28/10/2025
🖤🇹🇭
ทำไม “งานพระบรมศพของสมเด็จพระพันปีหลวง” จึงใช้งบประมาณแผ่นดิน และประเทศชาติได้อะไรจากการใช้งบมหาศาลสำหรับงานพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือผู้นำประเทศ?
ถ้าคิดจะถามคำถามนี้และต้องการหาคำตอบ จะต้องศึกษา เช่นอ่านบทความนี้ให้จบแล้วจะได้คำตอบทั้งหมด
#อัษฎางค์ยมนาค #อ่านเกมอำนาจ
_______________________________________________
ทุกประเทศที่มีประมุขแห่งรัฐ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์หรือประธานาธิบดี ต่างจัด “รัฐพิธีศพ” โดยใช้งบประมาณของรัฐ เพราะนี่คือ “พิธีของชาติ” เพื่อถวายเกียรติแก่สัญลักษณ์ของเอกภาพและอธิปไตย เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ที่สะท้อนรากเหง้าและความเป็นเอกลักษณ์ ไม่ได้ใช้งบเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของใคร
รัฐพิธีไม่ได้จัดขึ้นเพราะ “สถานะส่วนตัว” แต่เพราะบุคคลนั้นเป็น “ประมุขของรัฐ” หรือ “คู่พระบารมีของประมุข” และการจัดงานเป็น หน้าที่ของรัฐบาลทุกประเทศ เพื่อแสดงเกียรติในนามของประชาชน
นอกจากนี้ งานระดับนี้ยังเกี่ยวพันกับ
• การอารักขาความปลอดภัยของผู้นำโลก
• การถ่ายทอดสดสู่สาธารณะ
• การรองรับการเยือนของผู้นำประเทศ สมาชิกในราชวงศ์และคณะทูตจากนานาประเทศ
จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้จัดแบบ “เอกชน” หรือ “ครอบครัวจัดเอง” เพราะทุกขั้นตอนคือ “ภารกิจแห่งรัฐ”
อังกฤษก็ใช้งบประมาณจากรัฐในงานพระบรมศพของควีนเอลิซาเบธที่ 2 ประมาณ 162 ล้านปอนด์ (7,000 ล้านบาท)
จักรพรรดิโชวะของญี่ปุ่น (ฮิโรฮิโตะ, ค.ศ. 1989) จัดโดยรัฐบาลร่วมกับสำนักพระราชวัง งบประมาณที่เปิดเผยในแหล่งอ้างอิงหนึ่งระบุ 10,000 ล้านเยน
อดีตประธานาธิบดี จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช (ค.ศ. 2018)จัดโดยกองทัพ ในนามรัฐบาลกลาง
พระราชินีในประเทศประชาธิปไตยที่มีสถาบันกษัตริย์ทั่วโลก ล้วนได้รับพระเกียรติในฐานะ “คู่พระบารมีของประมุขรัฐ”
เพราะท่านไม่เพียงทรงเป็นมเหสี แต่ทรงเป็นส่วนหนึ่งของ “อัตลักษณ์และอารยธรรมของชาติ”
_______________________________________________
ทำไมใช้งบรัฐ?
เพราะเกี่ยวข้องกับความมั่นคง การทูต การถ่ายทอด และการอำนวยความสะดวกทั้งประเทศ
”สิ่งที่ประเทศไทยกำลังทำ ไม่ได้ต่างจากสิ่งที่ประเทศศิวิไลซ์ทั่วโลกทำ“
ถ้าจะถามว่า ประเทศชาติได้อะไรจากการใช้งบมหาศาลสำหรับงานศพของพระมหากษัตริย์พระมเหสี หรือผู้นำประเทศ?
คำตอบสั้นๆ โดยสรุปคือ….
ประเทศชาติไม่ได้มองพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ของพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรืองานศพของผู้นำสูงสุดเป็นเพียงพิธีกรรม หากแต่ใช้โอกาสนี้ในการสร้างความมั่นคงทางจิตใจ เสริมสร้างความสามัคคี สร้างรากฐานทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และการทูต พร้อมกับกระตุ้นเศรษฐกิจในทางหนึ่งด้วย
เมื่อตอบสั้นๆ โดยสรุปแบบนี้ ก็คงทำให้อยากรู้ว่า เกี่ยวอะไรกับจิตใจ วัฒนธรรม การทูตและการกระตุ้นเศรษฐกิจ?
