หนังสือพิมพ์เสียงไทบ้าน

หนังสือพิมพ์เสียงไทบ้าน หนังสือพิมพ์เสียงไทบ้าน : เป็นปากเป็นเสียง เคียงข้างคนท้องถิ่น

หนังสือพิมพ์เสียงไทบ้าน
"เป็นปากเป็นเสียง เคียงข้างคนท้องถิ่น"

สาขาภาษาเพื่อการสร้างสรรค์งานสื่อสิ่งพิมพ์
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

🌿 เกร็ดความรู้สมุนไพรไทบ้าน : สมุนไพรใกล้ตัวที่คุณมองข้ามรู้ไหมว่า…สมุนไพรพื้นบ้าน หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า “สมุนไพรไ...
20/08/2025

🌿 เกร็ดความรู้สมุนไพรไทบ้าน : สมุนไพรใกล้ตัวที่คุณมองข้าม
รู้ไหมว่า…สมุนไพรพื้นบ้าน หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า “สมุนไพรไทบ้าน” คือพืชผักพื้นถิ่นที่พบได้รอบตัวเรา บริเวณริมรั้ว สวนครัว หรือทุ่งนา พืชผักหลายชนิดถูกใช้เป็นยาโบราณมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย และยังช่วยไล่ยุงได้ด้วยนะ! 🦟

✨ สมุนไพรใกล้ตัวที่ถูกนำมาใช้บ่อย ได้แก่
ตะไคร้ – ช่วยขับลม แก้อาการท้องอืด และยังต้มเป็นน้ำดื่มช่วยขับปัสสาวะ
ฟ้าทะลายโจร – ต้านไวรัส แก้ไข้หวัด ลดอาการเจ็บคอ
ขิง – ช่วยแก้คลื่นไส้ อาเจียน แก้หวัด และบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
ขมิ้นชัน – ช่วยบำรุงระบบทางเดินอาหาร แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ และบำรุงผิว

✨ สมุนไพรไล่ยุงจากภูมิปัญญาไทย ได้แก่
ตะไคร้หอม – กลิ่นหอมรบกวนประสาทรับกลิ่นของยุง ใช้สกัดเป็นสเปรย์หรือน้ำมันทาผิว
โหระพา – กลิ่นหอมฉุนช่วยไล่ยุง ขยี้ใบสดทาแขนขาได้
มะกรูด – ผ่าครึ่งวางไว้ในห้อง หรือใช้เปลือกสดตำให้กลิ่นฟุ้ง
สะระแหน่ – มีกลิ่นเมนทอลสดชื่น ยุงไม่ชอบ
💡 เคล็ดลับง่าย ๆ : ปลูกสมุนไพรไว้รอบบ้าน นอกจากได้ทำอาหารยังช่วยกันยุงและรักษาสุขภาพไปในตัว 🌱

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.thaihealth.or.th/6-สมุนไพรไทย-ไล่ยุง/ และ https://www.thaihealth.or.th/10-พืชสมุนไพรประจำบ้านสร/

#เสียงไทบ้าน21 #หนังสือพิมพ์เสียงไทบ้าน #สมุนไพร #พืชผักสวนครัว

มมส. ดัน AI สู่ทุกคน! ปีงบประมาณ 2569 เตรียมเปิดใช้ Generative AI ระดับโลก ฟรี!     มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) เตรียมขย...
18/08/2025

มมส. ดัน AI สู่ทุกคน! ปีงบประมาณ 2569 เตรียมเปิดใช้ Generative AI ระดับโลก ฟรี!

มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) เตรียมขยับนโยบายเปิดให้ใช้งาน Generative AI แบบเสรีในระดับสถาบันการศึกษา เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2569 (1 ตุลาคม 2568) โดยมหาวิทยาลัยจะจัดซื้อระบบ AI ระดับโปร เพื่อให้บริการนิสิต อาจารย์ และบุคลากรอย่างทั่วถึงทั้งมหาวิทยาลัย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โครงการอยู่ระหว่างขั้นตอนจัดซื้อจัดจ้าง คาดแล้วเสร็จภายใน 2–3 เดือนหลังงบประมาณผ่านความเห็นชอบ โดยมีแผนจัดหาแพลตฟอร์ม AI ระดับโปร เพื่อสนับสนุนทั้งงานวิชาการและงานบริหารภายในองค์กร

ดร.สมหมาย ขันทอง ผู้อำนวยการสำนักคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) เผยว่า มมส.กำลังผลักดันนโยบายด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนการเรียนการสอน เนื่องจาก AI กำลังมีบทบาทสำคัญทั้งในชีวิตประจำวันและแวดวงการศึกษา AI จะทำหน้าที่เป็น “ผู้ช่วยสอน” ของนิสิต ช่วยตอบคำถาม ทบทวนบทเรียน และให้คำแนะนำเนื้อหาตามรายวิชาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังช่วยให้อาจารย์สื่อสารและเสริมการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ล่าสุด โครงการได้รับอนุมัติงบประมาณสำหรับปีงบประมาณ 2569 (เริ่ม 1 ตุลาคมนี้) ขั้นตอนถัดไปคือการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบพัสดุ หากดำเนินการอย่างเร่งรัดอาจใช้เวลาราว 2 เดือน แต่เนื่องจากมีหลายโครงการดำเนินควบคู่กัน จึงอาจใช้เวลารวมประมาณ 2–3 เดือนจึงจะแล้วเสร็จ

เมื่อถามถึงลักษณะของ Generative AI ที่จะนำมาใช้ ดร.สมหมาย เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยจะพัฒนาแพลตฟอร์ม AI สำหรับใช้งานภายใน โดยใช้ระบบฐานข้อมูลปิด (Knowledge Base) อาจารย์สามารถอัปโหลดเนื้อหาวิชาและเอกสารประกอบการสอน เพื่อให้นิสิตทบทวนบทเรียนหรือสอบถามเนื้อหาวิชาได้ตลอดเวลา พร้อมให้ความสำคัญกับ ความปลอดภัยของข้อมูล และจะไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ นอกจากนี้ ยังมี AI สำหรับบุคลากรและอาจารย์ ออกแบบให้รองรับการจัดทำเอกสารราชการ การค้นหาระเบียบสิทธิประโยชน์ และตอบข้อสงสัยด้านงานบุคคลอย่างรวดเร็ว มหาวิทยาลัยจะคัดเลือกแพลตฟอร์มชั้นนำ เช่น ChatGPT, Gemini และบริการอื่น ๆ ที่เหมาะสม ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้ได้หลายระบบตามความต้องการ

ด้านผู้เชี่ยวชาญ อาจารย์พงษ์ศักดิ์ สังฆมณี อาจารย์ประจำสาขาการสร้างสรรค์คอนเทนต์และนวัตกรรมสื่อดิจิทัล มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เห็นว่า การนำ Generative AI มาใช้ในภาคการศึกษาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในทุกภาคส่วนแล้ว ทั้งธุรกิจ การศึกษา และงานวิจัย AI ช่วยให้การสืบค้นและประมวลข้อมูลรวดเร็วขึ้น ลดเวลาทำงานวิจัยจากเดิมที่ใช้เป็นเดือน เหลือเพียงไม่กี่วัน

