สวท.ทุ่งสง FM 97

สวท.ทุ่งสง FM 97 สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย

สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช
สังกัดสำนักประชาสัมพันธ์เขต 5 กรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี

“ศุภจี” มอบ 7 นโยบายเร่งด่วน “Quick Big Win” แก้ปัญหาเศรษฐกิจ วางรากฐานการค้า–ส่งออก ดูแลเกษตรกร SME ใช้เทคโนโลยีเสริมศั...
02/10/2025

“ศุภจี” มอบ 7 นโยบายเร่งด่วน “Quick Big Win” แก้ปัญหาเศรษฐกิจ วางรากฐานการค้า–ส่งออก ดูแลเกษตรกร SME ใช้เทคโนโลยีเสริมศักยภาพเศรษฐกิจไทย

หลังการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนของประเทศ ได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ ด้านความมั่นคง ด้านสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการต้องวางรากฐานของประเทศ เพื่อคืนความเชื่อมั่นและความสุขให้กับประชาชน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ มุ่งสร้างรายได้ ลดรายจ่าย แก้หนี้ประชาชน เพิ่มสภาพคล่อง SMEs และแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสงครามการค้า ด้านนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เร่งขับเคลื่อน 7 นโยบายเร่งด่วน “Quick Big Win” ทันทีทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่
1. ภาษีสหรัฐฯ และการเจรจาการค้า
2. การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา
3. FTA และบุกตลาดใหม่
4. ดูแลค่าครองชีพประชาชน
5. รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร
6. เสริมแกร่งผู้ประกอบการ SMEs และเพิ่มมูลค่าสินค้าไทย
7. ปรับกฎระเบียบและใช้เทคโนโลยี
โดยเน้นย้ำว่า นโยบายนี้ไม่ใช่เพียง “Quick Win” แต่คือการวางรากฐานที่มั่นคง โปร่งใส และยั่งยืน เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและพี่น้องประชาชน

นายกรัฐมนตรี สนับสนุนกองทัพเต็มที่ ย้ำจุดยืนรักษาผลประโยชน์ประเทศเป็นหลัก  ในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกของรัฐบาลนายอนุ...
02/10/2025

นายกรัฐมนตรี สนับสนุนกองทัพเต็มที่ ย้ำจุดยืนรักษาผลประโยชน์ประเทศเป็นหลัก

ในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 ได้มีข้อสั่งการให้กระทรวงมหาดไทย ทบทวนหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการจ่าย และวงเงินช่วยเหลือ เยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพ นายอนุทิน ได้ให้คำยืนยันกับทุกคนในด้านการทหารและเหล่าทัพ รวมถึงตำรวจ ว่ารัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ และย้ำว่าจะยืนอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศไทยเป็นหลัก ส่วนประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission : JBC) ไทย-กัมพูชา ที่ใกล้จะหมดวาระจะมีการแต่งตั้งในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันที่ 2 ตุลาคม 2568 ขณะที่พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ระบุว่า ฝ่ายกัมพูชาพยายามเน้นการสื่อสารไปยังสังคมโลก เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของไทย จึงต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เข้าเงื่อนไขของกัมพูชา ซึ่งพลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้กำชับ พลโท วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1 และ พลโท วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ทางด้านนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้บรรยายสรุปแก่คณะทูตานุทูต เกี่ยวกับผลการเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 (United Nations General Assembly : UNGA) และสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยยืนยันว่าไทยตั้งใจแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาด้วยการยึดมั่นในแนวทางสันติภาพ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติ และยังคาดหวังความจริงใจในการแก้ปัญหาร่วมกันของกัมพูชา ซึ่งความจริงใจเท่านั้น
จะคลี่คลายสถานการณ์และก้าวข้ามความขัดแย้งได้

กองทัพบก รับมอบเงินและสิ่งของ ส่งกำลังใจให้ทหารที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา(30 ก.ย. 68) กองทัพบกดำเนินการร...
02/10/2025

กองทัพบก รับมอบเงินและสิ่งของ ส่งกำลังใจให้ทหารที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา

(30 ก.ย. 68) กองทัพบกดำเนินการรับมอบเงินและสิ่งของ เพื่อส่งกำลังใจให้ทหารที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จากเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนผู้มีจิตศรัทธา ร่วมแสดงความขอบคุณและเป็นกำลังใจให้ทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ โดยมี พลโท อานุภาพ ศิริมณฑล รองเสนาธิการทหารบก (5) พร้อมผู้แทนกองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้แทนของกองทัพบก ในการรับมอบเงินและสิ่งของ ณ ห้องรับรอง 211 กองบัญชาการกองทัพบก ดังนี้
1. กรมประมง นำโดย นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง และคณะ มอบอวนประมง ปลาหมอคางดำย่าง 100 กิโลกรัม ข้าวแต๋นปลาหมอคางดำ 1,000 ซอง ปลาหมอคางดำคั่วกลิ้ง 1,000 กระปุก และเจลลี่สาหร่าย 1,000 ซอง
2. คุณวนิชา ศรีสุข มอบเครื่องอุปโภค-บริโภค อาทิ กางเกงวอร์ม กางเกงขายาว เสื้อนักเรียน เสื้อเชิ้ตแขนยาว-สั้น กางเกงชั้นใน และกาแฟสำเร็จรูป เป็นต้น
3. กลุ่มบริษัท GRAB นำโดย คุณญานิชชณัฏฐ์ เฉลิมเตียรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานรัฐกิจสัมพันธ์ GRAB (ประเทศไทย) มอบเงิน จำนวน 1,000,000 บาท
ทั้งนี้ กองทัพบกจะดำเนินการนำเงินและสิ่งของให้กับกองทัพภาคที่ 2 เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้มอบ ถือเป็นพลังน้ำใจในความห่วงใยที่มีต่อทหารผู้กล้าให้พร้อมทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของประเทศชาติอย่างดีที่สุดต่อไป

