Marketeer Online ข้อมูลการติดต่อ, แผนที่และเส้นทาง,แบบฟอร์มการติดต่อ,เวลาเปิดและปิด, การบริการ,การให้คะแนนความพอใจในการบริการ,รูปภาพทั้งหมด,วิดีโอทั้งหมดและข่าวสารจาก Marketeer Online, เว็บไซต์ข่าวและสื่อ, Thon Buri District.

First in Marketing Contents
24 ปีแห่งการเป็นผู้นำข่าวและข้อมูลธุรกิจการตลาด
[email protected]
[email protected]
โทร : 02-860-7889
โทร : 081-751-5075

  🔴การตลาด 101: Fighting Brand Strategy แม้จะเกิดมาตัวเล็ก แต่ก็สู้ยิบตาเพื่อปกป้องแบรนด์ใหญ่ : พร้อม Case Study เบียร์ล...
14/07/2025

🔴การตลาด 101: Fighting Brand Strategy แม้จะเกิดมาตัวเล็ก แต่ก็สู้ยิบตาเพื่อปกป้องแบรนด์ใหญ่ : พร้อม Case Study เบียร์ลีโอ Fighting Brand ขนานแท้ ที่กลายเป็น Big Brand

ในบางสนามรบของตลาด การยืนอยู่บนหอคอยแบรนด์พรีเมียมอาจไม่เพียงพอ เมื่อต้องเผชิญกับแบรนด์เล็กที่ราคาถูกกว่าและไวกว่ามาก กลยุทธ์ “Fighting Brand” จึงเป็นอาวุธลับของแบรนด์ใหญ่ที่ยอมลดระดับตัวเองชั่วคราว เพื่อไม่ให้เสียฐานลูกค้าระดับกลางและล่างไป

🟥 Fighting Brand คืออะไร

Fighting Brand คือแบรนด์ทางเลือกที่บริษัทใหญ่สร้างขึ้นเพื่อสู้กับแบรนด์คู่แข่งราคาถูก มักใช้ในกรณีที่บริษัทไม่สามารถลดราคาสินค้าหลักลงได้ เพราะอาจกระทบภาพลักษณ์หรือกำไรของแบรนด์แม่ จึงต้องสร้าง “แบรนด์ใหม่” ที่วางตำแหน่งต่ำกว่า แต่ยังควบคุมโดยบริษัทเดียวกัน

🟥 ปัจจัยที่ประกอบกันเป็น Fighting Brand

1.ราคาที่แข่งขันได้ เป็นจุดขายสำคัญ เพราะลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมักให้ความสำคัญกับ “คุ้มค่า” มากกว่า “พรีเมียม”

2.คุณภาพพอรับได้ แม้จะลดระดับจากแบรนด์หลัก แต่ต้องไม่ต่ำจนเสียชื่อบริษัทแม่

3.การแยกตัวตนของแบรนด์อย่างชัดเจน ต้องไม่ให้ลูกค้ารู้สึกว่าเป็นของเดียวกันกับแบรนด์แม่ เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์หลักเสียหาย

🟥 Fighting Brand ไม่ได้สู้แค่เรื่อง “ราคา”

แม้เรื่องราคาจะเป็นตัวหลัก แต่แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จมักเติม “คุณค่าทางใจ” เช่น ดีไซน์ที่เท่ ความคล่องตัว หรือการเข้าถึงช่องทางใหม่ๆ เช่น ร้านสะดวกซื้อ หรือออนไลน์ เพื่อทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์นี้ “ถูกแต่เท่” ไม่ใช่ “ถูกและด้อย”

🟥 แนวคิดการใช้ Fighting Brand ที่น่าสนใจ

1.กันฐานตลาดไว้ไม่ให้ถูกกัดกิน เช่น เมื่อแบรนด์เล็กตีตลาดกลุ่มวัยรุ่นด้วยสินค้าราคาถูก แบรนด์ใหญ่สามารถใช้ Fighting Brand ไปตั้งรับในกลุ่มนั้น

2.สร้างแบรนด์ลับ (Stealth Brand) โดยไม่เปิดเผยว่าอยู่ในเครือเดียวกัน เช่น เครื่องสำอางบางยี่ห้อที่วางขายในร้านสะดวกซื้อ ใช้ชื่อใหม่แต่ยังใช้เทคโนโลยีจากแบรนด์แม่

3.ทดลองแนวทางใหม่โดยไม่กระทบแบรนด์หลัก หากล้มเหลวก็ไม่กระทบชื่อเสียง แต่ถ้าสำเร็จ อาจนำกลับมาผนวกหรือปั้นเป็นแบรนด์ใหม่ได้

🟥 ตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้กลยุทธ์นี้สำเร็จ

ในวงการแฟชั่น Uniqlo เคยออกไลน์ GU ซึ่งเน้นราคาถูกกว่าและเจาะกลุ่มวัยรุ่น เพื่อป้องกันตลาดล่างไม่ให้หลุดมือ โดยไม่กระทบภาพลักษณ์เรียบหรูของ Uniqlo เอง

ในตลาดเครื่องสำอาง Maybelline แม้เป็นแบรนด์ใหญ่ของ L’Oréal แต่ก็วางตัวเองให้ราคาจับต้องได้ เพื่อป้องกันการถูกกินตลาดโดยแบรนด์ท้องถิ่นหรือ K-Beauty ที่ราคาต่ำกว่า

ล่าสุดคือ เอ็มเค สุกี้ ที่ต้องสร้างแบรนด์ Bonus Suki เพื่อชนกับ สุกี้ตี๋น้อย ลัคกี้ สุกี้ (แต่ยังต้องอาศัยเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า แนวทางนี้จะประสบความความสำเร็จหรือไม่)

🟥 คำเตือนในการใช้กลยุทธ์นี้

Fighting Brand ไม่ใช่ทางลัดสู่ความสำเร็จ หากออกแบบไม่ดี อาจทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์แม่เสียหาย หรือทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์แม่ตั้งราคาสูงเกินไป และที่สำคัญที่สุด อย่าให้แบรนด์ลูกกลายเป็นศัตรูกับแบรนด์แม่เองโดยไม่ได้ตั้งใจ

🟥 นักการตลาดควรคิดให้รอบด้านก่อนใช้

การทำ Fighting Brand ต้องวางแผนให้รัดกุม เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคและศักยภาพของคู่แข่งให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ข้อมูลถูกเปิดเผยง่าย ลูกค้าอาจจับได้ว่าแบรนด์ที่คิดว่าถูกคือ “ลูกของแบรนด์แพง” ซึ่งอาจสะท้อนกลับมายังความน่าเชื่อถือของทั้งสองแบรนด์ได้เช่นกัน

Fighting Brand คือกลยุทธ์ป้องกันพื้นที่ แต่ต้องวางหมากให้ดี เพราะหากเล่นพลาด อาจเสียทั้งหมากรุกและกระดานใหญ่ในเกมธุรกิจได้ในคราวเดียว.

🟥 กรณีศึกษา: เบียร์ลีโอ Fighting Brand ขนานแท้ ที่กลายเป็น Big Brand

กรณีของ เบียร์ลีโอ (Leo) เป็นหนึ่งในตัวอย่าง Fighting Brand ที่เติบโตจนกลายเป็นแบรนด์หลัก ที่น่าศึกษาในวงการตลาดไทย โดยเฉพาะในธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งการแข่งขันรุนแรงและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

🟥 จุดเริ่มต้นของ Leo: ออกมาสู้ช้าง

ย้อนกลับไปช่วงกลางทศวรรษ 2530–2540 “เบียร์ช้าง” เปิดตัวและตีตลาดอย่างรุนแรงด้วยราคาที่ถูกกว่าเบียร์พรีเมียมในตลาดอย่าง “สิงห์” ซึ่งเป็นแบรนด์หลักของ บุญรอดบริวเวอรี่ (เจ้าของเดียวกับ Leo)

ทำให้สิงห์เสียส่วนแบ่งตลาดไปจำนวนมาก โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานและผู้บริโภคที่ต้องการเบียร์รสจัดในราคาย่อมเยา