อย่างไรก็ตาม อาจารย์พงษ์ศักดิ์ เน้นว่า AI ควรถูกใช้ในฐานะ “ผู้ช่วย” ไม่ใช่ “ตัวแทน” เพื่อให้บุคลากรและนิสิตใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในด้านการเตรียมความพร้อม มหาวิทยาลัยวางแผนประชาสัมพันธ์ พร้อมจัดทำคู่มือการใช้งาน AI และพัฒนาให้เชื่อมต่อกับระบบเรียนการสอนออนไลน์ เช่น Classroom เพื่อสร้างความเข้าใจในบทบาทของ AI ทั้งสำหรับผู้สอนและผู้เรียน โดยเฉพาะรายวิชาที่มีนิสิตจำนวนมาก ซึ่ง AI จะช่วยให้ผู้เรียนได้รับคำแนะนำและคำอธิบายเพิ่มเติมได้อย่างทันท่วงที

ด้านมาตรการควบคุมความเสี่ยงและจริยธรรมการใช้งาน ดร.สมหมาย ย้ำว่า ข้อมูลด้านการเรียน การสอน และงานภายใน จะอยู่ในระบบปิด เพื่อป้องกันการรั่วไหล พร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับจริยธรรมการใช้งาน AI ก่อนเริ่มใช้จริง เพื่อให้เกิดการใช้เทคโนโลยีอย่างมีความรับผิดชอบ

ดร.สมหมาย ขันทอง กล่าวปิดท้ายว่า “AI จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยให้นิสิตเข้าถึงความรู้ได้ง่ายขึ้น และช่วยให้บุคลากรทำงานได้รวดเร็วขึ้น โดยเราจะทำให้ระบบนี้ใช้งานง่ายและปลอดภัย เพื่อประโยชน์สูงสุดของทุกคนในมหาวิทยาลัย”

อาจารย์พงษ์ศักดิ์ สังฆมณี เสนอแนะเชิงนโยบายว่า มหาวิทยาลัยควรพัฒนาแพลตฟอร์ม AI Hub ควบคู่กับระบบ Single Sign-On เพื่อให้ผู้ใช้ล็อกอินด้วยบัญชีมหาวิทยาลัยเพียงครั้งเดียว และเข้าถึงทุกเครื่องมือที่จัดซื้อมา เช่น ChatGPT, Gemini, SciSpace เป็นต้น นอกจากนี้ ควรมีการจัดตั้ง “คลินิก AI” เพื่อให้คำปรึกษา แก้ปัญหาการใช้งาน และสอนการตั้งคำสั่ง (Prompt) ให้ได้ผลลัพธ์ตรงตามเป้าหมาย พร้อมอบรมเรื่องจริยธรรมการใช้ AI ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพามากเกินไป หรือการละเมิดลิขสิทธิ์ทางวิชาการ

ในระยะยาว อาจารย์พงษ์ศักดิ์ เตือนว่า มหาวิทยาลัยควรเตรียมพร้อมสู่ยุค Agentic AI — AI ที่สามารถทำงานหลายขั้นตอนแทนมนุษย์ได้โดยอัตโนมัติ เช่น การสั่งอาหาร ติดต่อบริการ และชำระเงิน ซึ่งความก้าวหน้านี้จะมาพร้อมความท้าทายด้าน Cybersecurity ที่ต้องมีมาตรการป้องกันข้อมูลอย่างรัดกุม

สำหรับผลกระทบต่อทักษะการเรียนรู้ของนิสิต อาจารย์พงษ์ศักดิ์ สังฆมณี เชื่อว่า การมี AI เป็นเครื่องมือ จะกระตุ้นให้อาจารย์แทรกเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้งาน AI ลงในรายวิชา เช่น ใช้ SciSpace เพื่อรีวิวงานวิจัย หรือใช้ ChatGPT วิเคราะห์ UX/UI ทำให้นิสิตได้ฝึกใช้ AI ให้เหมาะกับสาขาของตน ไม่ว่าจะเป็นด้านการออกแบบ การเขียนบทความ กฎหมาย หรือวิทยาศาสตร์สุขภาพ

“AI ไม่ใช่ตัวแทนของการคิด แต่เป็นเครื่องมือเสริมให้เราคิดได้เร็วและลึกขึ้น” อาจารย์พงษ์ศักดิ์ทิ้งท้าย

ด้านนิสิต มมส. ให้ความเห็นเชิงบวกต่อการผลักดันนโยบายเปิดใช้ Generative AI โดยระบุว่าเป็นเรื่องดี เพราะช่วยให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะด้านการสืบค้นข้อมูล จากเดิมที่ต้องเปิดหลายเว็บไซต์ แต่เมื่อมี AI มาช่วยวิเคราะห์และคัดกรอง ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็ว ครบถ้วน และสะดวกกว่าเดิม

“ส่วนตัวผมชอบทุกอย่างที่ทำให้การเรียนง่ายขึ้นครับ” นิสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคามรายหนึ่งกล่าว

#เสียงไทบ้าน21 #หนังสือพิมพ์เสียงไทบ้าน #มมส #มหาวิทยาลัยมหาสารคาม #ข่าวออนไลน์

“Intrusive Thoughts” ทำไมจู่ๆสมองก็มีความคิดที่แปลกขึ้นมา    เคยหรือไม่ อยู่ดีๆก็มีภาพเหตุการณ์อันเลวร้ายเกิดขึ้นในหัวหร...
15/08/2025

“Intrusive Thoughts” ทำไมจู่ๆสมองก็มีความคิดที่แปลกขึ้นมา

เคยหรือไม่ อยู่ดีๆก็มีภาพเหตุการณ์อันเลวร้ายเกิดขึ้นในหัวหรือมีความคิดที่อยากจะทำอะไรแปลกๆขึ้นมา เช่น อยากใช้กรรไกรตัดผมผู้อื่น อยากจะขับรถชนคันข้างหน้าหรืออยู่ๆก็อยากกระโดดลงจากที่สูง

สิ่งนี้เรียกว่า Intrusive Thoughts ความคิดที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งจะผุดขึ้นมาในหัวกระทันหันโดยไม่ได้ตั้งใจ ความคิดที่ไม่พึงประสงค์นั้นมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความคิดที่อยากทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น ความคิดเกี่ยวกับเรื่องเพศที่ไม่เหมาะสม ความคิดที่ผิดศีลธรรม โดยสาเหตุอาจเกิดจากความเครียด บาดแผลทางจิตใจหรือภาวะสุขภาพจิต Intrusive Thoughts มักจะเกี่ยวข้องกับ โรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD), โรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (PTSD), โรควิตกกังวลทั่วไป (GAD) เป็นต้น

ความคิดที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นและหายไปเองได้ แต่ถ้าหากความคิดเหล่านั้นส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันหรือพบว่าความคิดที่ไม่พึงประสงค์นั้นเป็นอาการของภาวะสุขภาพจิต สามารถเข้ารับการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำ การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (CBT) ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมีความคิดเชิงบวกเข้ามาแทนที่ความคิดเชิงลบ รวมไปถึงการใช้ยา การจัดการความเครียด ด้วยการหางานอดิเรกและกิจกรรมต่างๆทำ

Intrusive Thoughts สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกคนล้วนมีความคิดด้านมืดอยู่เสมอเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้แปลว่าคนที่มีความคิดที่ไม่พึงประสงค์นั้นมีความผิดปกติทางจิตเสมอไป เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่ทำตามความคิดเหล่านั้น

อ้างอิง: https://www.uhhospitals.org/blog/articles/2024/02/why-do-people-have-intrusive-thoughts

