) ซีอีโอของมาห์เล ได้เรียกร้องที่งาน MAHLE Tech Day ณ เมืองชตุทท์การ์ท ขอให้ยุโรปแก้กฎหมายควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยเร็ว เพื่อให้กฎหมายมีผลครอบคลุมกับเทคโนโลยีการเผาไหม้ที่ยั่งยืนและเชื้อเพลิงหมุนเวียนด้วย

“ในฐานะซัพพลายเออร์ เราต้องการให้กฎหมายมีความเป็นกลางทางเทคโนโลยี (technology neutrality) เพื่อที่เราจะได้เดินหน้าอย่างรวดเร็วในการปกป้องสภาพภูมิอากาศ เพื่อที่ความเชี่ยวชาญและจุดแข็งด้านนวัตกรรมของอุตสาหกรรมยานยนต์ยุโรปจะยังคงเติบโตต่อไปในยุโรป รวมทั้งการรักษาอัตราการจ้างงานในยุโรป และช่วยให้เศรษฐกิจของยุโรปสามารถกลับมาเข้มแข็งได้ดังเดิม”
โดยมาห์เลไม่เพียงมุ่งเน้นปรับปรุงประสิทธิภาพในการนำเสนอผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการปรับปรุงการดำเนินงานทั้งหมดด้วย เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างความยืดหยุ่น ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ผันผวนในปัจจุบัน

ความเป็นกลางทางเทคโนโลยี เพื่อลดการปล่อย CO₂ และกระตุ้นเศรษฐกิจ
“เรามีความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนในเรื่องการปกป้องสภาพภูมิอากาศ และพร้อมผลักดันระบบขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้า (e-mobility)” อาร์นด์ ฟรานซ์ ซีอีโอของมาห์เล กล่าวกับนักข่าวจากนานาประเทศ นอกจากผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าแบตเตอรี่แล้ว มาห์เลยังลงทุนในระบบไฮบริดและระบบเปลี่ยนน้ำมันเป็นพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่เพื่อที่จะทำให้รถยนต์ไฟฟ้าใช้งานได้ในสถานการณ์จริงมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีเหล่านี้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศต่าง ๆ เช่น จีน โดยคาดว่า รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้ระบบเปลี่ยนน้ำมันเป็นพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่จะมีส่วนแบ่งในตลาดโลกเพิ่มขึ้น 15% ต่อปีจนถึงปี 2573 และมาห์เลมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมในการเติบโตนี้
นอกจากนี้ ฟรานซ์ยังเน้นย้ำถึงศักยภาพของเชื้อเพลิงหมุนเวียน โดยกล่าวว่า “แผนการปกป้องสภาพภูมิอากาศในภาคการจราจรทางถนนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพจะสมบูรณ์ไปไม่ได้หากปราศจากเชื้อเพลิงหมุนเวียน ซึ่งนอกจากไฮโดรเจนที่ใช้ในภาคการขนส่งแล้ว เชื้อเพลิงชีวภาพสามารถสนับสนุนการเดินทางส่วนบุคคล (individual mobility) ได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน” เขาเน้นย้ำ
ฟรานซ์กล่าวว่า การที่จะบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศนั้น รถยนต์ที่วิ่งบนท้องถนนจะต้องใช้เชื้อเพลิงชีวภาพและเชื้อเพลิงสังเคราะห์ให้ได้ในสัดส่วนถึง 30% ภายในปี 2573 “เทคโนโลยีของมาห์เลสามารถรองรับการใช้เชื้อเพลิงหมุนเวียนได้โดยตรงอย่างไม่มีข้อจำกัด”

ซีอีโอมาห์เลยังเตือนด้วยว่า สหภาพยุโรป (EU) ได้เดินมาถึงช่วงเวลาที่จะต้องตัดสินใจแล้ว “การปรับปรุงกฎหมาย CO₂ ในยุโรปต้องไม่ล่าช้า เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ทำงานโดยใช้เชื้อเพลิงที่เป็นกลางทางสภาพภูมิอากาศ จะต้องได้รับการยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางแก้ปัญหา” หากไม่มีการสนับสนุนด้านกฎระเบียบ มาห์เลอาจจะระงับการลงทุนในกิจกรรมเกี่ยวกับเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ที่ยั่งยืนในยุโรป
มาห์เลชูกลยุทธ์ MAHLE 2030+ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่ระบบส่งกำลังทุกประเภทที่มีส่วนช่วยปกป้องสภาพภูมิอากาศ ไม่ว่าจะเป็นระบบขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้า เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ยั่งยืน และการจัดการความร้อนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด

ประสิทธิภาพขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
มาห์เลยังคงเดินหน้าปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยปรับใช้โครงสร้างองค์กรใหม่ทั่วโลกในระยะเวลา 200 วัน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับแต่ละภูมิภาคและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อ และปัจจุบันกำลังดำเนินโครงการ “Back on Track 2025” ซึ่งรวมมาตรการประหยัดพลังงาน เช่น การปิดอุปกรณ์ และการใช้ระบบความร้อนจากเซลล์แสงอาทิตย์
นอกจากนี้ มาห์เลยังส่งเสริมการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยนำแมชชีนเลิร์นนิงมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งการผลิตและการดำเนินงานในสำนักงาน ขณะที่เจเนอเรทีฟ เอไอ ช่วยเร่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะเห็นได้จากพัดลมหมุนเหวี่ยงแบบไบโอนิก (bionic radial blower) ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากปีกของนกเพนกวิน ทั้งนี้สามารถพบกับผลิตภัณฑ์นี้ได้ที่งาน IAA Mobility