บริษัทบุญรอดฯ ไม่สามารถลดราคาสิงห์ลงมาแข่งได้ เพราะจะกระทบภาพลักษณ์ของแบรนด์พรีเมียม จึงเลือกใช้กลยุทธ์ “Fighting Brand” ด้วยการออกเบียร์ ลีโอ ที่วางราคาเท่ากับช้าง เจาะกลุ่มเดียวกัน คือกลุ่มชนชั้นกลางถึงล่างที่ดื่มเพื่อความคุ้มค่า

🟥 จุดต่างที่ทำให้ Leo เอาชนะ

แม้เปิดตัวในฐานะแบรนด์ “ราคาประหยัด” แต่ Leo สร้างจุดแข็งของตัวเองผ่าน 3 แนวทางหลัก

1.รสชาติกำลังดี ดื่มง่ายกว่าคู่แข่ง
Leo ไม่ได้ทำให้เบียร์แรงแบบช้าง แต่เลือกให้รสกลาง ๆ ดื่มง่ายกว่า ทำให้ขยายฐานผู้ดื่มได้กว้างขึ้น ทั้งในกลุ่มชาย-หญิง คนเมือง-ต่างจังหวัด

2.การตลาดแบบเข้าถึงง่าย ใกล้ชิดคนรุ่นใหม่
Leo เลือกใช้สื่อบันเทิง ดนตรี ผับ-บาร์ สนับสนุนวงดนตรีและกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ภาพลักษณ์ดูสนุก เท่ ลุย ๆ เหมาะกับไลฟ์สไตล์วัยรุ่น จนกลายเป็นแบรนด์ที่ “เป็นมิตร” และมีความผูกพันกับผู้บริโภคในระยะยาว

3.คุณภาพคงที่ ภาพลักษณ์ดูจริงใจ
แม้จะเป็น Fighting Brand แต่ Leo กลับมีภาพลักษณ์ของ “เบียร์ที่จริงจังกับคุณภาพ” ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นของถูกไร้คุณค่า ทำให้มี Loyalty จากกลุ่มดื่มประจำสูงมาก

🟥 จาก Fighting Brand สู่แบรนด์หลัก

ด้วยความสำเร็จที่เหนือความคาดหมาย Leo จึงไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ฐานะ Fighting Brand อีกต่อไป แต่กลายเป็น แบรนด์เรือธง ของบุญรอดฯ ที่ขายดีที่สุดในตลาดเบียร์ไทย

ปัจจุบัน Leo ครองส่วนแบ่งตลาดเบียร์มากที่สุดในไทย แซงหน้าเบียร์ช้างในหลายปีที่ผ่านมา ขณะที่ “สิงห์” กลับกลายเป็นแบรนด์รองในแง่ยอดขาย แต่ยังคงรักษาฐานพรีเมียมไว้

🟥 บทเรียนจาก Leo

กรณีของ Leo แสดงให้เห็นว่า Fighting Brand ไม่จำเป็นต้องเป็นเพียง “ตัวรับแรงกระแทก” ชั่วคราว หากวางแผนดีพอ และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค ก็สามารถเติบโตกลายเป็นแบรนด์หลักได้ในระยะยาว

กลายเป็นตัวอย่างของ การใช้ Fighting Brand เป็นเครื่องมือ “บุก” ไม่ใช่แค่ “ตั้งรับ” อย่างแท้จริง

Leo จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเบียร์ แต่เป็นกรณีศึกษาของ “แบรนด์ที่เริ่มจากล่าง แล้วไต่ขึ้นสู่ผู้นำตลาด” ด้วยกลยุทธ์ที่เข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง

#สุกี้เอ็มเค #เบียร์ลีโอ

  🔴 กลับมาอีกครั้งกับงานประกาศรางวัลที่แบรนด์ไทยทุกคนรอคอย! "No.1 Brand Thailand" ครั้งที่ 14 โดย Marketeer Groupงานที่ผ...
14/07/2025

🔴 กลับมาอีกครั้งกับงานประกาศรางวัลที่แบรนด์ไทยทุกคนรอคอย! "No.1 Brand Thailand" ครั้งที่ 14 โดย Marketeer Group

งานที่ผู้บริหาร นักการตลาด และแบรนด์ในประเทศไทยกว่า 100 แบรนด์จะได้พบกัน

พร้อมประกาศผลสำรวจ “เสียงจากผู้บริโภคทั่วประเทศ” ที่เลือก “แบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ในใจ”

รางวัลนี้ไม่ใช่แค่ชื่อเสียง...แต่คือ “ความไว้ใจ” ที่แบรนด์และนักการตลาดสร้างมาตลอดทั้งปี และสะท้อนความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าการขาย คือ “การเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในใจผู้บริโภค”

📍ติดตามงานประกาศผลรางวัล Marketeer No.1 Brand Thailand 2025
17 กรกฎาคมนี้ ผ่านช่องทาง Facebook live เพจ Marketeer Online


#แบรนด์ยอดนิยมอันดับ1ในใจผู้บริโภค #แบรนด์ที่ผู้บริโภคเลือก

  🔴 Aldi ซูเปอร์มาร์เก็ตที่โตเร็วที่สุดในอเมริกา ด้วยกลยุทธ์ขายไข่ถูกๆหากเดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต และพบว่าไข่ไก่ นม ห...
13/07/2025

🔴 Aldi ซูเปอร์มาร์เก็ตที่โตเร็วที่สุดในอเมริกา ด้วยกลยุทธ์ขายไข่ถูกๆ

หากเดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต และพบว่าไข่ไก่ นม หรือขนมปังที่ขายในร้านมีราคาถูกกว่าร้านอื่นอย่างเห็นได้ชัด เราก็คงจะคิดทันทีว่าร้านนี้เน้นขายของราคาประหยัด และของอื่นๆ ในร้านก็น่าจะถูกไปหมด

Aldi เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตราคาประหยัดที่มาจากเยอรมนี ที่ใช้กลยุทธ์นี้ในการขึ้นมาเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่โตเร็วที่สุดในอเมริกา และกลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของวงการธุรกิจ

มาดูกันว่า Aldi มีกลยุทธ์อะไรบ้าง ถึงโตเร็วได้ขนาดนี้


🔴 การเติบโตของ Aldi ในอเมริกา

ถ้านับจากจำนวนสาขาที่เปิดให้บริการ ในปัจจุบัน Aldi ได้เข้ามาขยายตัวในอเมริกาจนกลายเป็นเครือข่ายซูเปอร์มาร์เก็ตอันดับสามของประเทศ

โดยมีอัตราการเปิดสาขาเยอะที่สุดที่ประมาณ 100 สาขาต่อปีตั้งแต่ปี 2008

Aldi มีทั้งหมด 2,400 สาขาในปี 2024 และมีเป้าหมายขยายเป็น 3,200 สาขา ภายในปี 2028

หนึ่งในภาพลักษณ์ที่ Aldi สามารถสร้างให้เกิดขึ้นในสายตาผู้บริโภคคือ “ความคุ้มค่า” เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งรายอื่น

ซึ่งการที่ Aldi สามารถนำเสนอสินค้าในราคาที่ถูกกว่าคู่แข่งได้อย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากกลยุทธ์ทางธุรกิจหลายอย่างที่ได้ผสมผสานกันอย่างลงตัว


🔴 1. การเปิดร้านขนาดเล็กกว่าคู่แข่ง

แนวทางแรกที่ทำให้ Aldi สามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ การเปิดร้านที่มีขนาดเล็กกว่าคู่แข่ง

ร้าน Aldi แต่ละสาขามีพื้นที่เพียง 1,100 ตารางเมตร ในขณะที่ซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปจะมีพื้นที่ประมาณ 4,400 ตารางเมตร

การมีพื้นที่ที่เล็กกว่าส่งผลให้ Aldi ลงทุนในการสร้างและปรับปรุงร้านน้อยกว่า รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำ และค่าบำรุงรักษาต่างๆ ก็ลดลงตามไปด้วย แถมพื้นที่ที่กะทัดรัดยังช่วยให้จัดการสต๊อกสินค้าและดูแลร้านได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นด้วย


🔴 2. การลดบริการและสินค้าเพื่อควบคุมต้นทุน

กลยุทธ์ที่สองของ Aldi คือการเลือกที่จะไม่ให้บริการพิเศษหลายอย่างที่ซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปมักจะมี แม้ว่าอาจจะทำให้ลูกค้าได้ความสะดวกสบายน้อยลงบ้าง แต่ในทางกลับกันก็ทำให้ Aldi มีต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำลงเห็นได้ชัด