อ้างอิง: https://faithbehavioralhealth.com/intrusive-vs-impulsive-thoughts/

#เสียงไทบ้าน21 #บทความ

ใครกันนะ…ที่ทำให้คนทั้งโลกรู้จัก“การบ้าน”   เชื่อว่าเด็กๆหลายคนก็คงรู้สึกไม่ชอบ ไม่อยากทำการบ้านสักเท่าไหร่เวลาที่คุณครู...
13/08/2025

ใครกันนะ…ที่ทำให้คนทั้งโลกรู้จัก“การบ้าน”

เชื่อว่าเด็กๆหลายคนก็คงรู้สึกไม่ชอบ ไม่อยากทำการบ้านสักเท่าไหร่เวลาที่คุณครูมอบหมายให้ทำ แล้วทุกคนเคยสงสัยกันไหมว่า เราจะทำการบ้านไปทำไม ใครเป็นคนแรกที่ให้การบ้านกับนักเรียนกันนะ

หลายปีที่ผ่านมาได้มีการพูดถึงบุคคลหนึ่ง “Roberto Nevilis” ว่าเป็นบิดาแห่งการบ้าน แต่ดูเหมือนว่าข้อมูลที่ถูกแชร์ต่อกันบนโลกอินเตอร์เน็ตนั้น ไม่ได้มีแหล่งข้อมูลที่ชัดเจนมาสนับสนุนแต่อย่างใด นักประวัติศาสตร์การศึกษาจึงต้องศึกษาค้นคว้าหาความจริงกันต่อไป

ได้มีการกล่าวว่า การบ้าน มีมาตั้งแต่สมัยโรมัน Gaius Plinius Caecilius Secundus (Pliny the Younger) หรือ นักปรัชญาหนุ่ม ได้มอบหมายให้ลูกศิษย์ของเขาฝึกการพูดในที่สาธารณะขณะอยู่ที่บ้าน เพื่อให้พวกเขามีความมั่นใจและพูดได้คล่องแคล่วมากขึ้น อย่างไรก็ตาม บุคคลที่นักประวัติศาสตร์การศึกษายอมรับว่าเป็น “ผู้ให้กำเนิดการบ้านที่แท้จริง” มีเพียงแค่ 2 คน

Johann Gottlieb Fichte บุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็น “บิดาผู้ให้กำเนิดการบ้าน” คนแรกของโลก เขาเป็นนักปรัชญาการศึกษาชาวเยอรมนี เขาช่วยพัฒนา Volksschulen (โรงเรียนรัฐ) ซึ่งผู้ที่เข้ารับการศึกษาที่นี่จะต้องทำการบ้านที่บ้านในเวลาส่วนตัวของพวกเขา แม้จะมีต้นกำเนิดทางการเมืองแต่ “ระบบการบ้าน” ของ Johann Gottlieb Fichte ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจาก Horace Mann

เมื่อ“ระบบการบ้าน” ได้แพร่กระจายไปทั่วยุโรปจนมาถึงสหรัฐอเมริกา Horace Mann บุคคลที่นักประวัติศาสตร์การศึกษายกย่องให้เป็น“ผู้ให้กำเนิดการบ้านสมัยใหม่” เขาเป็นนักปฏิรูปการศึกษาชาวอเมริกันในยุคศตวรรษที่ 19 เขานำระบบดังกล่าวมาใช้ที่สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ.1901 ตั้งแต่นั้นมา การบ้านจึงกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของนักเรียนทั่วประเทศนั้นเอง แนวคิดที่ให้การบ้านนั้นได้ถูกพัฒนาและเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับสังคมหรือยุคสมัยในแต่ละยุคอยู่เรื่อยๆมา

ต้นกำเนิดของการบ้านอาจไม่ได้เกิดจากบุคคลเพียงแค่บุคคลเดียว แต่เกิดจากการที่บุคคลหลายๆท่านช่วยกันผลักดันและนำแนวคิดดังกล่าวไปต่อยอด จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาอย่างที่เห็นในยุคปัจจุบัน

อ้างอิง: https://www.matichon.co.th/weekly/column/article_640707

อ้างอิง: https://findmykids.org/blog/en/who-invented-homework

อ้างอิง: https://througheducation.com/debunking-the-myth-of-roberto-nevilis-who-really-invented-homework/

#เสียงไทบ้าน21 #บทความ #การบ้าน

FOMO ไปทำไม? ค้นพบ JOMO ในตัวคุณ                     ในโลกยุคดิจิทัลที่ทุกสิ่งเชื่อมโยงถึงกันตลอดเวลา เราต่างเคยสัมผัสกั...
11/08/2025

FOMO ไปทำไม? ค้นพบ JOMO ในตัวคุณ

ในโลกยุคดิจิทัลที่ทุกสิ่งเชื่อมโยงถึงกันตลอดเวลา เราต่างเคยสัมผัสกับความรู้สึกสองด้านที่ตรงกันข้ามกัน นั่นคือ FOMO (Fear of Missing Out) "ภาวะกลัวพลาด" และ JOMO (Joy of Missing Out) "ความสุขจากการได้อยู่กับตัวเอง" ทั้งสองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตและการรับมือกับข้อมูลข่าวสารอันท่วมท้นในปัจจุบัน

FOMO คือความรู้สึกวิตกกังวลหรือความไม่สบายใจที่เกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกว่าผู้อื่นกำลังมีประสบการณ์ที่ดี มีความสนุกสนาน หรือได้รับประโยชน์บางอย่างที่เราไม่มีส่วนร่วมด้วย มันไม่ใช่แค่ความอยากรู้อยากเห็น แต่เป็นความรู้สึกเหมือนเรากำลังพลาดโอกาสสำคัญบางอย่างไป
ผลกระทบของ FOMO
- ความเครียดและความวิตกกังวลการเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่นอย่างต่อเนื่องนำไปสู่ความเครียดและความไม่พอใจในชีวิต
- การตัดสินใจที่ผิดพลาดบางครั้งอาการ FOMO อาจทำให้เราตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือเกินตัว เพียงเพราะไม่อยากพลาดโอกาส
- การสูญเสียความสุขในปัจจุบันไปเพียงเพราะมัวแต่กังวลถึงสิ่งที่กำลังจะพลาดไป ทำให้เราไม่สามารถมีความสุขกับสิ่งที่เรามีอยู่ได้

JOMO คือแนวคิดที่ตรงกันข้ามกับ FOMO อย่างสิ้นเชิง มันคือการที่มีความสุขจากการตัดขาดจากโลกภายนอกชั่วคราว และการเลือกที่จะใช้เวลากับตัวเองอย่างมีคุณภาพ JOMO ไม่ใช่การปลีกตัวจากสังคมอย่างถาวร แต่เป็นการเลือกที่จะให้ความสำคัญกับความสงบภายในและการดูแลตัวเอง
ประโยชน์ของ JOMO
- ช่วยลดความเครียดให้กับเราเพราะการปลีกตัวจากสิ่งเร้าภายนอกช่วยให้จิตใจได้พักผ่อนและลดความเครียด
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ทำโดยปราศจากการรบกวนทำให้งานที่ทำมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ค้นพบความสุขที่แท้จริงเมื่อเราไม่จำเป็นต้องทำตามความคาดหวังของสังคม เราจะพบความสุขที่แท้จริงจากการใช้ชีวิตในแบบของเราเอง
สร้างสมดุลระหว่าง FOMO และ JOMO

ชีวิตในปัจจุบันไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เราสามารถสร้างสมดุลระหว่าง FOMO และ JOMO เพื่อให้ชีวิตมีความสุขและมีประสิทธิภาพได้
แนวทางในการสร้างสมดุล
- ลดเวลาการใช้งานโซเชียลมีเดีย หรือกำหนดเวลาที่แน่นอนในการเช็กข่าวสาร
- อยู่กับปัจจุบันและรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ไม่ต้องกังวลถึงอดีตหรืออนาคต
- จัดสรรเวลาสำหรับการพักผ่อน งานอดิเรก หรือกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
- ไม่จำเป็นต้องตอบรับทุกคำเชิญหรือเข้าร่วมทุกกิจกรรม หากรู้สึกว่ามันจะทำให้เราเหนื่อยล้า
- ทบทวนว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเราในชีวิต การทำความเข้าใจคุณค่าเหล่านี้จะช่วยให้เราจัดลำดับความสำคัญได้ดีขึ้น

ในท้ายที่สุด ทั้งอาการ FOMO และอาการ JOMO เป็นเพียงสองด้านของเหรียญที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตในยุคดิจิทัล การทำความเข้าใจอาการทั้งสองแบบนี้ จะช่วยให้เราสามารถจัดการกับความรู้สึกของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเลือกที่จะใช้ชีวิตในแบบที่นำมาซึ่งความสุขและความสงบใจอย่างแท้จริง

อ้างอิง: https://www.ananda.co.th/blog/thegenc/jomo-vs-fomo/

อ้างอิง: https://www.fillgoods.co/online-biz/shop-orders-know-consumer-jomo-fomo-marketing-segment/

#เสียงไทบ้าน21 #บทความ

08/08/2025

เทศบาลเมืองหนองคาย จับตาแม่น้ำโขง ระดับน้ำพุ่งสูง หลายชุมชนอาจเสี่ยงน้ำท่วม

จากการติดตามระดับน้ำในแม่น้ำโขงที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ล่าสุดแตะระดับ 12.32 เมตรและเข้าใกล้ระดับวิกฤต ที่อาจล้นตลิ่งในหลายพื้นที่ของเทศบาลเมืองหนองคาย ส่งผลให้หน่วยงานท้องถิ่นเร่งดำเนินมาตรการเชิงรุก เพื่อบรรเทาความเสี่ยงและเตรียมรับมือกับสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

#หนังสือพิมพ์เสียงไทบ้าน #เสียงไทบ้าน21 #ข่าว #หนองคาย #แม่น้ำโขง

PTSD (Post - Traumatic Stress Disorder) “ภาวะเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ”จากเหตุการณ์สงครามที่เกิดขึ้นในอดีต นอกจากจะสร...
06/08/2025

PTSD (Post - Traumatic Stress Disorder)
“ภาวะเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ”

จากเหตุการณ์สงครามที่เกิดขึ้นในอดีต นอกจากจะสร้างความเสียหายให้แก่ทรัพย์สินและความเป็นอยู่แล้ว ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพจิตใจของผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ความขัดแย้ง

รวมถึงทหารที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางตามสถานการณ์ความรุนแรงและความตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลกระทบทางจิตใจในเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้มักนำไปสู่อาการที่เรียกว่า PTSD “ภาวะเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ”

PTSD เป็นภาวะทางจิตใจที่เกิดขึ้นหลังจากการเผชิญกับเหตุการณ์ที่รุนแรงหรือสะเทือนขวัญ ผู้ป่วยอาจรู้สึกหวาดกลัว ตกใจหรือหมดหนทางในการรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยเหตุการณ์นั้นอาจเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยประสบด้วยตนเอง หรือเกิดขึ้นกับผู้อื่น แต่ตนเองเป็นผู้เห็นหรือรับรู้เหตุการณ์อย่างใกล้ชิด เช่น การรอดชีวิตจากอุบัติเหตุร้ายแรง การถูกกระทำด้วยความรุนแรงหรือการอยู่ในสถานการณ์สงคราม

ซึ่งในหลายกรณีมักพบในหมู่ทหารผ่านศึก ที่เคยเผชิญประสบการณ์อันโหดร้ายและโศกเศร้าในสนามรบ ก่อให้เกิดบาดแผลลึกในจิตใจและยากต่อการเยียวยา

อาการหลักของโรค PTSD
สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มดังนี้
1.การรื้อฟื้นภาพเหตุการณ์ (Intrusion /Flashbacks) ผู้ป่วยจะเริ่มเห็นภาพเหตุการณ์เดิมซ้ำ ๆ ราวกับว่าตัวเองกลับเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง
2.การหลีกเลี่ยง (Avoidance) ผู้ป่วยจะพยายามหลีกเลี่ยงสถานที่ บุคคล หรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจ
3.การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และความคิด (Negative changes in mood) เกิดอารมณ์ด้านลบที่รุนแรงและต่อเนื่อง เช่น รู้สึกเศร้า มองโลกในแง่ร้าย โทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ที่เลวร้าย และไม่อยากพบเจอผู้คน
4.การตอบสนองต่อสิ่งเร้าเกินปกติ (Hyperarousal) เช่น หงุดหงิด เกรี้ยวกราด หวาดระแวง นอนไม่หลับ หรือตื่นตระหนกตลอดเวลา

แม้หลายคนอาจมองว่า PTSD เกิดขึ้นเฉพาะกับทหารผ่านศึกเท่านั้น แต่ความเป็นจริงภาวะนี้ สามารถเกิดขึ้นได้กับกลุ่มคนอื่น ๆ ด้วย เช่น ผู้ที่สูญเสียบุคคลสำคัญแบบไม่ทันตั้งตัว บุคลากรที่ทำงานใกล้ชิดกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น แพทย์หรือพยาบาล นอกจากนี้แล้วยังรวมไปถึงผู้ที่เคยถูกทำร้ายทางกายหรือถูกคุกคาม โดยเฉพาะเด็กที่ต้องเผชิญกับความรุนแรงภายในครอบครัว

ในกรณีของทหารผ่านศึก PTSD มักจะเกิดจากประสบการณ์ในสนามรบที่พวกเขาต้องเผชิญขณะปฏิบัติหน้าที่ เช่น การสูญเสียเพื่อนร่วมรบ หรือการเอาตัวรอดจากการถูกโจมตีในขณะสู้รบ ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้จะกลายเป็นภาพจำฝังลึกในใจ และนำไปสู่อาการ Flash Back หรือ ฝันร้ายซึ่งเป็นอาการเริ่มต้นของ PTSD

ตัวอย่างกรณีของผู้ที่ป่วยโรค PTSD ซึ่งทำให้เห็นถึงอันตรายของการไม่เข้าใจและเข้าไม่ถึงการรักษาของโรค PTSD อย่างเหมาะสม

คือ กรณีเหตุการณ์สะเทือนขวัญของ นายกวิน แสงนิลกุล อดีตทหารชุดปฏิบัติการพิเศษ “ฉก.90” ก่อเหตุกราดยิงพนักงานร้านสะดวกซื้อเสียชีวิต 1 ราย ก่อนบุกยิงอีก 1 รายในโรงพยาบาลสนาม เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2564

จากการสอบสวนญาติของผู้ก่อเหตุ พบว่าผู้ก่อเหตุมีปัญหาทางสุขภาพจิต เคยมีอาการคุ้มคลั่ง และเพิ่งปลดประจำการจากการเป็นทหารเกณฑ์ไม่นาน ก่อนเกิดเหตุเจ้าตัวยังให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์กราดยิงพนักงานร้านสะดวกซื้อ รวมถึงการบุกเข้าไปในโรงพยาบาลสนาม โดยให้เหตุผลว่า ตนเคยถูกทําร้ายร่างกายมาก่อน จึงเกิดอาการทางจิตที่เข้าข่ายภาวะเครียดหลังผ่านเหตุการณ์รุนแรง (PTSD)

กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสําคัญของการติดตามและดูแลสุขภาพจิตของผู้ที่มีความเสี่ยง หากไม่มี
การเข้าถึงการรักษาอย่างเหมาะสม อาการทางจิตที่ไม่ได้รับการเยียวยา อาจนำไปสู่เหตุการณ์รุนแรงที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของสังคมในวงกว้าง

PTSD รักษาได้ไหม ?