คำตอบคือ
_______________________________________________
1. สร้างเอกลักษณ์แห่งชาติและความสามัคคี
งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรืองานศพของผู้นำสูงสุด คือโอกาสรวมใจประชาชนและสมาชิกทุกกลุ่มในสังคม เพื่อแสดงความอาลัยและรำลึกถึงสัญลักษณ์ของชาติ
เป็นการย้ำความเป็นหนึ่งเดียว ความสามัคคี และความต่อเนื่องของอำนาจอธิปไตย เพราะผู้นำประเทศเป็นสัญลักษณ์กลางทางการเมือง
ในอังกฤษ รัฐพิธีศพของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ถูกถ่ายทอดสดไปทั่วโลก มีผู้ชมกว่า 4 พันล้านคน นั่นไม่ใช่เพียงพิธีไว้อาลัย แต่เป็น “Soft Power เชิงสัญลักษณ์” ที่แสดงความมั่นคงของสถาบันและวัฒนธรรมอังกฤษ
ในญี่ปุ่น รัฐพิธีศพจักรพรรดิโชวะปี 1989 ทำให้ประเทศที่เพิ่งฟื้นจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ “รื้อฟื้นเกียรติ” ของราชวงศ์และชาติญี่ปุ่นในเวทีโลกอีกครั้ง
พิธีเช่นนี้ สร้างการยอมรับทางอารยธรรม (Civilizational Legitimacy) ซึ่งเงินจำนวนเท่าใดก็ไม่สามารถซื้อได้ด้วยโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์
นอกจากนี้ ในสังคมไทย สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ใช่เพียงโครงสร้างการเมือง แต่เป็น “ศูนย์รวมสัญลักษณ์ของชาติ”
พระราชพิธีต่าง ๆ จึงเป็นกลไกที่หล่อหลอม “อารมณ์ร่วมของสังคม” ให้กลับมาอยู่ในจุดสมดุล
_______________________________________________
2. การทูตและผลประโยชน์ระหว่างประเทศ
งานรัฐพิธีศพของผู้นำระดับโลก มักมีผู้นำและคณะทูตจากหลายชาติเดินทางมาเข้าร่วม เป็นเวทีพบปะสำคัญที่เกิดการเจรจาและเชื่อมความสัมพันธ์ทางการทูต
เพิ่มโอกาสสร้างภาพลักษณ์ประเทศในสายตานานาชาติและเสริมบทบาทของผู้นำในเวทีโลก เช่น งานศพควีนเอลิซาเบธที่ 2 มีผู้นำโลกเข้าร่วมจำนวนมาก ถือเป็น “diplomatic jamboree” ขนาดยักษ์
รัฐพิธีศพของผู้นำระดับโลกคือโอกาสที่ประเทศหนึ่ง
“เป็นเจ้าภาพของโลก”
โดยมีผู้นำและทูตกว่า 100 ประเทศเดินทางมาร่วม
สิ่งที่ตามมาคือการเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างไม่เป็นทางการ บางประเทศใช้โอกาสนี้ในการหารือทวิภาคีสั้น ๆ ระหว่างผู้นำ (เช่น Queen Elizabeth II State Funeral 2022 ซึ่งมีผู้นำกว่า 500 คนเข้าร่วม)
_______________________________________________
3. สร้างวัฒนธรรมและความทรงจำร่วม
งานศพขนาดใหญ่ของผู้นำมีบทบาทสำคัญในการเน้นย้ำประวัติศาสตร์ สร้างวัฒนธรรมการไว้อาลัยและบันทึกเหตุการณ์ระดับชาติไว้เป็นความทรงจำร่วมสำหรับคนรุ่นถัดไป
นอกจากนี้ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ การอภิปราย และการวิเคราะห์บทบาทผู้นำในประวัติศาสตร์ เช่นพิธีไว้อาลัยในสหรัฐฯ ที่มีการสรุปคุณูปการและสะท้อนความเปลี่ยนแปลงของสังคม
_______________________________________________
4. กระตุ้นเศรษฐกิจและการประชาสัมพันธ์
เป็นช่วงที่ระบบราชการใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ ทั้งงานก่อสร้าง เตรียมสถานที่ และบริการจัดงาน