ตัวอย่างบริการที่ Aldi ไม่มีในร้าน เช่น แผนกให้ความช่วยเหลือลูกค้า ร้านขนมปังทำสด และร้านแล่เนื้อแบบสดใหม่ การที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้ช่วยลดต้นทุนค่าแรงงาน ค่าเครื่องมืออุปกรณ์ และพื้นที่เก็บของได้อย่างมาก

และสินค้าที่วางขายก็จัดวางอยู่ในกล่องพัสดุจัดส่ง เพื่อลดต้นทุนในการจ้างพนักงานมาจัดสินค้า

ที่น่าสนใจคือ โดยเฉลี่ย Aldi มีสินค้าให้เลือกแค่ 1,650 รายการ ในขณะที่ซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปจะมีสินค้าถึง 31,500 รายการ การจำกัดจำนวนสินค้าแบบนี้ช่วยให้ Aldi ไม่ต้องใช้พื้นที่คลังใหญ่ๆ และจัดการสต๊อกได้ง่าย

พอควบคุมต้นทุนได้ดี Aldi ก็ส่งผ่านความประหยัดนี้ไปให้ลูกค้าในรูปของราคาสินค้าที่ถูกลง


🔴 3. การเน้นขายสินค้าภายใต้ฉลากตัวเอง (Private Label)

กลยุทธ์ที่สามที่ทำให้ Aldi โดดเด่นคือการเน้นขายสินค้าภายใต้ฉลากตัวเอง หรือที่เรียกว่า Private Label ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 90% ของสินค้าทั้งหมดในร้าน การมีสินค้าฉลากตัวเองในสัดส่วนที่สูงเช่นนี้ช่วยให้ Aldi สามารถควบคุมต้นทุนการผลิตและการจัดจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จได้เพราะ Aldi เน้นการสั่งซื้อสินค้าเพียงไม่กี่รายการที่ขายดี แต่สั่งในปริมาณมากๆ ซึ่งช่วยให้ได้ราคาต้นทุนที่ดีจากผู้ผลิต

สิ่งที่ทำให้กลยุทธ์นี้ได้ผลดีอีกอย่างคือ ลูกค้าสมัยนี้เริ่มยอมรับสินค้าแบรนด์ทั่วไปมากขึ้น โดยเข้าใจว่าของพวกนี้ราคาถูกกว่าแบรนด์ดัง แต่คุณภาพไม่ได้แย่กว่าแบรนด์ใหญ่อย่างที่เคยคิดกันในอดีต การเปลี่ยนแปลงของทัศนคติผู้บริโภคนี้เอื้อให้ Aldi สามารถขายสินค้าภายใต้ฉลากตัวเองได้อย่างราบรื่น


🔴 4. กลยุทธ์ Known Value Items

กลยุทธ์ที่สี่ และเป็นสิ่งที่ทำให้ Aldi มีภาพจำกับผู้บริโภค คือการใช้กลยุทธ์ “Known Value Items” หรือการขายสินค้าที่ผู้บริโภคคุ้นเคยกับราคาอยู่แล้วในราคาที่ถูกที่สุด

หลักการทำงานของกลยุทธ์นี้อยู่ที่การเลือกขายสินค้าบางชนิดที่ผู้บริโภคคุ้นเคยอยู่แล้ว และมีราคาในใจอยู่แล้ว เช่น ไข่ไก่ นม หรือขนมปัง แล้วขายในราคาที่ถูกกว่าที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกโดยอัตโนมัติว่าสินค้าอื่นๆ ในร้านก็น่าจะมีราคาถูกเช่นเดียวกัน

การที่ Aldi สามารถขายสินค้าเหล่านี้ในราคาที่ถูกกว่าคู่แข่งช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับร้านในฐานะ “ร้านขายของราคาประหยัด” (Discount Store)


🔴 ผลลัพธ์ของกลยุทธ์

ด้วยกลยุทธ์ทั้งสี่ข้อ Aldi ได้สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างชัดเจน และกลายเป็นหนึ่งในร้านค้าที่ลูกค้าชาวอเมริกันมองว่าขายสินค้าในราคาที่ “คุ้มค่า”ที่สุด

การเติบโตอย่างรวดเร็วของ Aldi ในตลาดอเมริกาเป็นตัวอย่างที่ดีของการที่ธุรกิจไม่จำเป็นต้องเสนอทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ควรมุ่งเน้นไปที่การทำสิ่งที่สำคัญให้ดีที่สุด ในกรณีของ Aldi คือ “ความคุ้มค่า”

กลยุทธ์ของ Aldi แสดงให้เห็นว่าการเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคสามารถนำมาใช้ในการออกแบบแนวทางการดำเนินธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ และการเลือกที่จะไม่ทำบางสิ่งบางอย่างก็อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างความได้เปรียบในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

#กลยุทธ์ทางธุรกิจ #การตลาด #ซูเปอร์มาร์เก็ต #จิตวิทยาผู้บริโภค

หลังจากที่ Marketeer นำเสนอประเด็นนี้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา กระแสความคึกคักยิ่งทวีความร้อนแรงในช่วงสุดสัปดาห์ เมื่อ M...
13/07/2025

หลังจากที่ Marketeer นำเสนอประเด็นนี้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา กระแสความคึกคักยิ่งทวีความร้อนแรงในช่วงสุดสัปดาห์ เมื่อ MK เปิดตัวแบรนด์ลูก “Bonus สุกี้” ลงสนามบุฟเฟต์อย่างเต็มตัว ขณะที่ตี๋น้อยก็ออกโปรโมชั่นลด 50% ใน 10 สาขา

การแข่งขันรอบนี้ดูท่าจะยังไม่จบง่าย ๆ และน่าจะครองพื้นที่สื่อในหน้าฟีดของผู้บริโภคไปอีกสักพัก

แล้วผู้อ่านคิดว่าศึกครั้งนี้จะจบลงแบบใด?

🔴 ตลาดสุกี้กลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะสงครามราคา?

ช่วงเดือนที่ผ่านมา เปิดโซเชียลมีเดียอันไหนก็ตาม ก็คงหลีกเลี่ยงไม่พ้นชื่อของสองร้านสุกี้ - MK และ ตี๋น้อย

หนึ่งฝ่ายคือเจ้าตลาดสายพรีเมียมที่ครองใจผู้บริโภคมายาวนาน
อีกฝ่ายคือสายบุฟเฟ่ต์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีนี้

เมื่อ MK ตัดสินใจก้าวลงมาเล่นในเกมบุฟเฟ่ต์ กลุ่มที่ตี๋น้อยครองตลาด ตี๋น้อยก็ตอบโต้ทันทีด้วยการหั่นราคาของตัวเองลง

นั่นคือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่หลายคนเรียกว่า "สงครามสุกี้" ที่กลายเป็น talk of the town แทบจะข้ามคืน ข้ามอาทิตย์ ข้ามเดือน

บางคนมองว่าสงครามราคาไม่เคยสร้างประโยชน์ให้ใคร และมักจะจบที่การเจ็บตัวทั้งคู่

แต่ถ้าเรามองภาพรวมตอนนี้ เราจะพบว่า สงครามราคาครั้งนี้ ทั้งสองได้มูลค่าสื่อจำนวนมหาศาล และอาจจะเยอะกว่าส่วนลดที่ทั้งสองมอบให้


🔴 เมื่อการแข่งขันกลายเป็นพื้นที่สื่อฟรี

หลังจากที่ MK เริ่มทยอยจัดโปรโมชั่นบุฟเฟ่ต์ในหลายๆ สาขา เราเริ่มกลับมาเห็นความคึกคักในหลายสาขา เริ่มมีการกลับมาแจกบัตรคิวแล้ว แบรนด์โดนพูดถึงมากขึ้น และที่สำคัญคือแบรนด์กลับมาอยู่ในใจคนอีกครั้ง

แม้โปรโมชั่นจะเป็นแรงกระตุ้นสำคัญในการกลับมาครั้งนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่น่าจะเป็นตัวผลักดันหลัก คือการที่แบรนด์ได้รับ “พื้นที่สื่อ” อย่างมหาศาล

ชื่อของ MK และตี๋น้อย ถูกพูดถึงบนหน้าฟีดอย่างต่อเนื่อง จากเพจรีวิว เพจธุรกิจ เพจการตลาด ไปจนถึงผู้บริโภคทั่วไป

ไม่ว่าฝ่ายไหนจะออกโปรโมชั่นอะไรมา ก็จะได้รับยอดแชร์ ยอดไลก์จำนวนมาก ส่งผลให้คนที่ไม่ได้ตั้งใจจะไปกินสุกี้ ก็เริ่มสนใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

การถูกพูดถึงซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง ในโลกการตลาดเรียกว่า Earned Media หรือการได้รับสื่อโดยไม่ต้องจ่าย ซึ่งทำให้ผู้บริโภครับรู้ถึงแบรนด์แบบฟรีๆ ซึ่งหากจะตีมูลค่าสิ่งที่เกิดขึ้นในรอบนี้ ยากที่จะหาแคมเปญไหนซื้อพื้นที่สื่อได้ขนาดนี้


🔴 ราคาลดลง คนได้ประโยชน์ แต่แบรนด์ได้อะไร?