📣 กรมการขนส่งทางบก เปิดรับคำขอจัดสรรเงินเป็นค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการอันเนื่องมาจากการประสบภัยที่เกิดจากการใช้รถใช้ถนน...
01/10/2025

📣 กรมการขนส่งทางบก เปิดรับคำขอจัดสรรเงินเป็นค่าอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการอันเนื่องมาจากการประสบภัยที่เกิดจากการใช้รถใช้ถนนประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 🚗
📅 เปิดรับคำขอ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2568 ถึงวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ.2568
▪ เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้พิการ อันเนื่องมาจากการประสบภัยที่เกิดจากการใช้รถใช้ถนน ในส่วนที่นอกเหนือจากค่าสินไหมทดแทน ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535
▪ สามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่ ลิงค์ดาวน์โหลดแบบฟอร์มเพื่อขอรับคำขอ
👉 https://drive.google.com/.../1eGeGTUdEY5hXV9oxiKg5ymOCeZG...

------------------------------
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานขนส่งจังหวัดพัทลุง โทร 074-840150
กรมการขนส่งทางบก โทร. 02-271-8888 ต่อ 2511-2512 หรือทางเว็ปไซด์ของกรมการขนส่งทางบก

“สิริพงศ์” เฉลย ครม.ขยายเวลาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีแดง และม่วง 20 บาท ตลอดสาย เหตุเก็บกวาดความไม่เรียบร้อยของรัฐบาลที่แล้ว...
01/10/2025

“สิริพงศ์” เฉลย ครม.ขยายเวลาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีแดง และม่วง 20 บาท ตลอดสาย เหตุเก็บกวาดความไม่เรียบร้อยของรัฐบาลที่แล้ว แล้วแต่ใครจะเคลม ชี้ “รัฐบาลอนุทิน” ไม่เอาประชาชน มาเป็นตัวประกัน ย้ำประโยชน์ของประชาชนต้องมาก่อนพรรคการเมือง

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ วานนี้ 30 กันยายน 2568 คณะรัฐมนตรี มีมติ ต่ออายุลดราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีแดง และสายสีม่วง เนื่องจากเดิม ที่มีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 มาปรับระยะเวลา จากมติ ครม. เก่า ซึ่งเดิมทีรถไฟฟ้า 2 สายนี้ จะเก็บค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย ไปจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 แต่เพราะมติ ครม. ฉบับดังกล่าว ได้ปรับเวลาลดลงมาเป็น 30 กันยายน 2568 จึงเป็นสาเหตุให้ ครม. ต้องออกมติขยายเวลา เนื่องจากเป็นความไม่เรียบร้อยของการทำงานในรัฐบาลที่แล้ว

ทั้งนี้อดีตรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม เคยประกาศแล้วว่าวันที่ 1 ตุลาคม 2568 รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เขาไม่สามารถทำได้ทัน เพราะติดข้อกฎหมาย ก็ควรจะมาแก้ให้เรียบร้อย รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล เห็นว่าหากรัฐบาลเพิกเฉย คนที่เสียประโยชน์ก็คือประชาชน จึงขยายระยะเวลาไปอีก 2 เดือน ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567 คือการไปยกเลิก มติ ครม. เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568

อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรี ยังมีความกังวลว่าการเก็บจะสะท้อนค่าใช้จ่ายที่แท้จริงหรือไม่ เพราะสิ่งที่รัฐบาลอยากจะทำให้เกิดขึ้น คือ 1. ประชาชนประหยัดค่าใช้จ่ายได้จริง 2. ค่าตั๋วโดยสารมีเสถียรภาพ คือต้องไม่เป็นภาระมากเกินไป และหากประชาขนได้ประโยชน์ นั่นคือสิ่งที่รัฐบาลต้องการเห็นมากที่สุด ดังนั้นนายกรัฐมนตรีจึงได้ให้แนวทางกับกระทรวงคมนาคม ไปศึกษาการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ไม่ใช้การตัดสินใจ เพราะใคร หรือ พรรคการเมือง หรือรัฐบาลใด แต่ตัดสินใจบนพื้นฐานของประโยชน์ของประชาขนเป็นหลัก ดังนั้นรัฐบาลต่างหากที่เข้ามาแก้ปัญหา มาเก็บกวาดความไม่เรียบร้อยของรัฐบาลที่แล้ว