ภาวะ PTSD สามารถบรรเทาและรักษาให้ดีขึ้นได้ หากได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ ควบคู่กับการสนับสนุนที่เหมาะสม โดยเฉพาะหากเข้ารับการรักษาในระยะแรกของอาการ ซึ่งการดูแลจากคนใกล้ชิดมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเป็นแรงสนับสนุนทางด้านจิตใจ สิ่งที่คนใกล้ตัวสามารถทำได้คือ การรับฟังอย่างตั้งใจโดยไม่ตัดสิน ไม่เร่งรัดให้ผู้ป่วยต้องหายดี ถ้าหากพยายามรับฟัง พูดคุย และให้เวลาแล้ว หากอาการไม่ดีขึ้นแม้พยายามช่วยเหลือแล้ว สิ่งที่ควรทำคือการแนะนำผู้ป่วยไปพบจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เพื่อเข้ารับการประเมินและรักษาอย่างเหมาะสม

ซึ่งกระบวนการรักษา PTSD โดยทั่วไปมักประกอบไปด้วย
1.การบำบัดทางจิตใจ (CBT : Cognitive Behavioral Therapy)
2.การปรับพฤติกรรม เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถค่อย ๆ ยอมรับและรับมือกับเหตุการณ์ที่เจอได้
3.การดูแลสุขภาพกายอย่างเหมาะสม ทั้งเรื่องการพักผ่อน การรับประทานอาหาร และการออกกำลังกาย
4.หากอาการไม่ดีขึ้นอาจมีการใช้ยาเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

สิ่งสำคัญที่สุดที่ควรตระหนักคือ PTSD ไม่ใช่ความอ่อนแอทางจิตใจ แต่คือปฏิกิริยาของสมองและร่างกายที่ตอบสนองต่อประสบการณ์ที่รุนแรง เกินกว่าที่ใครคนหนึ่งจะรับไหว เพราะความเงียบหลังเหตุการณ์ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างสงบลง บางคนยังคงติดอยู่ในความทรงจำที่ไม่สามารถลบเลือนได้ แม้วันเวลาจะผ่านไปแต่ความรู้สึกผิด ความกลัว หรือภาพจำที่ย้อนกลับมาไม่รู้จบ คือสิ่งที่หลายคนต้องแบกรับความเจ็บปวดนั้นเพียงลำพังโดยไม่มีใครเห็น

#ภาวะเครียด #หนังสือพิมพ์เสียงไทบ้าน #เสียงไทบ้าน21 #บทความ

อ้างอิง : https://www.amarinbabyandkids.com/news-event/ptsd-shooter/
อ้างอิง : https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/post-traumatic-stress-disorder/symptoms-causes/syc-20355967
อ้างอิง : https://www.bangpakok3.com/care_blog/view/204

ฤดูฝนชุ่มฉ่ําที่แฝงภัยเงียบเมื่อฤดูฝนมาถึง หลายคนอาจรู้สึกสดชื่นที่ได้กลิ่นดินหลังฝนแรก หรือได้เห็นต้นไม้เขียวชอุ่มมีชีว...
04/08/2025

ฤดูฝนชุ่มฉ่ําที่แฝงภัยเงียบ

เมื่อฤดูฝนมาถึง หลายคนอาจรู้สึกสดชื่นที่ได้กลิ่นดินหลังฝนแรก หรือได้เห็นต้นไม้เขียวชอุ่มมีชีวิตชีวามากขึ้น แต่ในอีกมุมหนึ่ง "ฝน" ที่ตกลงมา ก็พา "ภัยเงียบ" มาด้วยเช่นกัน

ไม่ใช่แค่รองเท้าเปียกหรือถนนลื่นเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงเชื้อโรคที่มาพร้อมอากาศชื้น น้ําขัง และความสะอาดที่อาจถูกมองข้าม โรคติดต่อหลายชนิดมักระบาดหนักในช่วงหน้าฝน เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก โรคฉี่หนู มือ เท้าปาก และตาแดง ซึ่งล้วนเป็นโรคที่แพร่กระจายได้ง่ายหากเราไม่รู้เท่าทัน การรู้เท่าทัน คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด

ลองมาทําความรู้จักกับโรคที่พบบ่อยในช่วงฤดูฝน และวิธีป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยจากภัยเงียบเหล่านี้กัน
1. โรคไข้หวัดใหญ่
สาเหตุ : เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza Virus) ที่แพร่กระจายผ่านละอองฝอยจากการไอ หรือจาม ช่วงฤดูฝนอากาศเย็นและชื้น ทําให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายง่าย และภูมิคุ้มกันของร่างกายอาจอ่อนแอลง
อาการ : ไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ไอ เจ็บคอ อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรืออ่อนเพลีย
วิธีป้องกัน : ล้างมือด้วยสบู่บ่อย ๆ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด และควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจําทุกปี
2. โรคไข้เลือดออก
สาเหตุ : เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) ที่มียุงลายเป็นพาหะ ซึ่งมักพบในพื้นที่ที่มีน้ําขังจากฝนตก
อาการ : ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย
วิธีป้องกัน : หลีกเลี่ยงการถูกยุงกัด โดยใช้ยาทากันยุง นอนในมุ้ง และกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เช่น ปิดฝาภาชนะเก็บน้ํา คว่ําภาชนะที่ไม่ใช้ และหมั่นตรวจสอบบริเวณรอบบ้าน
3. โรคฉี่หนู
สาเหตุ : เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Leptospira ที่อยู่ในปัสสาวะของสัตว์ เช่น หนู วัว ควาย หรือสุนัข โดยเฉพาะในช่วงที่มีน้ําท่วมขัง ซึ่งทําให้เชื้อโรคปะปนอยู่ในดิน น้ํา หรือโคลน และสามารถเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลหรือผิวหนังที่มีรอยถลอกได้
อาการ : ไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะบริเวณน่องและหลัง ตาแดง คลื่นไส้ อาเจียน
วิธีป้องกัน : หลีกเลี่ยงพื้นที่น้ําขังหรือเสี่ยงต่อการปนเปื้อน ล้างมือบ่อยๆ และหากมีบาดแผลควรทําแผลให้สะอาดและปิดให้มิดชิด
4. โรคมือ เท้า ปาก
สาเหตุ : เกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส โดยเฉพาะสายพันธุ์ Coxsackie A16 และ Enterovirus 71 (EV71) ซึ่งแพร่กระจายผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ
อาการ : ไข้ เจ็บคอ มีแผลในปาก ผื่นหรือตุ่มน้ําใสที่มือ เท้า และลําตัว
วิธีป้องกัน : ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการใช้ของร่วมกับผู้อื่น และแยกผู้ป่วยออกจากคนอื่น โดยเฉพาะเด็กเล็ก
5. โรคตาแดง
สาเหตุ : เกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ซึ่งมักระบาดในช่วงที่อากาศชื้นและมีน้ําขัง โดยเชื้อโรคสามารถติดต่อกันได้ผ่านการสัมผัส
อาการ : ตาแดง แสบหรือเคืองตา น้ําตาไหล มีขี้ตา เปลือกตาบวม อาจรู้สึกระคายเคืองคล้ายมีสิ่งแปลกปลอม ในตา
วิธีป้องกัน : หลีกเลี่ยงการขยี้ตา ล้างมือก่อนสัมผัสใบหน้า ไม่ใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว และควรรักษาความสะอาดอย่างสม่ําเสมอ

