Andamantime News - อันดามันไทม์

Andamantime News - อันดามันไทม์ 'อันดามัน ไทม์' เริ่มก่อตั้งครั้งแรก ขึ้นเมื่อ 15 กรกฏาคม พ.ศ. 2547

Andaman Time. แฟนเพจอย่างเป็นทางการของ อันดามัน ไทม์ : ช่องทางข่าวสารของคนเมืองตรัง

นำเสนอข่าวสาร อาชญากรรม อุบัติเหตุ เตือนภัย ปัญหาทุจริต คอรัปชั่น รีวิว ฯลฯ และสาระประโยชน์

แจ้งข่าว-ร้องเรียน-ติดต่อโฆษณา-ประชาสัมพันธ์ โทร. 093-196-4928

News Update : ตรังแถลงข่าวจัดงานประเพณีถือศีลกินผัก ประจำปี 2568 “ศรัทธาชาวตรัง สืบสานมหาบุญแห่งประเพณีเก่าแก่คู่เมืองตร...
09/10/2025

News Update : ตรังแถลงข่าวจัดงานประเพณีถือศีลกินผัก ประจำปี 2568 “ศรัทธาชาวตรัง สืบสานมหาบุญแห่งประเพณีเก่าแก่คู่เมืองตรัง”
#กองบรรณาธิการอันดามันไทม์
วันที่ 9 ตุลาคม 2568 ที่บริเวณหอนาฬิกา อำเภอเมืองตรัง นายทรงกลด สว่างวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เป็นประธานในการแถลงข่าวการจัดงาน “ประเพณีถือศีลกินผักจังหวัดตรัง ประจำปี 2568” โดยมีนายแพทย์รักษ์ บุญเจริญ นายกเทศมนตรีนครตรัง และนางอิงอร คงชู ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานตรัง ร่วมแถลงข่าว ท่ามกลางผู้ร่วมงานจากภาคราชการ ผู้นำชุมชน สื่อมวลชน และประชาชนจำนวนมาก

นายทรงกลด สว่างวงศ์ เปิดเผยว่า ประเพณีถือศีลกินผัก หรือเทศกาลกินเจจังหวัดตรัง ถือเป็นประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดกันมากว่า 150 ปีในกลุ่มชาวไทยเชื้อสายจีนในพื้นที่ โดยเป็นประเพณีที่สะท้อนถึงความศรัทธา ความเมตตา และความสามัคคีของคนในชุมชน ซึ่งในปีนี้กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 - 29 ตุลาคม 2568 ณ ศาลเจ้าต่าง ๆ ทั่วจังหวัด

กิจกรรมสำคัญในเทศกาลปีนี้ประกอบด้วย ขบวนแห่พระออกโปรดสาธุชน, พิธีหามเกี้ยวพระข้ามแม่น้ำตรัง, พิธีลุยไฟ, และ พิธีข้ามสะพานสะเดาะเคราะห์ ซึ่งล้วนเป็นอัตลักษณ์สำคัญของประเพณีถือศีลกินผักในจังหวัดตรัง ทั้งยังเป็นการส่งเสริมและสืบทอดขนบธรรมเนียมที่ทรงคุณค่าทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรม พร้อมเชิญชวนนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปร่วมแต่งกายชุดขาวและเข้าร่วมพิธีกรรมอย่างพร้อมเพรียง

ด้าน นายแพทย์รักษ์ บุญเจริญ นายกเทศมนตรีนครตรัง กล่าวเพิ่มเติมว่า เทศบาลนครตรังได้จัดกิจกรรมภายใต้แนวคิด "นครตรัง สืบสานศรัทธา มหาบุญ" ระหว่างวันที่ 22 - 24 ตุลาคม 2568 ณ ลานจัตุรัสนครตรัง เพื่อสนับสนุนและทำนุบำรุงประเพณีท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

กิจกรรมในช่วงเวลาดังกล่าว ได้แก่

วันที่ 22 ตุลาคม: พิธีเปิดงานและกิจกรรม "999 พลังศรัทธา" ซึ่งเป็นการเดินเวียนเทียนโดยความร่วมมือจากศาลเจ้าทั้ง 9 แห่ง กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) นักเรียน และประชาชนผู้มีจิตศรัทธา

วันที่ 23-24 ตุลาคม: การแสดงสิงโต-มังกรจากคณะเกาฟงไทย และกิจกรรมจุดประทัดจำนวน 5,000,000 นัด บริเวณหอนาฬิกา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก นายบุ๋นเล้ง โล่สถาพรพิพิธ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง

นอกจากนี้ เทศบาลนครตรังยังได้เตรียมกิจกรรมเสริมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และสร้างสีสันให้กับเทศกาล ได้แก่

การแสดงแสงสี “Beam Spot Wash” บริเวณหอนาฬิกาในธีมประเพณีกินเจ ระหว่างวันที่ 22-29 ตุลาคม เวลา 19.00-22.00 น.