แน่นอนว่าผู้บริโภคคือฝ่ายที่ได้ประโยชน์เต็มๆ จากสงครามนี้ ราคาเข้าถึงได้มากขึ้น มีทางเลือกหลากหลาย และได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น เพราะแบรนด์ต่างต้องแข่งขันกันในเรื่องคุณภาพและบริการควบคู่ไปด้วย

แต่ในอีกมุมหนึ่ง แบรนด์เองก็ได้อะไรหลายอย่างกลับมา

- MK กลับมาอยู่ในเรดาร์ของคนรุ่นใหม่

- ตี๋น้อยได้ย้ำจุดยืนเรื่อง “เข้าถึงง่าย” และ “ราคาเป็นมิตร” และได้แสดงความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนตัวเองไปตามตลาด

- ทั้งสองได้สร้างบทสนทนาในวงกว้าง ซึ่งยากจะเกิดจากแคมเปญการตลาดทั่วไป

เหตุการณ์ในรอบนี้ จึงเป็นตัวอย่างที่ดีว่า การลดราคาไม่ได้แปลว่าจะเสียอย่างเดียว เพราะเมื่อคนพูดถึงเยอะขึ้น ลูกค้าเข้าร้านมากขึ้น และอาจต่อยอดไปสู่ยอดขายเมนูอื่นๆ หรือสร้างประสบการณ์ที่ทำให้ลูกค้ากลับมาในระยะยาว

นี่อาจเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่า "การแข่งขัน" นำพาไปสู่การที่ทั้งตลาดได้รับประโยชน์ได้อย่างไร

เหมือนอย่างที่ Coke กับ Pepsi ทำโฆษณาจิกกัดกันอยู่บ่อยครั้ง จนผู้บริโภคนำไปพูดถึง จนกลายเป็นผู้นำตลาดอยู่เพียงสองเจ้า


🔴 แต่ถ้าเล่นราคาบ่อยไป อาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง

แม้ในระยะสั้นสงครามราคาจะช่วยดึงคนเข้าร้าน แต่หากเกิดบ่อยเกินไป ลูกค้าอาจเริ่ม "ชิน" กับราคาที่ต่ำและไม่ยอมจ่ายราคาเต็มอีกต่อไป นี่คือจุดที่นักการตลาดควรระวัง

หากแข่งขันกันด้วยราคาเพียงอย่างเดียว สุดท้ายทั้งตลาดอาจเจ็บตัว ทั้งในแง่ของกำไรต่อจานที่ลดลง ต้นทุนคุณภาพที่ต้องถูกบีบ รวมถึงความคาดหวังที่สูงขึ้นของผู้บริโภค โดยไม่เหลือพื้นที่ให้แบรนด์ทำกำไรเพื่อพัฒนาในระยะยาว

ซึ่งอาจจะไม่คุ้มกับมูลค่าสื่อที่ได้มา และการแข่งขันนี้จะโดนเปลี่ยนไปเป็นสงครามราคาที่ไม่มีใครอยากเล่นด้วย


สงครามราคา หรือ "Price War" คือสถานการณ์ที่คู่แข่งหลายรายพากันลดราคาสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อแย่งชิงลูกค้า

ปัญหาคือเมื่อเริ่มแล้ว มักจะหยุดยาก เพราะอีกฝ่ายก็ต้องลดตาม จนสุดท้ายไม่มีใครได้ประโยชน์

ตัวอย่างที่เห็นได้จากหลายอุตสาหกรรม เช่น

- สายการบินโลว์คอสต์

- ร้านกาแฟในทำเลแข่งขันสูง

- หรือแม้แต่แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ที่ต้องแจกส่วนลดเพื่อแย่งลูกค้า

ในที่สุด ถ้าทั้งตลาดยึดแนวทางลดราคาเป็นหลัก สิ่งที่หายไปอาจไม่ใช่แค่กำไร แต่รวมถึง "ความยั่งยืนของธุรกิจ" ด้วย

แม้ลูกค้าจะชอบโปรโมชั่น แต่ในระยะยาว คนพร้อมจ่ายมากขึ้นหากรู้สึกว่า ได้คุณภาพที่คุ้ม ได้บริการที่ดี หรือได้ประสบการณ์ที่แตกต่าง

แบรนด์ที่เข้าใจตรงนี้ มักจะไม่แข่งกันแค่ที่ “ราคา” ในระยะยาว แต่แข่งกันที่ “ความคุ้มค่า” และ “ความแตกต่าง”

เพราะไม่ว่าโปรโมชั่นจะน่าสนใจแค่ไหน แต่ถ้ารสชาติไม่ดี บริการไม่โอเค หรือไม่รู้สึกคุ้มกับเงินที่จ่ายไป ลูกค้าก็จะไม่กลับมาอีก


สงครามสุกี้ครั้งนี้อาจเป็นชัยชนะของทุกคน

แม้จะดูเหมือนเป็นการแข่งขันที่ดุเดือด แต่ถ้ามองในภาพใหญ่ นี่อาจเป็น “บทเรียนใหม่” ของตลาดร้านอาหารโดยรวม ที่แสดงให้เห็นความสำคัญของการแข่งขันที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคน

#สงครามสุกี้ #ตี๋น้อย

  เครือ MK ลุยตลาดบุฟเฟต์กลุ่มแมส ส่ง"โบนัส สุกี้"  ท้าชน ตี๋น้อย ลัคกี้ ราคาNet 276 บาท (บุฟเฟต์ 219 บาท+เครื่องดื่ม 39...
12/07/2025

เครือ MK ลุยตลาดบุฟเฟต์กลุ่มแมส ส่ง"โบนัส สุกี้" ท้าชน ตี๋น้อย ลัคกี้ ราคาNet 276 บาท (บุฟเฟต์ 219 บาท+เครื่องดื่ม 39 บาท +VAT 7%)

เปิดสาขาแรก โรบินสันไลฟ์สไตล์ สระบุรี 16 กรกฎาคม 2568 ​

โดยแบรนด์โบนัส สุกี้ เป็นแบรนด์ร้านอาหารภายใต้บริษัท คุ้มคุ้ม จำกัด ทุนจดทะเบียนในปัจจุบัน 200 ล้านบาท

ซึ่งบริษัท คุ้มคุ้ม จำกัด เป็นบริษัทลูกภายใต้ MK Group จัดตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2568

มีคณะกรรมการได้แก่
ฤทธิ์ ธีระโกเมน
สุดารัตน์ พัทธ์วิวัฒน์ศิริ
ทานตะวัน ธีระโกเมน
ธีร์ ธีระโกเมน

#สุกี้บุฟเฟต์

12/07/2025

ร้านกาแฟเปิดใหม่ครึ่งปีแรก จาก 7,000 ร้านเหลือ 5,000 ร้าน อัตราปิดตัวในปีแรก 43% ราคาต่ำกว่า 100 บาท ถึงจะขายดี

  🔴   การตลาด 101: Pricing Strategy เพราะราคาคือจุดตัดสินใจที่ทรงพลังที่สุดของผู้บริโภค🟥   ราคาคือมากกว่าตัวเลขบนป้ายสิน...
12/07/2025

