29/09/2025
วัดใจนายกฯ อนุทิน กล้าทำ 4 เรื่องนี้หรือไม่? ค่าไฟประชาชนลดทันที
1. ยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแบบ Adder ที่ไม่เป็นธรรม
2. ยกเลิก-ทบทวนโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ที่ออกแบบเพื่อเอื้อกลุ่มทุนมากกว่าประชาชน
3. ยกเลิกการก่อสร้าง LNG Terminal 3
4. ทําแผนพัฒนาพลังไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่ ที่โปร่งใส สอดคล้องเป้าหมายประเทศ
ศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายประเด็นนโยบายพลังงานในการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาเมื่อ 29 ก.ย. โดยกล่าวว่าทุกคนทราบดีว่ารัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ชุดนี้เป็นรัฐบาลเฉพาะกาล สิ่งที่ประชาชนคาดหวังไม่ใช่การสร้างโครงการใหม่ที่หวือหวาหรือซับซ้อนเกินกําลังตัวเอง แต่สิ่งที่ประชาชนรวมถึงตนพอจะคาดหวังได้ คือการสะสางปัญหาเก่าที่รัฐบาลในอดีตปล่อยปละละเลย ไม่สร้างภาระต้นทุนใหม่ให้ประชาชน และถ้าเป็นไปได้ ต้องวางรากฐานที่ดีสําหรับภาคพลังงาน
คําแถลงนโยบายของรัฐบาลอนุทินมีหลายจุดที่สอดคล้องกับสิ่งที่ตนเคยเสนอ ทั้งการลดรายจ่ายค่าพลังงาน ส่งเสริมโซลาร์ภาคครัวเรือนและเกษตร รวมถึงการผลักดันพลังงานสะอาดและตั้งเป้าหมายให้
ทะเยอทะยานมากขึ้นอย่าง Net Zero ในปี 2050 แต่สิ่งที่ยังขาดในคําแถลงนี้ คือการสะสางปัญหาเก่าที่เป็นต้นเหตุหลักของค่าไฟแพง
ค่าไฟแพงไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ แต่เป็นผลจากการตัดสินใจผิดพลาดทางนโยบาย หรือแม้แต่จงใจผิดพลาดเพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง เรามีสัญญาซื้อไฟฟ้าที่ไม่เป็นธรรม โครงการที่ออกแบบเพื่อเอื้อกลุ่มทุนมากกว่าประชาชน แผนที่ไม่โปร่งใสและไม่สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศ
ดังนั้นถ้าปล่อยให้รัฐบาลเฉพาะกาลเดินตามรอยรัฐบาลก่อน จะเป็นการเสียโอกาสครั้งสําคัญสําหรับประเทศและประชาชน ในช่วงเวลา 4 เดือน จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินงานเพียง 4 เรื่องใหญ่ ที่จะช่วยลดค่าไฟให้กับประชาชนได้แน่นอน ทุกเรื่องตัดสินใจได้ทันทีบนโต๊ะประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่นายกฯ เป็นประธาน
[ ยกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้าแบบ Adder ]
เรื่องนี้เป็นปัญหาเรื้อรังที่รัฐเคยทํากับผู้ประกอบการพลังงานหมุนเวียนในอดีต โดยให้การสนับสนุนเพิ่มจากราคาปกติเพื่อจูงใจการลงทุนในช่วงที่เทคโนโลยียังใหม่ แต่เวลาผ่านไปสิบกว่าปี ต้นทุนพลังงานหมุนเวียนลดลงมหาศาล แต่สัญญา Adder ยังคงบังคับใช้ แถมยังเป็นสัญญาที่ถูกตีความว่าไม่มีวันหมดอายุ ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อต้นทุนพลังงานหมุนเวียนลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีเอกชนจํานวนหนึ่งที่ขายไฟให้ประชาชนในราคาที่แพงกว่า 3 บาท ทั้งที่ต้นทุนของโรงไฟฟ้าเหล่านี้อยู่แค่ 1 บาทกว่าเท่านั้น สิ่งนี้ชัดเจนว่าทําให้ประชาชนต้องแบกรับค่าไฟที่สูงกว่าความเป็นจริง
จึงหวังว่ารัฐบาลอนุทินที่พยายามคัดสรรผู้มีความสามารถอยู่ในคณะรัฐมนตรี จะทำสิ่งที่แตกต่างออกไป เพราะคณะกรรมการกํากับกิจการพลังงานเคยแถลงข่าวแล้วว่ารอมติจากฝ่ายการเมืองเพียงอย่างเดียว หากรัฐบาลยกเลิกได้จะช่วยลดค่าไฟได้ถึง 17 สตางค์ต่อหน่วย ภายในเดือนแรกขอให้รัฐบาลเริ่มต้นด้วยการทบทวนและยกเลิกสัญญาที่ไม่เป็นธรรมเหล่านี้
[ ยกเลิกการรับซื้อไฟฟ้าล็อตใหญ่ ]
จากปีที่ผ่านมารัฐบาลเปิดโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนล็อตใหญ่ ทั้งรอบ 5,200 และ 3,600 เมกะวัตต์ ซึ่งตนเคยอภิปรายและตั้งกระทู้ถามหลายครั้ง รวมถึงยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ไปแล้วว่าโครงการนี้ไม่โปร่งใส เป็นการทุจริตเชิงนโยบายที่เปิดช่องให้ผู้มีสายสัมพันธ์ทางการเมืองและทุนใหญ่ได้เปรียบ สุดท้ายประชาชนต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้นอีกรวมหลักแสนล้านบาท