นิทรรศการภาพถ่าย “สีสันศรัทธาผ่านเลนส์”

นิทรรศการ “เจโภชนาการ”

และการจัดแสดง “รถนิทรรศการเคลื่อนที่” ถ่ายทอดเรื่องราวและประวัติความเป็นมาของประเพณีถือศีลกินผักเมืองตรัง ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้เรียนรู้อย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ เทศบาลนครตรังร่วมกับทุกภาคส่วนได้เตรียมความพร้อมในการจัดงานอย่างเต็มที่ เพื่อสืบสานประเพณีถือศีลกินผักให้คงอยู่คู่เมืองตรัง และพร้อมเป็นเจ้าบ้านที่ดีในการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศ

เทศบาลนครตรังขอเชิญชวนประชาชนทุกเพศทุกวัยร่วมแต่งชุดขาว ละเว้นอบายมุข บำเพ็ญบุญ และร่วมพิธีกรรมต่าง ๆ ตลอดช่วงวันที่ 20 - 29 ตุลาคม 2568 ในงาน "นครตรัง สืบสานศรัทธา มหาบุญ ประเพณีถือศีลกินผักจังหวัดตรัง 2568" เพื่อร่วมส่งต่อพลังแห่งศรัทธาและวัฒนธรรมอันลึกซึ้งของชาวตรังให้คงอยู่สืบไป

"ท่ามกลางแดดจ้า สลับฝนโปรย — หน้าที่ไม่เคยหยุด"เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรและเจ้าหน้าที่ อปพร. กำลังปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะด...
08/10/2025

"ท่ามกลางแดดจ้า สลับฝนโปรย — หน้าที่ไม่เคยหยุด"

เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรและเจ้าหน้าที่ อปพร. กำลังปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ใช้เส้นทางจราจรอย่างแน่นหนาในช่วงที่มีขบวนเรือพระวิ่งผ่าน เส้นทางจึงติดขัดมากกว่าปกติ

แม้อากาศจะร้อนอบอ้าว สลับกับฝนที่ตกลงมาเป็นระยะ เจ้าหน้าที่ทุกนายยังคงยืนประจำจุด ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ

บางนายต้องอาศัยช่วงเวลาสั้น ๆ ยืนกินข้าวกลางถนน เพราะไม่อาจละจากหน้าที่ได้

สะท้อนถึงความเสียสละและความตั้งใจในการดูแลประชาชนให้เดินทางได้อย่างปลอดภัยที่สุดในทุกสถานการณ์

#กองบรรณาธิการอันดามันไทม์

News Update : ตรังคึกคัก “งานลากพระ” ประจำปี 2568 ขบวนเรือพระกว่า 80 ลำ สะท้อนพลังศรัทธาและวัฒนธรรมใต้ #กองบรรณาธิการอัน...
08/10/2025