🔴 การตลาด 101: Pricing Strategy เพราะราคาคือจุดตัดสินใจที่ทรงพลังที่สุดของผู้บริโภค
🟥 ราคาคือมากกว่าตัวเลขบนป้ายสินค้า

ในมุมของลูกค้า ราคาไม่ใช่แค่จำนวนเงินที่จ่ายออกไป แต่คือ “สิ่งที่ต้องแลก” เพื่อให้ได้ประโยชน์จากสินค้า เช่น ความสะดวก ความอร่อย หรือภาพลักษณ์บางอย่างที่มาพร้อมแบรนด์

ในทางการตลาด ราคาคือจุดเชื่อมระหว่างคุณค่าที่แบรนด์สร้าง กับรายได้ที่ธุรกิจจะได้รับ นักการตลาดที่เข้าใจเรื่องนี้ จะไม่ตั้งราคาแบบเดาสุ่ม แต่ตั้งบนฐานของความเข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง

🟥 กลยุทธ์การตั้งราคาหลัก 3 แบบ

การตั้งราคาที่ดี ต้องอยู่ระหว่าง “ต่ำเกินไปจนขาดทุน” กับ “สูงเกินไปจนไม่มีคนซื้อ” ซึ่งกลยุทธ์ที่นิยมใช้ แบ่งออกได้เป็น 3 แบบใหญ่ ๆ คือ

1.ตั้งราคาตามคุณค่าที่ลูกค้าเห็น (Customer Value–Based Pricing)

2.ตั้งราคาตามต้นทุน (Cost–Based Pricing)

3.ตั้งราคาตามคู่แข่ง (Competition–Based Pricing)

แต่ละแบบมีข้อดี ข้อเสีย และจุดเหมาะสมที่แตกต่างกันไปตามแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย

🟥 1.ตั้งราคาตามคุณค่าที่ลูกค้าเห็น (Customer Value–Based Pricing)

แนวคิดนี้เริ่มจากมุมมองลูกค้า ไม่ใช่ต้นทุนของธุรกิจ บริษัทจะกำหนดราคาตามสิ่งที่ลูกค้า “รู้สึกว่าสินค้านั้นคุ้มค่าแค่ไหน” แล้วออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์คุณค่านั้นให้ได้จริง

ร้านชานมไข่มุกที่ขายแก้วละ 150 บาท ต้องมีมากกว่าแค่รสชาติ เช่น ใช้วัตถุดิบออร์แกนิก แพ็กเกจจิ้งพรีเมียม หรือเป็นแบรนด์ที่อินกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

ลูกค้าจะไม่มองว่าราคาแพง ถ้าเขารู้สึกว่า “ได้รับมากกว่าเงินที่จ่าย”

ความท้าทายคือการวัด “คุณค่า”

การวัดความคุ้มค่าที่ลูกค้ารับรู้ เป็นเรื่องยากกว่าการคำนวณต้นทุน เช่น ร้านอาหาร fine dining อาจรู้ต้นทุนวัตถุดิบเป๊ะ แต่ไม่สามารถกำหนดราคาจากแค่กุ้งล็อบสเตอร์หรือเนื้อวากิว

เพราะสิ่งที่ลูกค้าซื้อ อาจเป็นประสบการณ์ ความผ่อนคลาย หรือความภูมิใจเวลาถ่ายรูปอาหารลงโซเชียล คุณค่าแบบนี้เปลี่ยนไปตามคนและบริบท

จึงไม่ควรเข้าใจผิดว่า “คุ้มค่า” แปลว่า “ต้องถูกเสมอ”

🟥 2.ตั้งราคาตามต้นทุน (Cost–Based Pricing)

แนวทางนี้เริ่มจากต้นทุนก่อน เช่น คิดราคาวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าเช่าสถานที่ แล้วบวกอัตรากำไรเข้าไป ราคาสุดท้ายจึงสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของการผลิต

ร้านอาหารที่ใช้วิธีนี้มักเน้นความแม่นยำ เช่น คาเฟ่ที่ชั่งน้ำหนักกาแฟต่อแก้ว หรือแบรนด์เครื่องสำอางที่ควบคุมต้นทุนบรรจุภัณฑ์แบบละเอียด

โมเดลนี้ใช้ได้ดีในธุรกิจที่ต้นทุนคงที่ และสามารถคาดการณ์ยอดขายได้ค่อนข้างแม่นยำ

จัดการ “ช่องว่างระหว่างต้นทุนกับราคา”

หัวใจสำคัญของกลยุทธ์นี้ ไม่ใช่แค่การบวกกำไรเข้าไปจากต้นทุน แต่คือการจัดการ “ส่วนต่าง” ระหว่างต้นทุนกับราคาขายให้คุ้มค่า

ถ้าลงทุนสูงเพราะเลือกใช้วัตถุดิบเกรดพรีเมียม ก็ต้องทำให้ลูกค้าเห็นว่าราคานั้นสมเหตุสมผล เช่น แบรนด์เครื่องสำอางออร์แกนิกที่ใช้วัตถุดิบธรรมชาติ แพ็กเกจจิ้งรักษ์โลก และสื่อสารจุดยืนชัดเจน

🟥 3.ตั้งราคาตามคู่แข่ง (Competition–Based Pricing)

กลยุทธ์นี้เริ่มจากการดูว่า “คนอื่นขายที่ราคาเท่าไร” แล้วนำมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เรามอบให้ลูกค้า หากสินค้าของเราคุ้มค่ากว่า ก็สามารถตั้งราคาสูงกว่าได้

ในธุรกิจแฟชั่น เช่น เสื้อผ้าสตรีทแบรนด์หลายเจ้าตั้งราคาจากภาพลักษณ์เมื่อเทียบกับแบรนด์เพื่อนบ้าน หากลูกค้าเห็นว่าคัตติ้งดีกว่า ผ้าเนื้อดีกว่า หรือดีไซน์ไม่โหล ก็พร้อมจ่ายแพงกว่าเล็กน้อย

ในทางกลับกัน ถ้ารู้ว่าคู่แข่งแข็งแกร่งมาก อาจเลือกข้ามตลาดหลัก แล้วไปหาตลาดเฉพาะที่ยังไม่มีใครบริการก็ได้

จุดสำคัญของการเทียบราคา

การตั้งราคาตามคู่แข่ง ไม่ใช่แค่ “ตั้งให้ถูกกว่า” หรือ “เลียนแบบราคา” แต่คือการดูว่าคุณค่าที่แบรนด์เรามอบให้นั้น อยู่ตรงไหนในใจลูกค้าเมื่อเทียบกับคนอื่น

ถ้าร้านกาแฟเจ้าใหม่อยู่ข้างแบรนด์ใหญ่ที่ขายแก้วละ 120 บาท แต่คุณภาพใกล้เคียง ก็อาจตั้งราคา 99 บาท เพื่อดึงดูดกลุ่มทดลองดื่มครั้งแรก หรือใช้โปรโมชั่นเข้าช่วยในช่วงเปิดตัว

ทางเลือกเสริม: ตั้งราคาแบบคุ้มค่า หรือเพิ่มคุณค่า

หลายแบรนด์นิยมใช้กลยุทธ์ “การตั้งราคาคุ้มค่า (Good-Value Pricing)” เช่น ออกไลน์สินค้าราคาย่อมเยาของแบรนด์เดิม หรือปรับสูตรผลิตภัณฑ์ให้ต้นทุนลดลง โดยไม่กระทบคุณภาพในสายตาลูกค้า

อีกทางหนึ่งคือ “การตั้งราคาแบบเพิ่มคุณค่า (Value-Added Pricing)” ที่เน้นการเพิ่มบริการเสริม เช่น แบรนด์เครื่องดื่มที่ให้บริการส่งถึงบ้าน หรือแบรนด์เสื้อผ้าที่มีระบบเปลี่ยนไซซ์ฟรีในครั้งแรก เพื่อให้ราคาที่สูงขึ้นดูคุ้มค่าในมุมลูกค้า