ส่วนกรณีที่พรรคแกนนำตัดตั้งรัฐบาลเดิม ออกมาเคลมว่าเป็นผลงาน นายสิริพงศ์ ระบุว่า เข้าใจได้ เพราะเราทำ เขาก็เคลม เราไม่ทำเขาก็ตำหนิ แต่เราไม่สามารถเอาประชาชน มาเป็นตัวประกัน จะเคลมก็เคลมไป แต่ที่ท่านนายกรัฐมนตรี ตัดสินใจทำ เพราะเป็นห่วงประชาชน ประโยชน์ของประชาชนมาก่อนประโยชน์พรรคการเมือง ส่วนใครจะมีความสุขกับการเคลม ก็แล้วแต่

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ประกาศฉบับที่ 24/2568 เรื่อง เฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง****************************************...
01/10/2025

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ประกาศฉบับที่ 24/2568 เรื่อง เฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง
*******************************************************
ด้วยสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ติดตามสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยาจากกรมอุทกศาสตร์ โดยคาดหมายระดับน้ำบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้า และพื้นที่ใกล้เคียง ในระหว่างวันที่ 3 - 6 ตุลาคม 2568 เวลาประมาณ 16.00 - 18.00 น. เป็นช่วงที่ระดับน้ำทะเลหนุนสูง โดยคาดหมายระดับน้ำบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้า และพื้นที่ใกล้เคียงอาจมีความสูงประมาณ 1.70 – 1.90 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำวิกฤติประมาณ 0.20 เมตร เนื่องจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อน ในขณะที่ลมตะวันออกและลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนบางพื้นที่ ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำจะเพิ่มสูงขึ้น เกิดน้ำเอ่อล้นเข้าท่วม เนื่องจากน้ำทะเลหนุน บริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง รวมถึงชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำ และแนวเขื่อนชั่วคราวบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) บริเวณจังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม และสมุทรสงคราม นั้น

ในการนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โปรดดำเนินการ ดังนี้
1. ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ตรวจสอบความมั่นคงอาคารป้องกันริมแม่น้ำและเสริมคันบริเวณจุดเสี่ยงบริเวณที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลและแจ้งข้อมูลแก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมน้ำนอกแนวคันกั้นน้ำ แนวเขื่อนชั่วคราวในบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) และพื้นที่จุดเสี่ยงที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำตามริมแม่น้ำทราบล่วงหน้า
2. เตรียมเครื่องจักรเครื่องมือเพื่อบูรณาการความพร้อมให้ความช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนได้ทันที
3. ติดตามสถานการณ์น้ำทะเลหนุนในช่วงเวลาดังกล่าว พร้อมปรับแผนบริหารจัดการน้ำอ่างเก็บน้ำ เขื่อนระบายน้ำ และประตูระบายน้ำ เพื่อบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์

ประกาศ ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2568

“รมต.ภราดร” รุกหารือ สทนช. บริหารจัดการน้ำช่วงวิกฤตเตรียมรับมือฝนหนักโค้งสุดท้ายในช่วง 15 วันนี้ เร่งหาแนวทางเยียวยาผู้ป...
01/10/2025

“รมต.ภราดร” รุกหารือ สทนช. บริหารจัดการน้ำช่วงวิกฤต
เตรียมรับมือฝนหนักโค้งสุดท้ายในช่วง 15 วันนี้ เร่งหาแนวทางเยียวยาผู้ประสบภัย

“รมต.ภราดร” รับข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี รุดหารือผู้บริหาร สทนช. หลังหลายพื้นที่เผชิญอิทธิพลทางอ้อมของพายุหลายลูกอย่างต่อเนื่อง เน้นย้ำเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ฝนตกหนักในช่วงครึ่งแรกของเดือนตุลาคม และยืนยันเตรียมหาแนวทางชดเชยเยียวยาผู้ประสบภัยอย่างเหมาะสม

วันนี้ (1 ตุลาคม 2568) นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าพบคณะผู้บริหารสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำ โดยมีนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สทนช. และนายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการ สทนช. ให้การต้อนรับ พร้อมด้วยนางพัชรวีร์ สุวรรณิก รองเลขาธิการ สทนช.
นายไวฑิต โอชวิช ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์น้ำ รักษาราชการแทนรองเลขาธิการ สทนช. รวมทั้งผู้บริหารจากหน่วยงานในสังกัด สทนช. เข้าร่วม ณ อาคารจุฑามาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