News Update : ตรังคึกคัก “งานลากพระ” ประจำปี 2568 ขบวนเรือพระกว่า 80 ลำ สะท้อนพลังศรัทธาและวัฒนธรรมใต้
#กองบรรณาธิการอันดามันไทม์
วันที่ 8 ตุลาคม 2568 จังหวัดตรังเริ่มต้น “ประเพณีลากพระ” อย่างคึกคัก ประชาชนจากทุกมุมของจังหวัดร่วมขบวนลากเรือพระจากวัดและสำนักสงฆ์ต่างๆ รวมกว่า 80 ลำ เข้าร่วมแสดงพลังศรัทธา ณ สนามกีฬากลางทุ่งแจ้ง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง ซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดงานประเพณีลากพระจังหวัดตรัง ครั้งที่ 22 ระหว่างวันที่ 8 – 16 ตุลาคม 2568
บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคักและอบอุ่น ขบวนเรือพระที่ตกแต่งอย่างวิจิตร ทั้งแบบแกะสลักไม้และประดับลวดลายไทยถูกลากผ่านชุมชนโดยใช้เชือก พร้อมเสียงตีโพน กลองยาว นางรำ และรถลำโพง สร้างสีสันตลอดเส้นทาง ท่ามกลางประชาชนที่มาร่วมชม ร่วมลาก และร่วมทำบุญกับเรือพระของวัดต่างๆ อย่างเนืองแน่น
อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญคือการแจกและโยน “ขนมต้ม” ขนมพื้นบ้านที่ทำจากวัตถุดิบท้องถิ่น ห่อด้วยใบกะพ้อในรูปทรงสามเหลี่ยม ซึ่งผู้ร่วมงานต่างเพลิดเพลินกับการโยนขนมใส่บาตรบนเรือพระ และการรับแจกอย่างสนุกสนาน แม้จะมีฝนโปรยปรายตลอดเส้นทาง
สำหรับปีนี้ องค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง (อบจ.ตรัง) เป็นเจ้าภาพจัดงาน โดยมีการประกวดเรือพระทั้งขนาดเล็กและใหญ่ ชิงถ้วยพระราชทานจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ซึ่งเป็นการย้ำถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ประเพณีท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป ภายในงานยังมีกิจกรรมหลากหลาย อาทิ การประกวดขบวนแห่เรือพระ การประกวดภาพถ่ายออนไลน์ หัวข้อ “แต่งไทย ไปเรือพระ” การแสดงศิลปวัฒนธรรมและความบันเทิงตลอดงาน
“ประเพณีลากพระ” หรือที่รู้จักในชื่อ “ชักพระ” หรือ “แห่พระ” ถือเป็นประเพณีสำคัญในภาคใต้ จัดขึ้นช่วงวันออกพรรษา สะท้อนความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและวิถีชีวิตชาวบ้านที่ร่วมแรงร่วมใจสืบสานวัฒนธรรมมายาวนาน
เดิมประเพณีนี้ใช้การลากเรือพระทางน้ำผ่านแม่น้ำลำคลองในชุมชน ต่อมาเมื่อโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัดพัฒนาขึ้น รูปแบบการลากพระจึงเปลี่ยนมาใช้ทางบก แต่ยังคงเอกลักษณ์ของเรือพระแบบดั้งเดิม ทั้งลวดลายและฝีมือช่างท้องถิ่นที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นอย่างไม่เสื่อมคลาย
งานลากพระจังหวัดตรังนับเป็นหนึ่งในประเพณีใหญ่ระดับประเทศที่ดึงดูดทั้งชาวตรังและนักท่องเที่ยวจากจังหวัดใกล้เคียง ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์และส่งเสริมวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของภาคใต้ให้คงอยู่คู่ท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

News Update : อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ประกาศเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ เริ่ม 1 ตุลาคม 2568 เปิดประตูสู่ธรรมชาต...
07/10/2025

News Update : อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ประกาศเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ เริ่ม 1 ตุลาคม 2568 เปิดประตูสู่ธรรมชาติอันงดงามของทะเลอันดามัน นักท่องเที่ยวเตรียมพบไฮไลต์ทะเลตรัง ทั้งถ้ำมรกต เกาะกระดาน เกาะเชือก พร้อมเน้นย้ำการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ เพื่อรักษาธรรมชาติให้ยั่งยืน
#กองบรรณาธิการอันดามันไทม์
วันนี้ (8 ตุลาคม 2568) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก ‘อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม’ ได้โพสต์ประกาศสำคัญ แจ้งข่าวดีแก่ผู้ที่รักการท่องเที่ยวทางทะเล โดยระบุว่าอุทยานฯ ได้ประกาศ เปิดฤดูกาลท่องเที่ยวประจำปี หรือ “ไฮซีซั่น” อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศและต่างชาติสู่ความมหัศจรรย์ของทะเลอันดามันฝั่งจังหวัดตรัง
สำหรับการเปิดฤดูกาลท่องเที่ยวในครั้งนี้ครอบคลุมทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลและทางบกภายในอุทยาน โดยมีจุดเด่นหลายแห่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด ได้แก่ ถ้ำมรกต (Tham Morakot) จุดหมายอันดับต้น ๆ ของนักท่องเที่ยว เป็นถ้ำทะเลลึกลับที่ต้องว่ายน้ำผ่านอุโมงค์เข้าสู่หาดทรายขาวสะอาดที่ซ่อนอยู่ภายใน เกาะกระดาน (Koh Kradan) ขึ้นชื่อเรื่องชายหาดสีขาวละเอียด น้ำทะเลใสสีฟ้าคราม เหมาะสำหรับการพักผ่อนและถ่ายภาพ เกาะเชือก และ เกาะแหวน จุดดำน้ำตื้นยอดนิยม ที่เต็มไปด้วยแนวปะการังหลากสีสัน หาดปากเมง ซึ่งมีลักษณะโค้งเหมือนพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว หาดหยงหลิง – หาดสั้น – หาดยาว – หาดฉางหลาง (บริเวณที่ทำการ "เขาแบนะ") และ เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่สำหรับผู้รักการเดินป่าและเรียนรู้ระบบนิเวศ
โดยการกำหนดช่วงเวลาเปิดและปิดการท่องเที่ยวของอุทยานฯ มีจุดประสงค์สำคัญเพื่อ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ให้ฟื้นตัวจากการถูกรบกวน และ เพิ่มความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงมรสุมที่คลื่นลมแรง เสี่ยงต่อการเดินทางทางทะเล การปิดฤดูจึงเป็นมาตรการที่ช่วยให้ธรรมชาติได้หยุดพัก ขณะที่การเปิดฤดูในช่วงเวลาที่เหมาะสม จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ อุทยานฯ ขอความร่วมมือจากนักท่องเที่ยวให้ ตรวจสอบข้อมูลการเปิด-ปิดพื้นที่ ก่อนเดินทาง เนื่องจากบางบริเวณอาจมีข้อจำกัดตามสภาพอากาศและนโยบายอนุรักษ์ สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 075-829-967 (ที่ทำการอุทยานฯ) โทร. 080-572-2583 (ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว) โดยทางอุทยานฯ ย้ำว่า การท่องเที่ยวอย่างมีจิตสำนึกจะช่วยให้ธรรมชาติอันสวยงามของทะเลตรังยังคงอยู่กับเราไปอีกนานแสนนาน.