ในเชิงเศรษฐกิจ งานพระราชพิธีในไทยยังสร้าง กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานชั่วคราวหลายหมื่นตำแหน่ง
ทั้งด้านศิลปกรรม สถาปัตยกรรม หัตถกรรม พิธีการ และสื่อ ซึ่งสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่
งานศพขนาดใหญ่ดึงดูดทั้งสื่อมวลชนและนักท่องเที่ยว ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่และประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจบริการและท่องเที่ยว
_______________________________________________
5. นัยทางการเมืองและสังคม
เป็นการแสดงถึงการเคารพสถาบัน การส่งต่ออำนาจ และความต่อเนื่องของรัฐ
ในช่วงที่ผู้นำหรือประมุขถึงแก่อสัญกรรม มักเป็น “จุดเปราะบางของชาติ” งานศพแบบรัฐพิธีจึงมีหน้าที่เป็น “สะพานแห่งความต่อเนื่อง” ระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ในอังกฤษ หลังงานพระบรมศพควีนเอลิซาเบธ 2 มีการประกาศราชาภิเษกของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ภายในไม่กี่เดือน
ในไทย ภายหลังการถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็เป็นการสืบราชสมบัติต่อของในหลวงรัชกาลที่ 10
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า พระราชพิธีบรมศพไม่เพียงเป็นการถวายพระเกียรติ แต่ยังเป็นกลไกแห่งความต่อเนื่องของอำนาจ ความมั่นคง และอัตลักษณ์ของชาติ
_______________________________________________
“ในท้ายที่สุด เมื่อเราพูดถึงงานพระบรมศพของสมเด็จพระพันปีหลวง เราไม่ได้พูดถึงพิธีใดพิธีหนึ่งเท่านั้น แต่กำลังพูดถึงจิตวิญญาณของความเป็นชาติ”
หากผู้ใดมีความเห็นหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับสถาบันหลักของชาติ หรือประเด็นที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ การแสดงความคิดเห็นอย่างสุจริตควรอยู่บนพื้นฐานของ ความกล้าแสดงตนและความรับผิดชอบต่อถ้อยคำของตนเอง
การเปิดเผยชื่อ–นามสกุล และการใช้บัญชีที่เป็นตัวตนจริง คือ “การแสดงความบริสุทธิ์ใจ” ในข้อสงสัยของตน
ตรงกันข้าม การใช้เพจหรือบัญชีอวตารเผยแพร่ข้อความบิดเบือนหรือโจมตีสถาบัน ย่อมสะท้อนถึง เจตนาไม่สุจริตและความไม่หวังดีต่อชาติ
นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึง ความไม่เข้าใจในสาระของเสรีภาพ เพราะเสรีภาพที่แท้จริงต้องมาพร้อมความรับผิดชอบต่อผลของคำพูดและอิทธิพลทางสังคมที่อาจเกิดขึ้น
ถ้อยคำที่ขาดข้อมูลและจิตสำนึกอาจกลายเป็นเครื่องมือสร้างความเกลียดชัง ทำลายศรัทธา บั่นทอนเอกภาพของชาติและ เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
การตั้งคำถามต่อสถาบันไม่ใช่เรื่องต้องห้าม แต่ควรตั้งด้วย “ความรู้ ความจริง และความรับผิดชอบ” มิใช่ด้วยความอคติหรือเจตนาแอบแฝง
“เพราะชาติที่ให้เกียรติแก่ผู้สร้างความดีงาม ย่อมเป็นชาติที่มีรากลึก และมีอนาคตที่มั่นคง”
_______________________________________________
#สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ #สถิตในดวงใจตราบนิจนิรันดร์