นายภราดร เปิดเผยว่า ด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยต่อสถานการณ์น้ำของประเทศ ซึ่งขณะนี้
อยู่ในช่วงวิกฤติ เนื่องจากมีปริมาณฝนตกสะสมในลุ่มน้ำต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก จากอิทธิพลทางอ้อมของพายุหลายลูกติดต่อกัน ส่งผลให้หลายพื้นที่เกิดปัญหาอุทกภัยและดินโคลนถล่ม สร้างความเสียหายต่อพี่น้องประชาชน จึงได้มอบหมายให้มีการติดตามสถานการณ์ปัจจุบันอย่างเร่งด่วน พร้อมหารือร่วมกับ สทนช. เกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการน้ำในช่วงครึ่งแรกของเดือนตุลาคม เนื่องจาก
กรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) คาดการณ์ว่า จะมีฝนตกเพิ่มขึ้นอีกครั้งจากอิทธิพลของหย่อมความกดอากาศต่ำ รวมถึงขณะนี้เขื่อนขนาดใหญ่ในภาคเหนือ ได้แก่ เขื่อนสิริกิติ์และเขื่อนภูมิพล มีแนวโน้มปริมาณน้ำใกล้เต็มความจุแล้ว โดยเฉพาะเขื่อนสิริกิติ์ที่มีความเสี่ยงน้ำล้น จึงอาจต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำและส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายเขื่อน นอกจากนี้ มวลน้ำจากพื้นที่ตอนบนของประเทศจะไหลต่อเนื่องลงมาสมทบกับปริมาณน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ทำให้เขื่อนเจ้าพระยาต้องเพิ่มการระบายน้ำ และอาจส่งผลกระทบเพิ่มเติมต่อพื้นที่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ปทุมธานี และนนทบุรี จึงได้เน้นย้ำให้ สทนช. ประสานกรมชลประทานเพื่อบริหารจัดการน้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วง 15 วันนี้ โดยให้พิจารณาผันน้ำเข้าสู่ทุ่งที่เก็บเกี่ยวแล้วเสร็จ และต้องไม่กระทบต่อพื้นที่ชุมชน รวมถึงให้ติดตามข้อมูลคาดการณ์สภาพอากาศและปริมาณฝนที่จะตกเพิ่มในช่วงนี้ เพื่อประกอบการตัดสินใจบริหารจัดการน้ำทั้งในพื้นที่เหนือและใต้เขื่อนเจ้าพระยา ได้อย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพ เร่งระบายน้ำที่ท่วมขัง พร้อมทั้งปรับแผนการระบายน้ำของเขื่อนแต่ละแห่งให้สอดคล้องกัน เพื่อรักษาโครงสร้างเขื่อนให้มั่นคงแข็งแรง และลดผลกระทบให้เกิดแก่พี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่น้อยที่สุด

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ โดยกำชับให้มีการพิจารณาหลักเกณฑ์และมาตรการชดเชยเยียวยาที่เหมาะสม โดยยึดอัตราไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา คือ 9,000 บาทต่อครัวเรือน และจะมีการ
วางแนวทางช่วยเหลือเพิ่มเติมต่อไป ทั้งนี้ รัฐบาลขอให้พี่น้องประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด และขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนร่วมผ่านพ้นวิกฤตไปด้วยกัน

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
1 ตุลาคม 2568

“ศุภจี” มอบ 7 นโยบายพาณิชย์ ลุย“Quick Big Win” แก้ปัญหาเศรษฐกิจ วางรากฐานการค้า–ส่งออก ดูแลเกษตรกร SME พร้อมใช้เทคโนโลยี...
01/10/2025

“ศุภจี” มอบ 7 นโยบายพาณิชย์ ลุย“Quick Big Win” แก้ปัญหาเศรษฐกิจ วางรากฐานการค้า–ส่งออก ดูแลเกษตรกร SME พร้อมใช้เทคโนโลยีเสริมศักยภาพเศรษฐกิจไทย

วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ณ ห้องประชุมบุรฉัตรไชยากร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ และทูตพาณิชย์ประจำสถานทูตไทยในต่างประเทศ ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงพาณิชย์ในระยะสั้นและระยะยาว โดยได้มอบ 7 นโยบายสำคัญ ภายใต้แนวทาง “Quick Big Win” ที่มุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางเศรษฐกิจโดยเร็ว พร้อมสร้างรากฐานที่มั่นคงและยั่งยืน โดยย้ำว่า “การทำงานของกระทรวงต้องยึดหลัก ร่วมมือ–โปร่งใส–ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด”
นางศุภจี กล่าวว่า หลังจากรัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อสภาเมื่อวันที่ 29–30 กันยายนที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดแนวทางการทำงานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยมี 7 เรื่องหลักที่จะเร่งดำเนินการ ดังนี้
1. ภาษีสหรัฐฯ และการเจรจาการค้า
เร่งสรุป Agreement of Reciprocal Tax (ART) กับสหรัฐฯ ภายในเดือนธันวาคม 2568 โดยปรับปรุงกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) ให้เป็นระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ เพื่อป้องกันสินค้าสวมสิทธิ์และเพิ่มความโปร่งใส โดยปัจจุบันได้ผลชัดเจน เช่น จากที่เคยพบเอกสาร C/O ปลอมแปลงหลักร้อยกรณีต่อปี เหลือเพียง 5 กรณีในปี 2567 และไม่พบในปี 2568 นอกจากนี้ จะเร่งปรับปรุงกระบวนการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) ที่เคยใช้เวลา 12–18 เดือน เหลือเพียง 9 เดือน ด้วยการนำ AI มาช่วยตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูล ถือเป็น Quick Win ที่ช่วยผู้ประกอบการไทยโดยตรง
2. การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา
ช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการใน 7 จังหวัดชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไม่สงบ ทั้งการจัดมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ การสนับสนุนค่าขนส่งสินค้าฟรี 100 บาทต่อชิ้นร่วมกับไปรษณีย์ไทยเพื่อช่วยผู้ประกอบการรายย่อย การเพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ทดแทน และการเร่งหาตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยมอบหมายให้พาณิชย์จังหวัดประสานงานใกล้ชิดกับประชาชน
3. FTA และบุกตลาดใหม่
ไทยมี FTA 14 ฉบับกับ 18 ประเทศ ได้แก่ FTA ไทย–เอฟตา ให้มีผลบังคับใช้ภายในครึ่งแรกปี 2569 FTA ไทย–อียู ให้ได้ข้อสรุปสำคัญภายในไตรมาสแรกปี 2569 FTA ไทย–เกาหลีใต้ ให้เสร็จสิ้นภายในปี 2568 ขณะเดียวกันจะใช้เครือข่ายทูตพาณิชย์กว่า 50 แห่งทั่วโลก หาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง (ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์), แอฟริกาใต้ เอเชียใต้ (อินเดีย) และอาเซียน (เวียดนาม) โดยเน้นการจับคู่ผู้ซื้อ–ผู้ขาย และจัดกิจกรรมเจรจาการค้ารูปแบบใหม่
4. ดูแลค่าครองชีพประชาชน
เดินหน้าจัดมหกรรมธงฟ้า 1,300 ครั้งต่อปี ลดภาระประชาชนกว่า 5,000 ล้านบาทต่อปี พร้อมร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนกว่า 100 แห่งที่ลงนาม MOU กับกระทรวงพาณิชย์ ให้เปิดเผยราคายาก่อนชำระเงิน เพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการซื้อยาภายนอกโรงพยาบาล คาดว่าจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายกว่า 32,400 ล้านบาทต่อปี และทำให้โรงพยาบาลรัฐลดความแออัดลง โรงพยาบาลเอกชนก็จะมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น
5. รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร
โดยเฉพาะ ข้าว ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีผลผลิตกว่า 21.8 ล้านตัน และมีสต๊อกคงเหลือกว่า 3.5 ล้านตัน กระทรวงจะใช้มาตรการชะลอการขายด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การให้สหกรณ์เก็บสต๊อก การช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ครอบคลุมกว่า 4.6 ล้านครัวเรือน และเร่งการส่งออกทั้งแบบ จีทูจีกับจีน เพิ่มจาก 280,000 ตัน เป็น 500,000 ตัน และการเจรจา MOU กับญี่ปุ่นและสิงคโปร์ เพื่อรักษาโควตาข้าวไทย นอกจากนี้ยังเตรียมผลักดันการปรับตัวของเกษตรกรสู่การปลูกพืชคุณภาพสูง (เช่น GI และพืชที่ตลาดต้องการ) เพื่อลดความเสี่ยงจากการแข่งขันโลกและสภาพภูมิอากาศ
6. เสริมแกร่งผู้ประกอบการ SMEs และเพิ่มมูลค่าสินค้าไทย
สนับสนุนการเข้าถึงตลาดใหม่ (เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา) พัฒนาศักยภาพด้วยเทคโนโลยี สนับสนุนสินเชื่อ การใช้เครื่องหมายรับรองคุณภาพ เช่น Thailand Trust Mark และ Thai SELECT รวมทั้งพัฒนาแพลตฟอร์ม “MOC+” เพื่ออำนวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาให้ SMEs เข้าถึงการสนับสนุนของภาครัฐได้ง่ายขึ้น
7. ปรับกฎระเบียบและใช้เทคโนโลยี
เร่งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจ รวมถึงการนำ AI มาช่วยวิเคราะห์อุปสงค์–อุปทานของสินค้า เพื่อให้มาตรการทางการค้าทันต่อสถานการณ์ และขยายช่องทาง e-Commerce สำหรับสินค้าท้องถิ่นเข้าสู่ตลาดสากล
“กระทรวงพาณิชย์อายุ 105 ปีแล้ว และจะอยู่คู่ประเทศไทยต่อไปอีกยาวนาน สิ่งที่ดิฉันและทุกท่านร่วมกันขับเคลื่อนในวันนี้ ไม่ใช่เพียง Quick Win แต่คือการวางรากฐานที่มั่นคง โปร่งใส และยั่งยืน เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและพี่น้องประชาชน” นางศุภจี กล่าว

นายกฯ ห่วงใย ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมภาคเหนืออย่างใกล้ชิด พร้อมขอให้เร่งสำรวจและเยียวยาประชาชนอย่างเต็มที่และรวดเร็วนายสิร...
01/10/2025