News Update : อบต.เขากอบ จ.ตรัง พร้อมชาวบ้านรวมพลังจัดเตรียม “ต้ม” สำหรับประเพณีลากพระที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล สะท้อนพล...
07/10/2025

News Update : อบต.เขากอบ จ.ตรัง พร้อมชาวบ้านรวมพลังจัดเตรียม “ต้ม” สำหรับประเพณีลากพระที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล สะท้อนพลังความสามัคคี พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวมาเลเซียเยือนถ้ำเลเขากอบ
#กองบรรณาธิการอันดามันไทม์
วันนี้ 7 ต.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่องค์การบริหารส่วนตำบลเขากอบ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง นายชาคริต ช่วยบำรุง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเขากอบ นำทีมเจ้าหน้าที่และชาวบ้านในพื้นที่ ร่วมแรงร่วมใจกันทำ “ต้ม” เพื่อนำไปใช้ในประเพณีลากพระ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ตรงกับวันที่ 8 ตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 หรือหนึ่งวันหลังวันออกพรรษา
การทำ “ต้ม” ในครั้งนี้ใช้วัตถุดิบพื้นบ้าน เช่น ข้าวเหนียว กะทิ และเกลือ นำมาผสมรวมกันแล้วกวนในกระทะขนาดใหญ่จนแห้ง จากนั้นจึงนำข้าวเหนียวที่กวนเสร็จแล้วไปห่อในใบกะพ้อที่ชาวบ้านช่วยกันตัดมา โดยพับใบกะพ้อให้เป็นทรงสามเหลี่ยมก่อนนำไปนึ่ง แล้วพักไว้หนึ่งคืน เพื่อให้นำไปใช้ในพิธีลากพระในวันรุ่งขึ้น
ในวันงาน ชาวบ้านจะนำ “ต้ม” เหล่านี้ไปซัดหรือโยนใส่บาตรของ “เรือพระ” ซึ่งเป็นเรือที่ชาวบ้านช่วยกันลากมาจากวัด โดยจะมีการแจกต้มให้กับประชาชนที่มาร่วมขบวนแห่ และผู้ที่อยู่ริมทางตลอดเส้นทางที่เรือพระแล่นผ่าน
ทั้งนี้ ประเพณี “ซัดต้ม” มีที่มาจากสมัยพุทธกาล โดยเล่าว่าเมื่อครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จกลับจากจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มายังโลกมนุษย์ พุทธศาสนิกชนจำนวนมากต่างเฝ้ารอเพื่อถวายภัตตาหารแด่พระองค์ แต่เนื่องจากคนแน่นขนัด ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ จึงห่อภัตตาหารในใบไม้ ซึ่งเรียกว่า “ข้าวต้ม” หรือ “ต้ม” แล้วพยายามโยนใส่บาตร แต่หลายครั้งต้มเหล่านั้นพลาดไปโดนกันเอง กลายเป็นกิจกรรมเชิงวัฒนธรรมและความสนุกสนานที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากกิจกรรมทางวัฒนธรรมแล้ว ขณะนี้ยังมีนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวที่ “ถ้ำเลเขากอบ” แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่ง “Unseen Thailand” ที่มีความสวยงามตามธรรมชาติและสามารถล่องเรือชมถ้ำลอดได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ.