โรคติดต่ออาจดูน่ากังวล แต่หากเราใส่ใจ ไม่ประมาท และและสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายอย่างสม่ําเสมอ ก็สามารถป้องกันตัวเองและคนรอบข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ "รู้ก่อน ป้องกันก่อน" ย่อมดีกว่าต้องรักษาในวันที่อาจสายเกินไป

#หนังสือพิมพ์เสียงไทบ้าน #เสียงไทบ้าน21 #เกร็ดความรู้ #โรคที่มากับฝน

สภาลงมติเห็นชอบแก้กฎหมายอาญา เพิ่มนิยามการคุกคามทางเพศ รวมถึงการคุกคามในสื่อโซเชียล    เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้...
01/08/2025

สภาลงมติเห็นชอบแก้กฎหมายอาญา เพิ่มนิยามการคุกคามทางเพศ รวมถึงการคุกคามในสื่อโซเชียล

เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้มีการจัดตั้งการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยทางสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเห็นชอบร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาในการเพิ่มนิยาม “คุกคามทางเพศ” ให้ครอบคลุมพฤติกรรมของประชาชนในปัจจุบัน รวมถึงการคุกคามบนสื่อออนไลน์

รัฐสภามีมติเห็นชอบผ่านวาระที่ 3 ให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา เพิ่มบทบัญญัติใหม่ว่าด้วยความผิดฐานการคุกคามทางเพศ เพื่อยกระดับการคุ้มครองผู้เสียหายให้สอดคล้องกับลักษณะการคุกคามที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคมในปัจจุบัน โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ ซึ่งเดิมทีประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติความผิดฐานคุกคามทางเพศไว้เพียงในฐานะความผิดลหุโทษ และจำกัดเพียงกรณีที่มีการสัมผัสทางร่างกาย ทำให้ไม่สามารถรองรับพฤติกรรมการคุกคามในรูปแบบใหม่ที่ไม่ได้มาจากการสัมผัสโดยตรง เช่น การใช้อำนาจข่มเหงในสถานที่ทำงาน หรือการล่วงละเมิดผ่านสื่อสังคมออนไลน์

โดยร่างแก้ไขกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาในครั้งนี้ ได้มีการเสนอให้เพิ่มบทบัญญัติในมาตรา 284/1 ถึงมาตรา 284/4 โดยแยกประเภทความผิดตามลักษณะของพฤติกรรมและการกระทำ ดังนี้
- การติดตามคุกคาม
- การคุกคามต่อเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี
- การคุกคามทางเพศโดยใช้อำนาจเหนือ เช่น นายจ้างต่อลูกจ้าง
-การคุกคามผ่านช่องทางออนไลน์

นอกจากการเพิ่มประเภทความผิด กฎหมายฉบับใหม่นี้ยังได้กำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนเพิ่มขึ้น โดยได้มีการกำหนดโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ถึง 5 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงวางกลไกการคุ้มครองผู้เสียหาย เช่น การให้ศาลสามารถออกคำสั่งงดเว้นขอให้หยุดการกระทำ เพื่อแยกผู้กระทำผิดออกจากผู้เสียหายชั่วคราว

ในการอภิปรายรายมาตรา สมาชิกสภาหลายคนได้แสดงความเห็นสนับสนุนในเรื่องนี้ โดยเฉพาะมาตรา 284/1 ที่บัญญัติความผิดฐานการติดตามคุกคามหรือที่รู้จักในฐานคำทับศัพท์ว่า สตอล์กเกอร์ (Stalker) หรือพฤติกรรมสตอล์กกิ้ง (Stalking) ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอย่างร้ายแรง แม้ในบางวัฒนธรรมจะมองว่าเป็นพฤติกรรมที่ยอมรับได้ แต่ในความเป็นจริงกลับสร้างความเสียหายทางจิตใจและกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้ถูกกระทำเป็นอย่างมาก

นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะกรรมาธิการจากพรรคภูมิใจไทย (เป็นประธานกมธ. ในวาระที่ 2 และวาระ 3) ได้ให้อภิปรายว่า หลายประเทศในยุโรปได้จัดให้การติดตามคุกคามเป็นความผิดต่อเสรีภาพ ซึ่งไม่ได้มีเพียงความผิดทางเพศ จึงแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจว่า พฤติกรรมดังกล่าวนั้นเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนและการบัญญัติ มาตราดังกล่าวในกฎหมายไทยจึงถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความปลอดภัยและความเสมอภาคให้แก่ทุกคนในสังคม

จากการประชุมสภาการแก้ไขกฎหมายอาญาในครั้งนี้ นับเป็นว่าเป็นการพัฒนาที่สำคัญในการสร้างกลไกทางกฎหมายให้ทันต่อพฤติกรรมการคุกคามที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงไป พร้อมส่งเสริมให้ผู้เสียหายกล้าที่จะยืนหยัดในสิทธิของตนเองและเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างแท้จริง

#กฎหมาย #ประชุมสภา #แก้กฎหมาย #การคุกคามทางเพศ #หนังสือพิมพ์เสียงไทบ้าน #เสียงไทบ้าน21

ข้อมูลอย่างละเอียดสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://bhumjaithai.com/news/108380

วันต่อต้านการค้ามนุษย์โลก (World Day Against Trafficking in Persons)ความสำคัญของวันต่อต้านการค้ามนุษย์โลกองค์การสหประชาช...
30/07/2025

วันต่อต้านการค้ามนุษย์โลก (World Day Against Trafficking in Persons)

ความสำคัญของวันต่อต้านการค้ามนุษย์โลก

องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่ 30 กรกฎาคมของทุกปี เป็น “วันต่อต้านการค้ามนุษย์โลก” (World Day Against Trafficking in Persons) เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอาชญากรรมร้ายแรงที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งในด้านแรงงาน การแสวงหาประโยชน์ทางเพศ การค้ามนุษย์เด็ก และการลักพาตัวโดยขบวนการผิดกฎหมายข้ามชาติ

วันต่อต้านการค้ามนุษย์เริ่มขึ้นเมื่อใด?

วันต่อต้านการค้ามนุษย์โลกได้สถาปนาอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2013 ตามมติสหประชาชาติ “ในบริบทของความจำเป็นในการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ พร้อมทั้งส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิของพวกเขา กำหนดให้วันที่ 30 กรกฎาคม เป็นวันต่อต้านการค้ามนุษย์โลก ที่จะจัดขึ้นทุกปีตั้งแต่ปี 2014”

อะไรจะเกิดขึ้นบ้างในวันต่อต้านการค้ามนุษย์โลก?