🟥 สุดท้าย ราคาคือกลยุทธ์ ไม่ใช่แค่ตัวเลข

นักการตลาดที่เก่งจะไม่ตั้งราคาด้วยความรู้สึก หรือเพื่อเอาชนะคู่แข่งเพียงอย่างเดียว แต่จะตั้งราคาอย่างมีกลยุทธ์ โดยคำนึงถึงสิ่งที่ลูกค้าให้คุณค่า และสิ่งที่ธุรกิจสามารถส่งมอบได้จริง

ราคาจึงไม่ใช่แค่ตัวเลขบนป้ายสินค้า แต่มันคือ “เครื่องยืนยัน” ว่าแบรนด์เข้าใจลูกค้าแค่ไหน และสามารถเปลี่ยนคุณค่าให้กลายเป็นรายได้ได้อย่างยั่งยืน

#กลยุทธ์ราคา

  🔴 ทฤษฎีกรกฎาคม เดือนที่คนมีอะไรให้คิดมากเป็นพิเศษ เดือนแห่งการทบทวน นั่งพัก หารือกับตัวเอพอเวลาล่วงผ่านครึ่งปี “กรกฎาค...
12/07/2025

🔴 ทฤษฎีกรกฎาคม เดือนที่คนมีอะไรให้คิดมากเป็นพิเศษ เดือนแห่งการทบทวน นั่งพัก หารือกับตัวเอ

พอเวลาล่วงผ่านครึ่งปี “กรกฎาคม” คือก้าวแรกของครึ่งปีหลัง สังเกตหรือไม่ว่าเรามักจะนั่งคิดทบทวนบางอย่างในชีวิตทุกช่วงเวลานี้ของปีเสมอ นั่งคิดทบทวนถึงสิ่งที่ตั้งใจไว้ว่าจะเปลี่ยนแปลงเสียดิบดี แต่สุดท้ายเมื่อเดือนมกราคมผ่านไป เมษายนผ่านไป มิถุนายนผ่านไป อะไรก็ยังดูไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง รู้ตัวอีกทีก็เสียเวลาไปครึ่งปีแล้ว

เดือนกรกฎาคม คือ ช่วงเวลาแห่งการทบทวนระหว่างสิ่งที่ผ่านไปแล้ว กับสิ่งที่ยังพอจะเป็นไปได้ก่อนถึงสิ้นปี

หากเทียบเป็นช่วงเวลา มันคือช่วงพักเที่ยงที่ดวงอาทิตย์กำลังสาดส่องสว่างที่สุด เป็นเวลาที่คนกำลังนั่งพัก จิบน้ำ ทานมื้อเที่ยง แล้วหวนนึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ มากเป็นพิเศษในช่วงเวลานี้

เกิดเป็น “ทฤษฎีกรกฎาคม” เดือนแห่งการรีเซ็ตชีวิต
บน YouTube หรือ TikTok ของช่องต่างประเทศ มีคนออกมากล่าวถึงทฤษฎีนี้มากมาย จนกลายเป็นหัวข้อที่คนออกมาแสดงความคิดเห็นกันเป็นวงกว้าง ไม่ต่างจากทฤษฎีตุลาคม หรือ October Theory

เพราะเดือนกรกฎาคมของทุกปีคือเดือนแห่งการรีเซ็ตตัวเอง เป็นเวลาที่จะได้มองย้อนกลับไปถึงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา แล้วมองต่อไปถึงครึ่งปีหลังที่ยังเหลืออยู่ แล้วเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีคิด รีสตาร์ทใหม่
แต่ก็อย่ามองถึงแต่สิ่งที่เราละเลยไป ให้มองสิ่งที่ได้ทำไปแล้วบ้าง ความเครียด ชัยชนะ อุปสรรค พลาดพลั้ง ทุกอย่างคือบทเรียน ซึ่งเรายังมีเวลาอีกหกเดือนสำหรับการเปลี่ยนแปลง แต่อันที่จริงยิ่งรอนานเท่าไหร่ การเปลี่ยนแปลงก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น เพราะนิสัยคือสิ่งที่ฝังรากลึก ยิ่งรอช้าเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งรู้สึกคุ้นชินและขี้เกียจจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเท่านั้น

หากแม้เรารู้สึกว่าที่ผ่านมาทำอะไรได้ไม่ดีสักอย่าง แต่จำไว้ว่าเราไม่สามารถสร้างนิสัยที่ดีขึ้นได้จากการเกลียดตัวเอง แต่ต้องสร้างขึ้นจากความตระหนักรู้ แล้วเมตตาตัวเอง นั่นถึงจะเป็นรากฐานของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
คำแนะนำสำหรับการเปลี่ยนแปลงตัวเองในเดือนกรกฎาคม
1. ตรวจสอบพลังงานที่เหลือในตัวคุณ
- ทบทวนนิสัยที่คุณต้องการรักษาไว้
- ยกเลิกภาระหน้าที่อันบั่นทอนไฟในตัวคุณ

2. ปรับปรุงรูปแบบการใช้ชีวิต
- ตัดนิสัยที่ไม่ส่งเสริมความกระตือรือร้นออกไป
- ลองตั้งคำถามกับตัวเอง เช่น กำลังฝืนทำสิ่งที่ไม่ใช่อยู่หรือเปล่า อยู่ถูกที่หรือไม่ มีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่หรือไม่
- เขียนโน้ตสิ่งที่ตั้งใจอยากจะให้เป็นแปะไว้ในที่ที่มองเห็นได้ชัด เช่น ฉันอยากใจดีกับตัวเองมากขึ้น, ฉันอยากออกกำลังกายมากขึ้น, ต้อง อย่าลืมวิ่งไล่ตามความฝัน, ฉันจะปฏิเสธให้มากขึ้น

3. ออกแบบกิจวัตรประจำวันใหม่
- ตื่นเช้าเร็วขึ้น 30 นาที เพื่อสัมผัสกับช่วงเวลาเงียบสงบของวัน มีเวลาอยู่กับตัวเอง ลดการฟุ้งซ่าน
- เพิ่มนิสัยที่ดีต่อสุขภาพหนึ่งอย่าง (ดื่มน้ำมากขึ้น เดิน 10 นาที งดการดูทีวีในตอนเช้า)
- เคลียร์โซเชียลมีเดีย อะไรที่ toxic ไม่จรรโลงใจก็ลบออกไป
อ่านหนังสือสักเล่มที่เก็บไว้นานหลายเดือน
- ลองทำอะไรสิ่งที่ไม่เคยทำ เช่น วาดภาพ ทำอาหาร ออกแบบ เขียนบล็อก หรือนั่งเงียบ ๆ ฟังเสียงนกร้องในยามเช้า
- ออกไปพบปะคนรอบข้าง โทรหาคนที่คิดถึง ทานมื้อค่ำกับครอบครัว

ต่อให้เกินมาครึ่งปีแล้วก็ยังถือเป็นการเริ่มต้นใหม่ได้ ยังไม่สายเกินไป ก้าวเล็กๆ ในเดือนกรกฎาคมอาจเท่ากับชัยชนะครั้งใหญ่ของปีก็ได้ เราผ่านมาได้ขนาดนี้แล้ว จากนี้ก็ไม่มีอะไรยาก

เพียงแค่ให้เวลาตัวเองได้ ‘หยุด’ นั่งตกผลึกกับชีวิตสักประเดี๋ยว เมื่อตั้งหลักได้จากนี้ทุกอย่างจะเข้าที่ แล้วเดินทางไปถึงธันวาคมได้อย่างราบลื่น

“เรายังมีเวลาเปลี่ยนแปลงอยู่นะ”

-
#ทฤษฎีกรกฎาคม

 🔴    ทำไม Glico ถึงใช้โลโก้เป็นนักวิ่งกำลังเข้าเส้นชัย ขนมสำหรับนักกีฬาหรือไงเรียกได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จักแบรนด์ขนมหวานจ...
12/07/2025