News Update : สองสาวเพื่อนซี้พลิกชีวิตจากพิษโควิด! ปลูกผัก เลี้ยงไก่ ทำปุ๋ย ขายทุกอย่าง เริ่มต้น 20 บาท รายได้แตะหลักพัน...
07/10/2025

News Update : สองสาวเพื่อนซี้พลิกชีวิตจากพิษโควิด! ปลูกผัก เลี้ยงไก่ ทำปุ๋ย ขายทุกอย่าง เริ่มต้น 20 บาท รายได้แตะหลักพันต่อวัน
#กองบรรณาธิการอันดามันไทม์
วันที่ 6 ตุลาคม 2568 – ที่บ้านเจนต้า หมู่ที่ 5 ตำบลในควน อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง สองเพื่อนซี้ “เจน–ต้า” พลิกวิกฤตโควิด-19 เป็นโอกาส เปลี่ยนอาชีพจากพนักงานประจำ มาทำเกษตรอินทรีย์ ขายผักสลัด เลี้ยงไก่อารมณ์ดี ทำปุ๋ยมูลไส้เดือน ปลูกดอกดาวเรือง ส่งขายในชุมชน เริ่มต้นแค่ 20 บาท แต่รายได้วันละหลักพันก็เคยมาแล้ว!

สองสาวเจ้าของไอเดียคือ

น.ส.ณัฐวดี ศรีเกตุ (เจน) อายุ 42 ปี

น.ส.มณิชญา หลงหา (ต้า) อายุ 44 ปี

หลังลาออกจากงานช่วงโควิดเพราะตลาดปิดและไม่มั่นใจในความปลอดภัยของผักที่ซื้อกิน ทั้งสองจึงเริ่มปลูกผักทานเองในกล่องโฟมแค่ 3 กล่อง ก่อนขยับขยายเป็นแปลงผักกว่า 300 กล่อง และปลูกผักกินใบต่างๆ เช่น กระเจี๊ยบเขียว มะเขือพวง กวางตุ้ง รวมถึงผักไฮโดรโปนิกส์หลากหลายชนิด เช่น กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค เคล มินิคอด และฟินเล่

พิเศษคือทั้งคู่ทำปุ๋ยมูลไส้เดือนใช้เอง ไม่พึ่งสารเคมี เพื่อความปลอดภัยทั้งผู้ปลูกและผู้บริโภค

ไข่อารมณ์ดีขายหมดเกลี้ยงทุกวัน!

นอกจากผัก ยังเลี้ยง “ไก่อารมณ์ดี” จำนวน 70 ตัว กินอาหารผสมแหนแดง ทำให้ได้ไข่ฟองใหญ่ สีแดงสด แข็งแรงทุกฟอง ขายวันละ 2 แผง (60-65 ฟอง) ราคาแผงละ 100-125 บาท ลูกค้าจองล่วงหน้าแน่นทุกวัน

ดาวเรืองไล่แมลง ขายเสริมรายได้

เพื่อแก้ปัญหาหนอนในแปลงผัก สาวต้าเริ่มปลูกดอกดาวเรืองไว้ข้างแปลง กลายเป็นสินค้าเสริมขายดีช่วงวันพระ ส่งให้แม่ค้าในชุมชน สร้างรายได้เพิ่มวันละ 300-500 บาท สูงสุดแตะ 1,000 บาทต่อวัน

ขยายผลสู่รายได้เลี้ยงครอบครัว

แม้ไม่มีพื้นฐานด้านเกษตร (เจนจบการตลาด / ต้าจบรัฐศาสตร์) แต่ทั้งคู่มีใจรักผัก ปลูกจากความชอบ กินเอง ขายเอง สร้างรายได้วันละ 200-1,000 บาท และยังตั้งใจจะขยายแปลงผักต่อเนื่อง โดยไม่คิดกลับไปเป็นลูกจ้างอีก

สนใจสั่งซื้อหรือติดตาม

📍 เพจเฟซบุ๊ก: บ้านเจนต้า
📞 โทร: 061-9162471 / 093-6958926

News Update : เทศกาลไหว้พระจันทร์ ที่ “ทุ่งยาว ปะเหลียน” #กองบรรณาธิการอันดามันไทม์วันนี้ (6 ตุลาคม 2568) ที่ตลาดสดเทศบา...
06/10/2025