วันต่อต้านการค้ามนุษย์ได้รับการยอมรับจากทั้งสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ โดยนักเคลื่อนไหวที่ไม่ใช่ภาครัฐรวมถึงองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร ในวันที่ 30 กรกฎาคม ได้กลายเป็นวันรวมพลที่สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการต่อต้านการค้ามนุษย์ องค์กรต่างๆ จำนวนมากใช้โอกาสนี้ในการเน้นย้ำถึงการสร้างความตระหนักรู้

“แคมเปญหัวใจสีฟ้า” เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้และป้องกันการค้ามนุษย์ หัวใจสีฟ้ามีความหมายสองนัย คือ ความเศร้าโศกของผู้ถูกค้ามนุษย์ ในขณะเดียวกันก็เตือนเราถึงความใจร้ายของผู้ที่ซื้อและขายเพื่อนมนุษย์

โดยในปี 2025 สหประชาชาติได้ชูหัวข้อสำหรับวันต่อต้านการค้ามนุษย์โลก คือ “การค้ามนุษย์เป็นอาชญากรรมที่จัดตั้งขึ้น-ยุติการแสวงประโยชน์” โดยเน้นที่ความจริงที่ว่าการค้ามนุษย์มักเกิดขึ้นผ่านเครือข่ายอาชญากรหรือกลุ่มอาชญากรขนาดใหญ่ การยุติอาชญากรรมการค้ามนุษย์ต้องอาศัยการติดตามภาพรวมของอาชญากรรมที่จัดตั้งขึ้นในระดับนานาชาติ ซึ่งอาจรวมถึงการค้ายาเสพติดและอาวุธด้วย



“วันต่อต้านการค้ามนุษย์โลก” ไม่ใช่เพียงวันแห่งการรำลึกเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมมือกันของคนทั้งโลก เพื่อหยุดยั้งอาชญากรรมที่บั่นทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และร่วมกันสร้างสังคมที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน

#แคมเปญหัวใจสีฟ้า #วันต่อต้านการค้ามนุษย์ #วันที่30กรกฎาคม #เสียงไทบ้าน21 #หนังสือพิมพ์เสียงไทบ้าน

อ้างอิง : https://theexodusroad.com/th/world-day-against-trafficking-in-persons/

วันนี้ในอดีต ประวัติศาสตร์เมื่อ 111 ปีที่แล้ว กับการเกิดขึ้นของสงครามโลกครั้งที่ 1วันนี้ในอดีตเมื่อ 111 ปีที่แล้ว วันที่...
28/07/2025

วันนี้ในอดีต ประวัติศาสตร์เมื่อ 111 ปีที่แล้ว กับการเกิดขึ้นของสงครามโลกครั้งที่ 1

วันนี้ในอดีตเมื่อ 111 ปีที่แล้ว วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2457 ประเทศออสเตรียและประเทศฮังการี (ในเวลานั้น ทั้งสองประเทศเคยเป็นประเทศเดียวกันในชื่อ “จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี”) ได้ประกาศสงคราม ต่อประเทศเซอร์เบียอย่างเป็นทางการ ซึ่งมากลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งระดับโลกที่มีชื่อเรียกว่า “สงครามโลกครั้งที่ 1”

ต้นเหตุของความตึงเครียดระหว่างทั้งสองฝ่ายนี้นั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2457 เมื่อเจ้าชายฟรันซ์ เฟอร์ดินานด์ มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย–ฮังการีและภรรยา ถูกลอบปลงพระชนม์ขณะ เสด็จเยือนเมืองซาราเยโว โดยผู้ก่อเหตุคือ นายกัฟรีโล ปรินซิป ชาวเซอร์เบียหัวรุนแรงผู้ยึดถือแนวคิดชาตินิยม

จากเหตุลอบปลงพระชนม์ดังกล่าวเป็นตัวจุดชนวนความโกรธแค้นในหมู่ผู้นำออสเตรีย–ฮังการี จากนั้นผ่านมาเกือบหนึ่งเดือน เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2457 พวกเขาได้ยื่นคำขาดถึงรัฐบาลของเซอร์เบีย เรียกร้องให้ทางเซอร์เบียมีการยอมรับข้อตกลงนี้อย่างเด็ดขาดและเร่งรัด โดยข้อตกลงที่ยื่นคำขาดไปนั้นคืิอ การปราบปรามการโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านออสเตรีย-ฮังการีทั้งหมดภายในเซอร์เบีย และอนุญาตให้ออสเตรีย-ฮังการีดำเนินการสืบสวนการสังหารมกุฎราชกุมารด้วยตนเอง

เซอร์เบียยอมรับข้อเรียกร้องทั้งหมดของออสเตรีย-ฮังการีอย่างครบถ้วน ยกเว้นเพียงข้อตกลงที่จะให้เจ้าหน้าที่จากออสเตรีย-ฮังการีเป็นผู้เข้ามาตรวจสอบภายในประเทศ เพราะนั่นขัดกับหลักอธิปไตยที่ถืออยู่

เมื่อข้อตกลงที่เรียกร้องไปได้รับการยอมรับไม่ครบในสิ่งที่ต้องการ ทางรัฐบาลออสเตรีย-ฮังการีได้ประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับทางเซอร์เบียในวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2457 และได้ดำเนินมาตรการเตรียมความพร้อมทางทหาร

ในขณะเดียวกันนั้น ประเทศรัสเซียที่เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของเซอร์เบียที่มีอิทธิพลใน คาบสมุทรบอลข่านก็ได้เริ่มดำเนินการขั้นแรกของตนเอง ระดมกองกำลังทหารเพื่อเข้าต่อต้านออสเตรีย-ฮังการี ระหว่างที่ทางออสเตรีย-ฮังการีได้แตกหักและตัดสัมพันธ์กับเซอร์เบีย ประเทศและชาติในยุโรปที่เหลือ รวมถึง พันธมิตรของรัสเซียอย่างอังกฤษและฝรั่งเศสต่างมีความเห็นว่า การรบที่จะเกิดขึ้นในคาบสมุทรบอลข่านนั้นมีความรุนแรงอย่างมาก ซึ่งหากรัสเซียประกาศเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้อาจกลายเป็นสงครามใหญ่ที่เกิดขึ้นในทวีปยุโรปได้

กระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษจึงเรียกประชุมระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของแต่ละประเทศในยุโรปที่กรุงเบอร์ลิน ปารีส และโรม ด้วยแนวคิดที่จะจัดการประชุมระหว่างประเทศเพื่อหาทางบรรเทาความขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม ทางรัฐบาลของประเทศเยอรมนีได้คัดค้านแนวคิดนี้ และแนะนำให้เวียนนาเดินหน้าตามแผนของตนต่อไป

จนกระทั่งในช่วงเช้าวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2457 หลังจากมีมติอย่างเด็ดขาดเพื่อตอบโต้แรงกดดันจากเยอรมนีที่ต้องการให้ดำเนินการสงครามอย่างรวดเร็ว ทางออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาศสงครามกับเซอร์เบีย อย่างเป็นทางการเพื่อตอบโต้รัสเซีย โดยได้สั่งระดมพลอย่างเป็นทางการในสี่เขตของทหารที่เผชิญหน้าใน กาลิเซียซึ่งเป็นชายแดนแนวรบร่วมกับจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี

ภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ประเทศมหาอำนาจทั้งยุโรปต่างพากันเข้าสู่ภาวะสงคราม กลายเป็นความขัดแย้งระดับทวีปที่ต่อมาจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ที่รู้จักกันในปัจจุบัน โดยมีชื่อว่า “สงครามโลกครั้งที่ 1”

#สงครามโลกครั้งที่1 #ประวัติศาสตร์ #เสียงไทบ้าน21 #หนังสือพิมพ์เสียงไทบ้าน

อ้างอิง : https://www-history-com.translate.goog/this-day-in-history/july-28/austria-hungary-declares-war-on-serbia?_x_tr_sl=en&_x_tr_tl=th&_x_tr_hl=th&_x_tr_pto=tc&_x_tr_hist=true

“บ้านของเราไม่ควรเป็นสมรภูมิ” 4 วันเดือด ไทย–กัมพูชาปะทะหนัก พลเรือนอพยพนับแสน เสียงจากประชาชนสะท้อน ‘แค่ขอความสงบ‘ ระหว...
28/07/2025

“บ้านของเราไม่ควรเป็นสมรภูมิ” 4 วันเดือด ไทย–กัมพูชาปะทะหนัก พลเรือนอพยพนับแสน เสียงจากประชาชนสะท้อน ‘แค่ขอความสงบ‘

ระหว่างวันที่ 24–27 กรกฎาคม 2568 สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาได้ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง กลายเป็นความขัดแย้งทางทหารที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่าทศวรรษ นับตั้งแต่เหตุการณ์พิพาท รอบปราสาทเขาพระวิหารเมื่อปี 2554 โดยการปะทะในครั้งนี้ส่งผลกระทบในวงกว้าง ไม่เพียงแต่ต่อกองกำลังของทั้งสองประเทศ แต่ยังสร้างความเดือดร้อนให้กับพลเรือนจำนวนมาก ซึ่งประชากรหลายแสนคนต้องอพยพออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วนเพื่อความปลอดภัย

ความขัดแย้งเริ่มต้นจากข้อพิพาทเรื่องเขตแดนบริเวณ ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ชายแดนระหว่างจังหวัดศรีสะเกษของไทย และจังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา โดยเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา กัมพูชาได้ส่งโดรนลาดตระเวนเข้ามายังพื้นที่พิพาท พร้อมรายงานว่ามีกำลังทหารเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เขตแดน จนนำไปสู่การปะทะกับฝ่ายไทยในหลายจุด

24 กรกฎาคม เกิดการสู้รบพร้อมกันในกว่า 6 จุดตามแนวชายแดน โดยกัมพูชามีการยิงจรวด BM-21 เข้าใส่พื้นที่พลเรือนในจังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทันทีอย่างน้อย 14 ราย และมีผู้บาดเจ็บอีกจำนวนมาก ขณะที่กองทัพอากาศไทยได้ส่งเครื่องบิน F-16 โจมตีเป้าหมายในฝั่งกัมพูชา เพื่อตอบโต้และยืนยันการปกป้องอธิปไตยของประเทศ

25 กรกฎาคม การปะทะลุกลามไปยังแนวชายแดนจังหวัดตราด และพื้นที่ชายแดนในจังหวัดพุรสัทของกัมพูชา มีการใช้อาวุธหนักหลายรูปแบบทั้งปืนใหญ่ โดรนโจมตี และจรวด ไทยประกาศใช้ กฎอัยการศึกใน 8 อำเภอชายแดน พร้อมทั้งห้ามประชาชนเดินทางเข้าใกล้แนวชายแดนในระยะ 20 กิโลเมตร

26 กรกฎาคม เข้าสู่วันที่สามของความขัดแย้ง มีรายงานการยิงจรวด และเหตุระเบิดในหลายพื้นที่ การสู้รบระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายทวีความรุนแรง โดยเฉพาะในระดับกองร้อย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 32 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 130 คน

27 กรกฎาคม การปะทะยังคงเกิดขึ้นประปรายแม้หลายฝ่ายจะเรียกร้องให้หยุดยิง ยอดผู้เสียชีวิตรวมอย่างน้อย 33 ราย ขณะที่ยอดผู้อพยพทะลุ 200,000 คน โดยเฉพาะในฝั่งไทยที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด

รัฐบาลทั้งสองประเทศยอมรับข้อเสนอของอาเซียนให้มาเลเซียเป็นตัวกลางในการเจรจา แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้ ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ และนานาชาติแสดงจุดยืนสนับสนุนการเจรจาโดยสันติวิธี

ประชาชนชายแดนไทยจำนวนมากต้องเร่งอพยพจากพื้นที่เสี่ยง โดยรัฐได้จัดตั้งศูนย์พักพิงฉุกเฉินในหลายจุด ขณะที่ทางฝั่งกัมพูชาก็ประสบปัญหาเดียวกัน หลายครอบครัวสูญเสียที่อยู่อาศัย และอยู่ในภาวะความเครียดจากสถานการณ์ที่ยังไร้ทิศทาง

องค์การสหประชาชาติ (UN) และสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลอย่างลึกซึ้ง และเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศหยุดยิงโดยทันที กัมพูชาได้ยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการต่อ UN ขอให้มีการไกล่เกลี่ย ขณะที่รัฐบาลไทยระบุว่ายินดีเข้าร่วมการเจรจาในกรอบภูมิภาค แต่จะยังคงรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติไว้ทุกประการ

แม้ว่าทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้มีการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ แต่สถานการณ์ยังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง โดยฝ่ายไทยระบุว่าหากถูกโจมตีหรือยั่วยุเพิ่มเติม รัฐบาลจะดำเนินการตอบโต้ด้วยมาตรการที่ "เด็ดขาดและครอบคลุม" ขณะที่หลายฝ่ายหวั่นเกรงว่า หากไม่มีการเจรจาอย่างจริงจัง สถานการณ์อาจบานปลายกลายเป็นความขัดแย้งในระดับที่ควบคุมได้ยาก

ท่ามกลางเสียงปืนและความร้อนแรงทางการเมือง สิ่งที่ประชาชนในพื้นที่ชายแดนเรียกร้องมากที่สุด คือ "ความสงบ" และ "ความปลอดภัย" หลายคนยังจำฝันร้ายจากเหตุการณ์ในอดีตได้ดี และไม่ต้องการเห็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง

เหตุการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาในครั้งนี้ เตือนให้เห็นว่า ความขัดแย้งทางการเมืองอาจกลายเป็นหายนะต่อชีวิตผู้คนหากไม่มีสติ และการเจรจาเป็นตัวนำทาง

เสียงของประชาชน และความหวังจากประชาคมโลก ต่างส่งสารเดียวกันว่า ถึงเวลาแล้วที่ความรุนแรงควรยุติ และสันติภาพควรกลับคืนสู่ภูมิภาคนี้อีกครั้ง

#เสียงไทบ้าน21 #หนังสือพิมพ์เสียงไทบ้าน

ข้อมูลอ้างอิงจาก:
Reuters | Associated Press (AP) | The Guardian
หมายเหตุ: ข้อมูลอัปเดตล่าสุด ณ วันที่ 27 ก.ค. 2568

ที่อยู่

มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
Tha Khon Yang
44150

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ หนังสือพิมพ์เสียงไทบ้านผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์