นายกฯ ห่วงใย ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมภาคเหนืออย่างใกล้ชิด พร้อมขอให้เร่งสำรวจและเยียวยาประชาชนอย่างเต็มที่และรวดเร็ว

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ห่วงใยและได้ติดตามสถานการณ์น้ำในหลายพื้นที่ของประเทศไทยอย่างใกล้ชิด โดยให้จังหวัดในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์อุทกภัย ทั้งก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ และเร่งสำรวจ ช่วยเหลือและดูแลประชาชน

“นายกฯ ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด สั่งการหากต้องการความช่วยเหลือสามารถรายงานตรงกับอธิบดี ปภ. ได้เลย ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารการแจ้งเตือนได้ทางช่องทางของ ปภ. และหากสถานการณ์มีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อประชาชน จะส่งแจ้งเตือนผ่าน Cell Broadcast และสามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ทางไลน์ “ปภ. รับแจ้งเหตุ” และสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง”

ซึ่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้รายงานว่า อิทธิพลของพายุ “บัวลอย” ได้ส่งผลกระทบกับหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย. 68 – ปัจจุบัน เกิดสถานการณ์น้ำป่าไหลหลากและดินสไลด์ในพื้นที่ 14 จังหวัด ในพื้นที่ 31 อำเภอ 85 ตำบล 352 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบรวม 5,484 ครัวเรือน 18,647 คน มีผู้เสียชีวิต 1 ราย ซึ่งปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ต.ค. 68 เวลา 06.00 น.) โดยปัจจุบันมี 10 จังหวัดที่ยังได้รับผลกระทบ ได้แก่ แม่ฮ่องสอน พิษณุโลก อุตรดิตถ์ เลย หนองบัวลำภู ขอนแก่น มหาสารคาม สุรินทร์ นครราชสีมา และปราจีนบุรี มีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 17 อำเภอ 54 ตำบล 207 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับผลกระทบ 4,207 ครัวเรือน 15,563 คน โดยศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตยังคงส่งเครื่องจักรกลสาธารณภัยลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนต่อเนื่อง ย้ำหน่วยงานบริหารจัดการสาธารณภัยและการใช้ทรัพยากรโดยใช้กลไกศูนย์ปฏิบัติการในภาวะฉุกเฉิน (Emergency Operation Center: EOC) และยึดหลักความปลอดภัยของประชาชนและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ อิทธิพลของพายุ “บัวลอย” ส่งผลให้ยังคงมีสถานการณ์ฝนตกหนัก เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในหลายพื้นที่ โดยกรมอุตุนิยมวิทยายังคาดการณ์ว่า หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศฟิลิปปินส์ อาจจะส่งผลให้มีฝนตกเพิ่มขึ้นในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ช่วงประมาณวันที่ 5 ตุลาคมนี้

“ขอให้ทุกจังหวัดได้เตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ ทั้งการเตรียมทรัพยากรในการป้องกัน เตรียมพื้นที่อพยพประชาชน พร้อมจะต้องเร่งสำรวจเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยต้องใช้ทุกกลไกร่วมกันรับมือช่วยดูแลพี่น้องประชาชน ซึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ ต้องประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรับรู้รับทราบผ่านทุกช่องทาง ให้สามารถเตรียมรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงทีด้วย” นายสิริพงศ์กล่าว

“พิพัฒน์” เดินหน้าเต็มกำลังขับเคลื่อนคมนาคม เพื่อประชาชนให้เดินทางสะดวก ปลอดภัย ลดภาระค่าใช้จ่ายเพื่อการยกระดับคุณภาพชีว...
01/10/2025

“พิพัฒน์” เดินหน้าเต็มกำลังขับเคลื่อนคมนาคม เพื่อประชาชนให้เดินทางสะดวก ปลอดภัย ลดภาระค่าใช้จ่ายเพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับพี่น้องประชาชน – ขยายรถไฟฟ้า 20 บาท และ เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ทั่วประเทศ

วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ที่ กระทรวงคมนาคม นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบนโยบายและทิศทางการทำงานของกระทรวงคมนาคม ภายใต้นโยบายรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางโดยมุ่งเน้นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีของพี่น้องประชาชน และ การยกระดับการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก เพื่อการเติบโตของเศษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “เดินทางสะดวก ปลอดภัย ลดภาระประชาชน วางโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สู่ศูนย์กลางคมนาคมของภูมิภาค”เดินทางสะดวก ปลอดภัย ลดภาระประชาชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สู่ศูนย์กลางคมนาคมของภูมิภาค

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า รัฐบาลได้กำหนดนโยบายด้านคมนาคมขนส่งและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้ง “ทางบก ทางราง ทางน้ำ และ ทางอากาศ” โดยแบ่งแผนในการดำเนินการออกเป็น 3 ส่วน สำคัญ ดังนี้