News Update : เทศกาลไหว้พระจันทร์ ที่ “ทุ่งยาว ปะเหลียน”
#กองบรรณาธิการอันดามันไทม์
วันนี้ (6 ตุลาคม 2568) ที่ตลาดสดเทศบาลตำบลทุ่งยาว อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง
นายทรงกลด สว่างวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เป็นประธานเปิดงาน “เทศกาลไหว้พระจันทร์จังหวัดตรัง ประจำปีงบประมาณ 2568” ภายใต้โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประเพณีจังหวัดตรัง
ภายในงานมี นายนนทวัฒน์ ชัยเกษตรสิน นายกเทศมนตรีตำบลทุ่งยาว นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง รองผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง หัวหน้าส่วนราชการ ภาคเอกชน สื่อมวลชน และประชาชนเข้าร่วมอย่างคึกคัก
งานจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 กันยายน – 6 ตุลาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 17.00 – 23.30 น. ณ ตลาดสดเทศบาลตำบลทุ่งยาว มีกิจกรรมมากมาย เช่น
ร้านอาหารพื้นถิ่นกว่า 60 ร้าน
สาธิตการทำอาหารตามประเพณีท้องถิ่น
การประกวดโต๊ะไหว้พระจันทร์
นิทรรศการประวัติความเป็นมาของเทศกาลไหว้พระจันทร์ และนิทรรศการเทิดพระเกียรติรัชกาลที่ 10
ไฮไลต์ของงานคือการแสดงแสง สี เสียง เรื่อง “เทพจันทรา ธิดาฉางเอ๋อ สู่ดวงจันทร์” จัดแสดงยิ่งใหญ่ 5 วันเต็ม (2–6 ตุลาคม 2568) พร้อมการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย–จีนของเยาวชน และดนตรีร่วมสมัยทุกคืน รวมถึงมุมถ่ายรูปสุดงาม 2 จุด และซุ้มทางเข้าที่สะท้อนอัตลักษณ์ของชาวทุ่งยาวอย่างโดดเด่น
นายนนทวัฒน์ ชัยเกษตรสิน นายกเทศมนตรีตำบลทุ่งยาว กล่าวเชิญชวนว่า
“คิดถึงการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ มีทะเลสวยงาม มีประเพณีวัฒนธรรมอันยาวนาน อาหารอร่อยทุกเมนู ราคาประหยัด ให้คิดถึงจังหวัดตรัง”
ด้านนายทรงกลด สว่างวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง กล่าวว่า เทศกาลไหว้พระจันทร์ของชาวทุ่งยาวเป็นประเพณีที่สืบทอดมากว่า 100 ปี โดยเฉพาะการตั้งโต๊ะไหว้พระจันทร์หน้าบ้านเรือนสองข้างถนนรอบตลาด ซึ่งกลายเป็นภาพสวยงามและหาชมได้เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย
ทั้งนี้ จังหวัดตรังได้เตรียมความพร้อมทุกด้าน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาสัมผัสมนต์เสน่ห์ของงาน และร่วมอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีอันทรงคุณค่าให้คงอยู่ต่อไป
เทศกาลไหว้พระจันทร์ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ความสามัคคี และความกตัญญูของชาวจีน สืบเนื่องจากตำนานการกู้ชาติในยุคชาวมองโกล และยังคงเป็นประเพณีที่สร้างความสุขและพลังใจแก่ผู้คนจนถึงปัจจุบัน

News Update : มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ส่งมอบ "โรงเรียนยั่งยืนวิทยา" แห่งที่ 2 ณ จังหวัดตรัง เดินหน้าขับเคลื่อนสังคมไทยสู...
06/10/2025

News Update : มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ส่งมอบ "โรงเรียนยั่งยืนวิทยา" แห่งที่ 2 ณ จังหวัดตรัง เดินหน้าขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ความยั่งยืน
#กองบรรณาธิการอันดามันไทม์
ตรัง – วันที่ 6 ตุลาคม 2568 มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ส่งมอบ "โรงเรียนยั่งยืนวิทยา" แห่งที่ 2 ณ โรงเรียนบ้านลำแคลง อำเภอปะเหลียน จังหวัดตรัง สานต่อเจตนารมณ์โครงการ “TOYOTA GIVING ขับเคลื่อนไทยให้ยั่งยืน” โดยมี นายทรงกลด สว่างวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานมูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย ร่วมส่งมอบอย่างเป็นทางการ
ภายในงานมีผู้แทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้นำท้องถิ่น ผู้บริหารสถานศึกษา นักเรียน และประชาชนในพื้นที่ เข้าร่วมอย่างคับคั่ง พร้อมกันนี้ได้มีการมอบอุปกรณ์การเรียนและอุปกรณ์กีฬาให้แก่โรงเรียนในเครือข่ายกลุ่มโรงเรียนปะเหลียน จำนวน 13 แห่ง เพื่อส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาและการพัฒนาทักษะด้านกีฬาแก่เยาวชนในท้องถิ่นอย่างทั่วถึง
โครงการ "โรงเรียนยั่งยืนวิทยา" เป็นความร่วมมือระหว่าง มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย และ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโรงเรียนต้นแบบที่ส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาและยกระดับคุณภาพชีวิตของเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลให้เติบโตเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ โดยในปีนี้ ได้มีการขยายโครงการสู่ภาคใต้ ผ่านการสนับสนุนองค์ความรู้และสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น ครอบคลุมใน 4 ด้านหลัก ดังนี้:
ด้านความมั่นคงทางอาหาร