🔴 ทำไม Glico ถึงใช้โลโก้เป็นนักวิ่งกำลังเข้าเส้นชัย ขนมสำหรับนักกีฬาหรือไง
เรียกได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จักแบรนด์ขนมหวานจากอาณาจักรยักษ์ใหญ่อย่าง Glico (กูลิโกะ) เพราะแบรนด์นี้คือขนมที่สอดไส้ทั้งความหวานและกลยุทธ์อันแข็งแกร่ง ทำให้สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดจนมาถึงทุกวันนี้
จุดเริ่มต้นของ Glico เกิดขึ้นที่โอซาก้าในปี 1922 โดยชื่อแบรนด์มีที่มาจากคำว่า “glycogen” (ไกลโคเจน) ซึ่งเป็นสารอาหารที่ให้พลังงาน โดยได้แรงบันดาลใจจากสินค้าชิ้นแรกของบริษัท
นั่นคือ คาราเมลเสริมพลังงาน ที่ตั้งใจผลิตขึ้นเพื่อให้เด็ก ๆ มีแรงอ่านหนังสือ ด้วยเหตุนี้ เจตนารมณ์ในการทำให้ชีวิตดีขึ้นผ่านขนม จึงกลายเป็นแก่นหลักของแบรนด์มาจนถึงปัจจุบัน
แม้คนทั่วโลกจะรู้จัก Glico จาก Pocky (ป้อกกี้) ขนมแท่งเคลือบช็อกโกแลต รสสตรอว์เบอร์รี มัทฉะ และรสชาติอื่น ๆ อีกมากมาย
แต่จริง ๆ แล้ว Glico ยังมีสินค้าอีกหลายกลุ่ม เช่น Pretz ขนมแท่งรสเค็ม ไอศกรีม และขนมสำหรับเด็กอย่าง Bisco
นอกจากนี้ Glico ยังลงทุนในธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุ ภายใต้แนวคิด “Healthy Snacking”
ที่สำคัญ Glico ไม่ได้เร่งรีบขยายธุรกิจแบบหว่านแห แต่เลือกตลาดอย่างพิถีพิถัน และเข้าไปปรับตัวอย่างสร้างสรรค์ เช่น การออก Pocky รสชาไทยในตลาดเอเชีย
การสร้างแคมเปญ “Share happiness” ในยุโรป หรือแม้แต่การสร้างวัน “Pocky Day” (11.11) ที่กลายเป็นเทศกาลจริงในญี่ปุ่น
🟥 จุดเปลี่ยนของ Glico จากคาราเมลเสริมพลังงาน สู่ขนมที่ครองใจคนทั้งโลก
รู้หรือไม่ว่า Glico เริ่มต้นขึ้นในประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 1922 โดยชายชื่อ Riichi Ezaki (รีอิจิ เอซากิ) ซึ่งจุดเริ่มต้นของเขาไม่ใช่แค่การขายขนมหวาน แต่เกิดจากความตั้งใจที่จะส่งเสริมสุขภาพของเด็ก ๆ
หลังจากลูกชายของ Riichi ล้มป่วย เขาค้นพบว่าไกลโคเจน (glycogen) ซึ่งสกัดได้จากหอยนางรม มีคุณสมบัติในการให้พลังงานแก่ร่างกาย
เขาจึงพัฒนาขนมคาราเมลที่ผสมไกลโคเจนขึ้น เพื่อให้เด็ก ๆ ได้รับพลังงานในการเติบโตอย่างแข็งแรง
ขนมนี้ถูกตั้งชื่อว่า “Glico Caramel” และกลายเป็นผลิตภัณฑ์แรกของบริษัท Ezaki Glico Co., Ltd.
หลังจากบริษัทเปิดตัวไม่นาน Glico ก็ได้ออกแบบโลโก้ที่สะท้อนอัตลักษณ์แบรนด์อย่างชัดเจน
นั่นคือภาพ “เด็กชายวิ่งเข้าเส้นชัย” ซึ่งแสดงถึงพลังและความหวังที่แบรนด์ต้องการมอบให้กับเด็ก ๆ ตั้งแต่วันแรก
โลโก้นี้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ระดับประเทศของญี่ปุ่น
โดยเฉพาะภาพไฟนีออน “Glico Running Man” ใจกลางย่าน Dotonbori เมืองโอซาก้า ที่กลายเป็นแลนด์มาร์กถ่ายรูประดับโลกมาจนถึงทุกวันนี้
แม้ว่า Glico จะดูเหมือนเติบโตอย่างประสบความสำเร็จ แต่แท้จริงแล้ว แบรนด์ต้องเผชิญจุดเปลี่ยนสำคัญหลายครั้ง
หนึ่งในเหตุการณ์นั้นคือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อโรงงานของ Glico ถูกทำลายจากการทิ้งระเบิด ส่งผลให้บริษัทต้องเริ่มต้นใหม่แทบจากศูนย์หลังสงครามสิ้นสุด
แต่ด้วยความเชื่อมั่นในพันธกิจ “สนับสนุนชีวิตด้วยอาหาร” Glico จึงสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
ในช่วงนั้นเอง แบรนด์เริ่มขยายสายผลิตภัณฑ์จากคาราเมลไปสู่ขนมบิสกิต เค้ก และไอศกรีม
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สุดของ Glico คือการเปิดตัว Pocky ขนมแท่งเคลือบช็อกโกแลตในปี 1966 โดยเกิดจากไอเดียที่ต้องการให้กินช็อกโกแลตได้โดยไม่เลอะมือ
ทีมวิจัยจึงคิดค้นแท่งบิสกิตที่เคลือบช็อกโกแลต แต่เว้นปลายไว้ให้จับได้สะดวก ความเรียบง่ายแต่เฉียบคมนี้เอง ทำให้ Pocky กลายเป็นขนมขวัญใจคนทุกเพศทุกวัย ทั้งในญี่ปุ่นและในตลาดโลก

นอกจากนี้ Pocky ยังมีการพัฒนารสชาติให้สอดรับกับวัฒนธรรมของแต่ละประเทศทั่วโลก
ด้วยการออกรสชาติใหม่ ๆ อย่างชาเขียวมัทฉะ สตรอว์เบอร์รี ชาไทย หรือรสแปลกใหม่ตามไลฟ์สไตล์ เช่น “Pocky for Men” และ “Pocky midi” แบบพรีเมียม
ตั้งแต่ช่วงปี 1990 เป็นต้นมา Glico เริ่มขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง ไม่เพียงแต่นำสินค้าแบบญี่ปุ่นไปขาย แต่ยังลงทุนสร้างโรงงานในไทย อินโดนีเซีย และจีน
พร้อมทำวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคในแต่ละประเทศ เพื่อนำมาปรับสูตรและบรรจุภัณฑ์ให้สอดคล้องกับรสนิยมท้องถิ่น
ทั้งหมดนี้ทำให้ Pocky กลายเป็นหนึ่งในขนมญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จระดับโลก โดยยังคงเอกลักษณ์และเสน่ห์แบบญี่ปุ่นไว้อย่างชัดเจน
เมื่อญี่ปุ่นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ Glico ก็เห็นโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยขยายจากขนมสำหรับเด็กไปสู่ขนมและอาหารเพื่อสุขภาพของผู้สูงวัย
เช่น บิสกิตเนื้อนุ่มที่เคี้ยวง่าย อาหารเสริมโปรตีนสำหรับผู้มีปัญหาในการเคี้ยวหรือกลืน ไปจนถึงขนมที่มีไฟเบอร์และจุลินทรีย์เพื่อช่วยในระบบย่อยอาหาร
สิ่งนี้สะท้อนว่า Glico ไม่ได้หยุดอยู่แค่การทำขนมเพื่อความอร่อย แต่ยังคงยึดเป้าหมายหลักเรื่องการ “ส่งเสริมสุขภาพผ่านอาหาร” สำหรับคนทุกวัย
อีกหนึ่งสินค้าที่โดดเด่นคือ Pretz (เพรทซ์) ขนมแท่งกรอบที่คล้าย Pocky แต่ไม่มีการเคลือบช็อกโกแลต
โดยเน้นรสชาติคาวหรือรสอาหาร เช่น รสลาบ รสพิซซ่า และรสสาหร่าย ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในญี่ปุ่น ไทย และประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย
🟥 อีกหนึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ Glico ที่น่าสนใจ ได้แก่:
Caplico (แคปลิโกะ) — ขนมที่หน้าตาเหมือนไอศกรีมโคน แต่ไม่ต้องแช่เย็น ด้านบนเป็นโฟมช็อกโกแลตหรือสตรอว์เบอร์รี ส่วนล่างเป็นโคนกรอบ ดีไซน์น่ารัก รสสัมผัสนุ่มเบา ถูกใจทั้งเด็กและวัยรุ่น
Collon (คอลลอน) — เวเฟอร์ม้วนไส้ครีม กรอบนอกนุ่มใน มีหลากหลายรสชาติ เช่น คัสตาร์ด วานิลลา ชาเขียว ถือเป็นขนมคลาสสิกที่อยู่คู่ Glico มายาวนาน
Papico (ปาปิโกะ) — ไอศกรีมแบบดูดในซองพลาสติก จุดเด่นคือความเนียนนุ่มเหมือนไอศกรีมสด และพกพาสะดวก มีทั้งรสช็อกโกแลต กาแฟ และผลไม้ ได้รับความนิยมมากในกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน
Seventeen Ice — ไอศกรีมแท่งที่จำหน่ายเฉพาะในตู้กดอัตโนมัติทั่วญี่ปุ่น มีรสชาติหมุนเวียนตามฤดูกาล เป็นหนึ่งใน “คาแรกเตอร์ตู้กด” ที่สะท้อนวัฒนธรรมขนมญี่ปุ่นได้อย่างน่ารัก
SUNAO — กลุ่มขนมและไอศกรีมเพื่อสุขภาพ เน้นสูตร Low Carb / High Fiber เจาะตลาดผู้บริโภคสายเฮลท์ตี้ คุมน้ำหนัก หรือผู้ป่วยเบาหวาน ลดแป้ง น้ำตาล และไขมันลงอย่างเห็นได้ชัด โดยยังคงความอร่อย
Icreo Baby Formula — ผลิตภัณฑ์นมผงสำหรับทารกและเด็กเล็ก ใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง เป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมในญี่ปุ่น ด้วยมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวด
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า Glico ไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตขนม แต่เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำ วิถีชีวิต และความหวังในรูปของของหวาน แบรนด์นี้ถูกเชื่อมโยงเข้ากับวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง เช่น ป้ายไฟ “Glico Running Man” ที่ Dotonbori ซึ่งกลายเป็นไอคอนของชาติ
Glico จึงไม่ใช่แค่แบรนด์ขนมธรรมดา แต่เป็นการวิ่งระยะไกลที่ไม่หยุดพักเป็นพลังเงียบที่อยู่เคียงข้างผู้คนทุกช่วงวัย และเป็นตัวแทนของความอบอุ่นแบบญี่ปุ่นอย่างแท้จริง