ส่วนที่ 1 : การแก้ปัญหาเร่งด่วนเพื่อลดภาระประชาชน
โดยสิ่งแรกที่กระทรวงคมนาคมจะเร่งดำเนินการ คือ มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนทันที โดยการขยายมาตรการรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ทั้งสายสีแดงและสายสีม่วง ไปจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 ควบคู่กับการเข้มงวดในการตรวจสอบความปลอดภัยในทุกโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ในทุกโครงการเพื่อสร้างความปลอดภัยอันสูงสุดต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน พร้อมยกระดับคุณภาพการบริการระบบคมนาคมทั้งระบบทั้ง “ทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ” ให้เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ และจากสถานการณ์ปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัด กระทรวงคมนาคม ได้มอบหมาย การกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท และ กรมเจ้าท่า เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขัง พร้อมเปิดเส้นทางและ กำจัดสิ่งกีดขวาง เพื่อการอำนวยความสะดวกต่อพี่น้องประชาชน

ส่วนที่ 2 : การเร่งดำเนินโครงการโดยทันที
กระทรวงคมนาคมจะเดินหน้าเชิงรุกและผลักดันโครงการสำคัญ เพื่อการการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับประชาชนให้เห็นผลเป็นรูปธรรมภายในปี 2569 โดย นายพิพัฒน์ระบุว่า ผมได้มอบหมายกรมทางหลวงในการเปิดใช้ถนนพระราม 2 โดยกำหนดเปิดเป็น 2 ช่วง คือ ระยะที่ 1 ทางต่างระดับบางขุนเทียน–เอกชัย เป็นระยะทาง 8.3 กิโลเมตร ภายในเดินตุลาคม 2568 และ ระยะที่ 2 เอกชัย ไปถึงบ้านแพ้ว ระยะทางรวม 16.3 กิโลเมตร โดยเร่งการเปิดใช้บริการให้ทันก่อนเทศกาลสงกรานต์ ปี 2569

และเส้นทางเอกชัย–บ้านแพ้วก่อนสงกรานต์ 2569 เปิดใช้มอเตอร์เวย์สาย M81 (บางใหญ่–กาญจนบุรี) ในเดือนตุลาคม 2568 และ สาย M6 (บางปะอิน–โคราช) ต้นปี 2569รวมถึงการเปิดสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 5 ที่จังหวัดบึงกาฬ–บอลิคำไซ นอกจากนี้ยังผลักดันรถไฟทางคู่ 3 เส้นทาง ได้แก่ ชุมพร–สุราษฎร์ธานี สุราษฎร์ธานี–หาดใหญ่ และหาดใหญ่–ปาดังเบซาร์ พร้อมเดินหน้าแก้ปัญหาจราจรติดขัดในจังหวัดภูเก็ตด้วยโครงการทางพิเศษกะทู้–ป่าตอง และถนนแนวใหม่บ้านเมืองใหม่–สนามบินภูเก็ต อีกทั้งยังส่งเสริมในการนำรถเมล์ไฟฟ้า (EV Bus) มาใช้เพื่อทดแทนรถร้อน ซึ่งนำมาสู่การยกระดับการบริการและลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม

ส่วนที่ 3 : การวางรากฐานคมนาคมสำหรับอนาคต
ในระยะยาว กระทรวงคมนาคมจะเดินหน้าปรับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อรองรับอนาคต โดยมีโครงการสำคัญ เช่น โครงการ LANDBRIDGE ที่จะเชื่อมการคมนาคมทางราง ถนน ท่อ และ ท่าเรือ เพื่อยกระดับไทยสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค ตลอดจนการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ อาทิ ขอนแก่น–หนองคาย บ้านไผ่–มุกดาหาร–นครพนม และเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ รวมถึง รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ–โคราช ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะเดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและสีม่วง พร้อมเร่งรัดการต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีแดงทั้งฝั่งเหนือและตะวันตก ขณะเดียวกันจะเพิ่มศักยภาพสนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง และเชียงใหม่ เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารและการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างสะพานเชื่อมเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ และสะพานเชื่อมทะเลสาบสงขลา เพื่อลดเวลาการเดินทางระหว่างจังหวัด นอกจากนี้จะมีการปรับปรุงกฎหมายด้านคมนาคมให้ทันสมัย รองรับเทคโนโลยีและบริการรูปแบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น

นายพิพัฒน์ ย้ำว่า “นโยบายคมนาคมในยุครัฐบาลนี้ จะเป็นการพัฒนาระบบคมนาคมเพื่อการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับพี่น้องประชาชน และ ยกระดับการแข่งขันของประเทศไทยในเวทีโลก เพื่อการเติบโตของเศษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืน

ด้าน นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า พวกเราพร้อมทำงานอย่างใกล้ชิดกับทุกฝ่ายเพื่อขับเคลื่อนนโยบายด้านคมนาคมของรัฐบาลให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมในระยะเวลาที่รวดเร็วที่สุด พร้อมเร่งในการดำเนินการยกระดับงานด้านคมนาคมของประเทศไทยเพื่อให้เกิดประโยชน์อันสูงสุดต่อพี่น้องประชาชน พร้อมย้ำว่า “ทุกโครงการที่ดำเนินการ จะต้องทำได้จริง และ พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์จริง”