สิ่งที่รัฐบาลต้องทําทันที คือต้องหยุดโครงการที่ยังไม่เซ็นสัญญา และต้องเจรจาลดราคาในโครงการที่เซ็นไปแล้ว โดยทุกอย่างต้องเปิดเผยต่อประชาชน อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการที่รัฐบาลเก่าตั้งขึ้นมาตรวจสอบ กลับบอกว่า “ไม่พบความผิด” ทั้งที่ปัญหาเห็นอยู่เต็มตา จึงขอให้รัฐบาลใหม่ตอบให้ชัดว่าจะเดินหน้าต่อหรือจะยกเลิก นี่คือเรื่องที่ควรทำให้สำเร็จในเดือนที่สอง และเดินหน้าสู่ระบบแข่งขันเสรีแบบ TPA (Third Party Access) เพื่อเปิดให้เอกชนและชุมชนซื้อไฟตรงจากผู้ผลิตได้ ไม่ต้องผ่านการผูกขาด เพื่อไม่ให้ค่าไฟของประชาชนแพงไปกว่าเดิม
[ ยกเลิกการก่อสร้าง LNG Terminal 3 ]
ที่ผ่านมาอีกปัจจัยที่ทำให้ค่าไฟของประชาชนแพง เพราะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่จําเป็น เช่น โครงการก่อสร้าง LNG Terminal 3 เรามี Terminal 1 และ Terminal 2 ที่ยังใช้ไม่เต็มศักยภาพ แล้วทำไมจะสร้างแห่งที่ 3 อีก เงินลงทุนทุกบาทจะเข้าไปแฝงอยู่ในค่าไฟประชาชนอยู่ดี และในขณะที่แนวโน้มทั่วโลกกําลังลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล การสร้าง Terminal 3 ไม่ใช่การลงทุนเพื่ออนาคต แต่เป็นการผูกมัดประเทศให้ใช้ก๊าซธรรมชาติไปอีกนาน
หากรัฐบาลอ้างว่าต้องสร้างเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการส่งออก LNG ในภูมิภาค ก็ต้องถามกลับว่าทําไมต้องเอาต้นทุนค่าไฟของประชาชนมาแบกรับความเสี่ยงแทนนายทุนเจ้าของโครงการ อีกทั้งโครงการนี้ รัฐวิสาหกิจไทยถือหุ้นน้อยมาก ถ้าโครงการทำกําไร ประเทศไทยแทบไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าโครงการขาดทุน ประชาชนต้องแบกรับค่าไฟสูงขึ้น
ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลต้องทำมีเพียงอย่างเดียว คือออกมติ กพช. เพื่อยกเลิกมติเดิมครั้งที่ 3/2564 ที่ให้เอาต้นทุนของโครงการนี้มาอยู่ในค่าไฟประชาชน ถ้ารัฐบาลไม่สามารถเจรจาแก้สัญญาเพื่อเอาภาระออกจากบิลค่าไฟได้ โครงการนี้ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่ต้องเดินหน้าต่อไป
[ จัดทําแผน PDP ใหม่อย่างโปร่งใส ]
แผน PDP คือหัวใจของนโยบายพลังงาน ที่ผ่านมาแผน PDP ถูกวิจารณ์ว่าจัดทําในห้องปิด ขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ใช้สมมติฐานเอื้อต่อการสร้างโรงไฟฟ้าเกินจําเป็น แทนที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงดูดการลงทุนและลดภาระค่าครองชีพ กลับกลายเป็นภาระใหม่ของประชาชน
ดังนั้นรัฐบาลอนุทินต้องทําให้แผน PDP ใหม่มี 4 หลักการสําคัญ
(1) โปร่งใส ข้อมูลและเอกสารทุกขั้นตอนเปิดเผย ตรวจสอบได้
(2) มีส่วนร่วม ทุกฝ่ายต้องเข้ามาเสนอความคิดเห็น และนําไปปรับใช้จริง
(3) ตรวจสอบได้ มีกลไกอิสระคอยกลั่นกรอง ป้องกันการแทรกแซง
(4) บรรลุเป้าหมายประเทศเรื่องความมั่นคงทางพลังงาน ต้นทุนที่เป็นธรรม และ Net Zero 2050 นี่คือการวางรากฐานใหม่ให้พลังงานไทยไม่ตกอยู่ในวังวนของการผูกขาดและความไม่โปร่งใส อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีสัญญาณที่น่ากังวล เพราะประธานคณะกรรมการจัดทํา PDP ใหม่ต้องลาออกจากตําแหน่ง ท่ามกลางแรงกดดันจากภายนอกรัฐบาลจึงต้องยืนยันต่อประชาชนว่า PDP ฉบับใหม่นี้จะเดินหน้าอย่างโปร่งใส และเพื่อประโยชน์ของประชาชนจริงๆ
รัฐบาลนี้มีเวลาแค่ 4 เดือน ถ้ารัฐบาลมีความพร้อม สามารถทําทั้งหมดพร้อมกันได้ทันที ค่าไฟจะลดลงได้อย่างน้อย 30 สตางค์ต่อหน่วย และจะช่วยประชาชนหนึ่งครอบครัวประหยัดได้ร้อยกว่าบาทต่อเดือน
ถ้าทําได้ ประชาชนจะเห็นว่านี่คือรัฐบาลที่กล้าเปลี่ยนแปลงแม้เป็นรัฐบาลเฉพาะกาล แต่ถ้าไม่ทํา ประชาชนจะตัดสินเองในวันเลือกตั้งว่าใครทําเพื่อเขา หรือใครแค่ยื้อเวลาโดยไม่ทําอะไรเลย