  🔴   Mo-Mo-Paradise สู้ศึกตลาดชาบูสุกี้หม้อเดือด ตั้งรับแต่ไม่หยุดพัฒนา ย้ำจุดแข็งญี่ปุ่นแท้ เข้าเป้ารายได้ 2,000 ล้าน“...
12/07/2025

🔴 Mo-Mo-Paradise สู้ศึกตลาดชาบูสุกี้หม้อเดือด ตั้งรับแต่ไม่หยุดพัฒนา ย้ำจุดแข็งญี่ปุ่นแท้ เข้าเป้ารายได้ 2,000 ล้าน

“Mo-Mo-Paradise (โมโม พาราไดซ์)” แบรนด์เชนร้านชาบูสุกี้สไตล์ญี่ปุ่นแบบบุฟเฟ่ต์ ที่เข้ามาเปิดสาขาแรกในไทยที่เซ็นทรัลเวิลด์ในปี 2551 จากการมองเห็นช่องว่างของตลาด ซึ่งในตอนนั้น ยังมีชาบูสุกี้สไตล์ญี่ปุ่นแท้อยู่น้อย

ปัจจุบันผ่านมา 17 ปี Mo-Mo-Paradise คือแบรนด์ชาบูสุกี้ระดับแมส-พรีเมียมที่มีจุดขายคือรสชาติความเป็นญี่ปุ่นออริจินอล และบริหารวัตถุดิบด้วยการมีเมนูเพียงไม่กี่เมนูให้เลือก แต่เป็นเมนูที่มีคุณภาพ

ในงาน ‘เสิร์ฟแผนรอด: สูตรลับร้านอาหารไทยฝ่าวิกฤต’ จัดโดย บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี

คุณสุรเวช เตลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โนเบิล เรสเตอท์รองต์ จำกัด บริษัทบริหารแบรนด์แฟรนไชส์จากญี่ปุ่น Mo-Mo-Paradise ในไทย เปิดมุมมองการปรับตัวของแบรนด์ ท่ามกลางมูลค่าตลาดชาบูสุกี้ 25,000 ล้านบาท ที่กำลังแข่งขันดุเดือดไม่แพ้น้ำซุปในหม้อต้ม

คุณสุรเวช กล่าวว่า การดำเนินงานของ Mo-Mo-Paradise ช่วง 6 เดือนแรก (ม.ค. – มิ.ย.) ปี 2025 ยังคงการเติบโตในระดับเลขหลักเดียว สอดคล้องกับสถานการณ์ร้านอาหารในไทยที่อยู่ในความท้าทาย

จากประสบการณ์ที่บริษัทเคยผ่านวิกฤตโรคระบาด มองว่า ปีนี้ธุรกิจร้านอาหารเผชิญความท้าทายกว่ามาก เนื่องจากเป็นผลกระทบที่เข้ามาต่อเนื่อง เพราะผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายชัดเจน

บริษัทวางกลยุทธ์การดำเนินงานด้วยการสร้างรากฐานให้แข็งแกร่งในทุกสาขา ขยายกิจการอย่างรัดกุม พร้อมเงินทุนสำรอง และกระแสเงินสดที่เหมาะสม ซึ่งจะเป็นภูมิคุ้มกันให้บริษัทสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนได้ และยืนยันว่าปีนี้จะไม่มีการปรับขึ้นราคาในทุกแบรนด์

ปีนี้บริษัทจะยังไม่มีการเปิดสาขาใหม่ แต่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการข้อมูลผู้บริโภคในเครือ Mo-Mo-Paradise ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี อาทิ ระบบ POS, ERP, AI

แบรนด์อื่น ๆ ในพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งวางตำแหน่งให้เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้แบรนด์เรือธง Mo-Mo-Paradise ปัจจุบันมีอยู่ 3 แบรนด์ เริ่มจาก Nabezo Premium (นาเบโซ พรีเมียม) ร้านชาบูและสุกี้ยากี้ระดับพรีเมียม

อีกทั้ง 2 แบรนด์ต่างชาติที่บริษัทนำเข้ามาทำตลาดในไทยอย่าง Gyukatsu Kyoto Katsugyu (กิวคัตสึ เกียวโต คัตสึกิว) ร้านเนื้อทอดสไตล์ญี่ปุ่น และ Guljak Topokki & Chicken (กอลจัก ต๊อกบกกี ชิกเก้น) ร้านต๊อกบกกี และไก่ทอดเกาหลี

มุมมองสถานการณ์สงครามราคาในตลาดชาบูสุกี้ขณะนี้ บริษัทมองว่าจะดำเนินอยู่ไม่นาน เนื่องจากไม่ได้ตอบโจทย์โครงสร้างของแบรนด์ที่ทำกันในระยะยาว ทั้งการแข่งขันที่รุนแรง จึงเริ่มเห็นแบรนด์ที่สายป่านไม่ยาวพอ หรือแบรนด์เกิดใหม่เริ่มหายไปจากตลาดต่อเนื่อง

ส่วนของ Mo-Mo-Paradise ยืนยันว่าจะไม่มีการลงไปเล่นสงครามราคา เนื่องจากสเกลสาขาของแบรนด์ยังไม่ตอบโจทย์ และส่งผลกระทบต่อการสร้างแบรนด์

ขณะที่ Subscription model เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ยังอยู่ในการพิจารณา ตอนนี้บริษัทเน้นสร้างแบรนด์และการดึงดูดลูกค้าด้วยจุดขายชาบูสุกี้ที่มีรสชาติความเป็นญี่ปุ่น

บริษัทวางเป้ายอดขายทั้งปี 2025 อยู่ที่ราว 2,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ขับเคลื่อนผ่านการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม นำโดย Mo-Mo-Paradise ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 31 สาขา ส่วนอีก 3 แบรนด์ รวม 8 สาขา วางจะมีสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ราว 100 ล้านบาท

#ชาบูสุกี้

ที่อยู่

Thon Buri District

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Marketeer Onlineผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง Marketeer Online:

แชร์