ปภ. วางแผนบริหารจัดการทรัพยากรสนับสนุนพื้นที่ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝนยันความพร้อม ปภ. ทำงาน “รวดเร็ว เป็นระบบ” เพื่อความป...
01/10/2025

ปภ. วางแผนบริหารจัดการทรัพยากรสนับสนุนพื้นที่ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน
ยันความพร้อม ปภ. ทำงาน “รวดเร็ว เป็นระบบ” เพื่อความปลอดภัยของประชาชน

วันนี้ (1 ต.ค. 68) เวลา 08.40 น. ณ ห้องกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารภัยประชุมศูนย์บริหารจัดการทรัพยากร ภายใต้กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) โดยมีนายเชษฐา โมสิกรัตน์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นประธานติดตามสถานการณ์และวางแผนการสนับสนุนทรัพยากรเครื่องจักรกลสาธารณภัยในพื้นที่ประสบอุทกภัยเพื่อช่วยเหลือประชาชน โดยมีหน่วยงานส่วนกลาง ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในพื้นที่ที่มีสถานการณ์อุทกภัยร่วมประชุมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า ระยะนี้ที่ประเทศไทยประสบปัญหาอุทกภัยอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ทั้งผลกระทบจากพายุ “บัวลอย” และยังคงมีเหตุอุทกภัยจากน้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำล้นตลิ่ง ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในหลายจังหวัด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้ส่งเครื่องจักรกลสาธารณภัยและเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติไปช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่ โดยในวันนี้ ปภ. ได้ประชุมศูนย์บริหารจัดการทรัพยากรของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยและวางแผนการสนับสนุนทรัพยากรเครื่องจักรกลสาธารณภัย โดยเน้นย้ำว่า ปภ. ต้องทำงานด้วยความรวดเร็ว โดยเฉพาะการสนับสนุนเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าไปช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัย ต้องมีการติดตามสถานะทรัพยากรให้เชื่อมโยงกับข้อมูลในระดับพื้นที่ ทั้งข้อมูลเครื่องจักรกลฯ ที่พร้อมออกสนับสนุนการปฏิบัติงานข้อมูลเครื่องจักรกลฯ ที่อยู่ระหว่างการปฏิบัติงาน และอยู่ระหว่างการซ่อมบำรุง รวมถึงเครื่องจักรกลฯ ที่ต้องเคลื่อนย้ายไปสนับสนุนพื้นที่อื่น ซึ่งจะต้องติดตามและวางแผนบริหารจัดการให้เป็นระบบ เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนมีความรวดเร็ว และส่งทรัพยากรได้ตรงกับความต้องการและประเภทการใช้งานของพื้นที่ ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเสียหายได้มากขึ้น

“หัวใจสำคัญของการทำงานของ ปภ. ต้องยึดความปลอดภัยของประชาชนเป็นสำคัญ โดยต้องบริหารจัดการให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์และความเร่งด่วนของเหตุการณ์ หน่วยงานส่วนกลางและศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตต้องประสานการปฏิบัติการอย่างเชื่อมโยงกัน และการรายงานผลการปฏิบัติงานให้ส่วนกลางทราบ เพื่อที่จะได้วางแผน อำนวยการ ประสานการปฏิบัติ และสนับสนุนทรัพยากรให้กับพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ส่วนสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ต้องบริหารจัดการในภาวะฉุกเฉินภายใต้กลไกของศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด และสร้างรับรู้ให้กับประชาชนโดยเฉพาะการแจ้งเตือนภัยที่ต้องสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนรู้วิธีปฏิบัติตนอย่างปลอดภัยในช่วงที่มีสถานการณ์ฉุกเฉิน นอกจากนี้ หากมีการแจ้งเตือนภัยและสั่งให้มีการอพยพประชาชน ให้หน่วยงาน ปภ. ในพื้นที่สนับสนุนการอพยพในทันที เพื่อจุดหมายในการทำงานที่จะดูแลความปลอดภัยของประชาชน” นายเชษฐา อธิบดี ปภ. กล่าว

PM Directs Cabinet to Prioritize Flood Relief and Border Securityนายกฯ สั่งการช่วยเหลือประชาชนในเขตพื้นที่รับน้ำ ทบทวนหล...
01/10/2025

PM Directs Cabinet to Prioritize Flood Relief and Border Security

นายกฯ สั่งการช่วยเหลือประชาชนในเขตพื้นที่รับน้ำ ทบทวนหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการจ่าย และวงเงินช่วยเหลือ ผู้ได้รับผลกระทบสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1199938598836935&set=a.591685012995633

https://www.instagram.com/p/DPQPcUoj59P/

https://x.com/NBTWORLDNews/status/1973248861826424995

ที่อยู่

Thung Song
80110

เบอร์โทรศัพท์

075302024

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ สวท.ทุ่งสง FM 97ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

ติดต่อ ธุรกิจของเรา

ส่งข้อความของคุณถึง สวท.ทุ่งสง FM 97:

แชร์