มาห์เลเข้าร่วมงาน IAA Mobility 2025
มาห์เลจะจัดแสดงนวัตกรรมในสามด้านหลัก ได้แก่ ระบบเปลี่ยนน้ำมันเป็นพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่เพื่อเพิ่มระยะทางขับขี่ของรถยนต์ไฟฟ้า โมดูลการจัดการความร้อนที่รวมฮีทปั๊มในตัว และชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่รองรับเชื้อเพลิงเอทานอลเพื่อลดการปล่อยมลพิษ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ “Efficiency” ที่มาห์เลยึดถือ
ดร. มาร์โก วาร์ธ (Dr. Marco Warth) รองประธานฝ่ายวิจัยองค์กรและวิศวกรรมขั้นสูงของมาห์เล กล่าวว่า “ที่มาห์เล คำว่าประสิทธิภาพไม่เพียงนิยามความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมระหว่างความพยายามกับผลลัพธ์เท่านั้น แต่เรายังทำให้หลักการนี้เป็นไปได้ด้วยโซลูชันนวัตกรรมที่ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากร ประหยัดพลังงาน และส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่การขับเคลื่อนที่ยั่งยืน”
ระบบเปลี่ยนน้ำมันเป็นพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่ช่วยส่งเสริมความก้าวหน้าของรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่
ความกังวลเรื่องระยะทางวิ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อยานยนต์ไฟฟ้า มาห์เลตระหนักถึงความกังวลนี้ จึงได้นำเสนอระบบเปลี่ยนน้ำมันเป็นพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่เพื่อให้พลังงานสำรองแก่รถยนต์ไฟฟ้าเมื่อแบตเตอรี่หมด ทำให้สามารถใช้แบตเตอรี่ที่มีขนาดเล็กลงและลดต้นทุน ในขณะที่ให้ระยะทางวิ่งไกลขึ้น
ระบบ 800 V มาพร้อมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงกว่า 97% และเครื่องยนต์สันดาปภายในขนาดกะทัดรัดและไฮเทค ที่ใช้เทคโนโลยี Jet Ignition เทอร์โบชาร์จเจอร์ ระบบหัวฉีดไดเรกต์อินเจกชัน และวาล์วควบคุมแบบ Miller cycle ผลลัพธ์ที่ได้คือ ประสิทธิภาพมากกว่า 42% และมีเสียงรบกวนน้อยที่สุด
“ระบบเปลี่ยนน้ำมันเป็นพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่ของมาห์เลมีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย และช่วยประหยัดทรัพยากร จึงเป็นชุดแบตเตอรี่พกพาที่กะทัดรัดและมีประสิทธิภาพเชื่อถือได้สำหรับระบบขับเคลื่อน” มาร์โก วาร์ธ รองประธานฝ่ายวิจัยองค์กรและวิศวกรรมขั้นสูง กล่าว ชิ้นส่วนยานยนต์ที่มาห์เลพัฒนาขึ้นเองนี้ช่วยให้ระบบขับเคลื่อนมีขนาดกะทัดรัด นอกจากนี้ในการทดสอบ WLTP รถยนต์ยังสามารถทำระยะทางได้สูงสุดถึง 1,350 กม.

โมดูลการจัดการความร้อนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและระยะทาง
โมดูลการจัดการความร้อนของมาห์เลประกอบด้วยปั๊มความร้อนประสิทธิภาพสูงที่ช่วยเพิ่มระยะทางของรถยนต์ไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 20% การออกแบบที่ครบเครื่องและขนาดที่กะทัดรัดช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและลดต้นทุนของระบบ โมดูลนี้สามารถใช้สารทำความเย็นได้หลากหลาย และจะเริ่มเข้าสู่สายการผลิตได้ภายในสองปี
“ข้อได้เปรียบของมาห์เลในสภาพแวดล้อมการแข่งขันของเราคือ ความเชี่ยวชาญด้านชิ้นส่วนและระบบที่ครอบคลุม ซึ่งเราสั่งสมประสบการณ์เหล่านี้จากการพัฒนาและการผลิตภายในองค์กร ด้วยเหตุนี้ เราจึงสามารถนำเสนอโซลูชันแบบองค์รวมที่ประสานการทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ” วาร์ธกล่าว

พัดลมหมุนเหวี่ยงแบบไบโอนิก – แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ
พัดลมหมุนเหวี่ยงรุ่นใหม่ของมาห์เลได้รับแรงบันดาลใจมาจากปีกของนกเพนกวิน และถูกพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วโดยใช้เครื่องมือ AI ภายในองค์กร พัดลมหมุนเหวี่ยงแบบไบโอนิกให้เสียงที่เงียบลง 60% และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น 15% เมื่อเทียบกับพัดลมแบบดั้งเดิม เหมาะสำหรับพื้นที่ขนาดเล็กในรถยนต์ทุกประเภท

เครื่องยนต์เอทานอล – มาห์เลพร้อมแล้วสำหรับเชื้อเพลิงที่ยั่งยืน

มาห์เลยังได้นำเสนอผลิตภัณฑ์เซลล์พลังงานสำหรับเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้เอทานอลเป็นเชื้อเพลิง โดยรถยนต์สามารถลดการปล่อย CO₂ ได้สูงสุดถึง 70% เมื่อใช้เอทานอล E100

พร้อมกันนี้ มาห์เลขอแนะนำชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่รองรับเอทานอล ซึ่งช่วยลดการปล่อย CO₂ ได้สูงสุดถึง 70% และประหยัดเชื้อเพลิงได้ 1.5% ดีไซน์ของชิ้นส่วนนี้ให้ความมั่นใจในเรื่องของความทนทานและกินน้ำมันน้อยภายใต้ความเค้นจำเพาะ (specific stress) ของเอทานอล

ที่อยู่

Samutpraken

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ newslive-thailand.comผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์