จัดตั้งแปลงเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farm) สำหรับปลูกผักสวนครัวหลากหลายชนิด พร้อมระบบรดน้ำอัตโนมัติ

สร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่อารมณ์ดี ที่เลี้ยงในพื้นที่เปิดอย่างอิสระ ส่งผลให้ไข่มีคุณภาพดีและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง

ด้านสาธารณูปโภค
ติดตั้งระบบปั๊มน้ำอัตโนมัติเพื่อเพิ่มแรงดันน้ำ

จัดทำอ่างล้างมือสุขาภิบาลเพื่อส่งเสริมสุขอนามัยภายในโรงเรียน

ด้านสิ่งแวดล้อม
ติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ ขนาด 5 กิโลวัตต์ ช่วยลดค่าไฟฟ้า และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 4,429 กิโลกรัมต่อปี

นำเครื่องบีบอัดขยะ “คาราคูริ” มาใช้ ซึ่งอาศัยกลไกธรรมชาติไม่ใช้พลังงาน

ตั้งถังหมักรักษ์โลก สำหรับแปรรูปขยะอาหารเป็นปุ๋ยอินทรีย์

จัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะอย่างยั่งยืน

ด้านภูมิทัศน์เพื่อการเรียนรู้
จัดทำสนามเด็กเล่นตามมาตรฐานเพื่อส่งเสริมพัฒนาการรอบด้านของเด็ก

จัดพื้นที่พักผ่อน และติดตั้งชุดโต๊ะเก้าอี้สำหรับใช้งานเอนกประสงค์

โตโยต้าเชื่อมั่นว่า การวางรากฐานที่มั่นคงให้กับเยาวชน คือกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมไทยให้ก้าวสู่ความยั่งยืนในระยะยาว โดยยังคงมุ่งมั่นดำเนินโครงการ “โรงเรียนยั่งยืนวิทยา” ต่อไป เพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ
ภายใต้แนวคิด “TOYOTA GIVING ขับเคลื่อนไทยให้ยั่งยืน” โครงการนี้เน้นการ “ให้” ในทุกมิติ ได้แก่

ให้...สุขภาพที่ยั่งยืน

ให้...ความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน

ให้...ภูมิปัญญาที่ยั่งยืน

ให้...การศึกษาที่ยั่งยืน

News Update : "ข้าวสีชมพู" แลนด์มาร์กใหม่เมืองตรัง! เกษตรกรสิเกา ปลูกข้าวแปลกสีสวย ขายเมล็ดละ 1 บาท รายได้แตะหลักล้านตรั...
03/10/2025

News Update : "ข้าวสีชมพู" แลนด์มาร์กใหม่เมืองตรัง! เกษตรกรสิเกา ปลูกข้าวแปลกสีสวย ขายเมล็ดละ 1 บาท รายได้แตะหลักล้าน

ตรัง – เกษตรกรชาวอำเภอสิเกา จ.ตรัง พลิกสวนยางเก่ากว่า 2 ไร่ สร้าง “นาข้าวสีชมพู” กลางรีสอร์ท หวังเป็นแลนด์มาร์กใหม่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ทั้งไทย-เทศ แห่จองเมล็ดพันธุ์แน่นถึงปีหน้า ขายเมล็ดละ 1 บาท สร้างรายได้เกือบ 1 ล้านบาทต่อปี
#กองบรรณาธิการอันดามันไทม์
วันที่ 3 ตุลาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ “หลานย่ารีสอร์ทแอนด์คาเฟ่” หมู่ 2 บ้านควนกุน ต.กะลาเส อ.สิเกา จ.ตรัง นายสนอง แสนสุข หรือ “เฮียอ๋อง” อายุ 58 ปี ได้สร้างกระแสความฮือฮาในวงการเกษตรและท่องเที่ยว ด้วยการปลูก “ข้าวสีชมพู” บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ ภายในรีสอร์ทของตัวเอง สร้างทุ่งนาสีหวานสะดุดตา กลายเป็นจุดเช็กอินยอดนิยมแห่งใหม่ของนักท่องเที่ยว
นายสนองเผยว่า จุดเริ่มต้นมาจากการชมคลิปนาข้าวสีชมพูบนยูทูบ จากพื้นที่ ต.เกาะสุกร อ.ปะเหลียน จ.ตรัง จึงตัดสินใจซื้อต้นพันธุ์มาเพียง 2-3 ขีด (ขีดละ 3,000 บาท) เมื่อปี 2564 แล้วนำมาขยายพันธุ์เอง จนสามารถปลูกเต็มพื้นที่ได้สำเร็จ โดยใช้เวลาปลูกประมาณ 120 วัน (4 เดือน) ต่อรอบ และสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี หากมีน้ำเพียงพอ
ความโดดเด่นของข้าวชนิดนี้อยู่ที่สีชมพูอมม่วงตั้งแต่เริ่มปลูก ไปจนถึงช่วงตั้งท้อง ก่อนใบจะเปลี่ยนเป็นเขียวอมม่วง ขณะที่รวงยังคงให้สีชมพูสวยงาม ภายในเมล็ดเป็นสีม่วงเข้ม เนื้อในเป็นแป้งสีขาว มีสารอาหารสูง และสามารถรับประทานได้ แม้ยังไม่เพียงพอต่อการบริโภคทั่วไป
ด้วยความแปลกตาและหายาก ทำให้เมล็ดพันธุ์ของข้าวสีชมพูนี้ได้รับความสนใจจากเกษตรกร นักสะสม และสถานประกอบการต่าง ๆ เป็นอย่างมาก โดยมีออเดอร์สั่งจองแล้วมากกว่า 80 กิโลกรัม ขายราคากิโลกรัมละ 3,500 บาท หรือเมล็ดละ 1 บาท ยอดจองล่วงหน้ายาวไปจนถึงปีหน้า
แม้ให้ผลผลิตไม่มาก เฉลี่ยเพียง 30–40 กิโลกรัมต่อไร่ แต่ด้วยราคาขายที่สูง ทำให้สร้างรายได้เฉียดล้านบาทต่อปี โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรม รีสอร์ท และแหล่งท่องเที่ยวที่ต้องการนำต้นกล้าไปปลูกเพื่อประดับตกแต่งพื้นที่
ด้านการดูแล ใช้ปุ๋ยคอกสลับกับปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 เดือนละ 2 ครั้ง และใส่ปุ๋ยเร่งดอกสูตร 0-0-60 เมื่อต้นข้าวตั้งท้อง เพื่อกระตุ้นการแตกรวง
นายสนองยังเล่าอย่างอารมณ์ดีว่า แม้จะยังไม่เคยชิมรสชาติข้าวของตัวเอง เพราะยังไม่มีเหลือพอขายด้วยซ้ำ วันหนึ่งเตรียมหุงรับประทาน แต่มีลูกค้ามาจาก จ.ระนอง ขอแบ่งไปทดลองปลูก จึงยกให้ไปหมด ยังไม่ได้หุงกินเองสักครั้ง
“เมื่อก่อนเคยมีคนขายกิโลละหมื่น ตอนนี้ผมขายกิโลละ 3,500 บาท หรือเมล็ดละบาท ขายแบบแบ่งปัน สนใจสามารถติดต่อทางเพจ ‘หลานย่าคาเฟ่ แอนด์ รีสอร์ท ที่นี่ควนกุน’ หรือโทร 089-590-5911” นายสนองกล่าว

News Update : อดีตผู้กำกับ สภ.ย่านตาขาว จ.ตรัง ใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างเรียบง่ายและมีความสุข หวนกลับไปเติมเต็มความฝันในวั...
01/10/2025

News Update : อดีตผู้กำกับ สภ.ย่านตาขาว จ.ตรัง ใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างเรียบง่ายและมีความสุข หวนกลับไปเติมเต็มความฝันในวัยเด็กกับการเป็นจิตรกรวาดภาพสีน้ำ พร้อมนำผลงานร่วมประมูลหารายได้สมทบทุนการศึกษา ยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ไม่มุ่งแสวงหาผลกำไร
#กองบรรณาธิการอันดามันไทม์
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่บ้านพักส่วนตัวของ พันตำรวจเอกพูนศักดิ์ เซ็งแซ่ อดีตผู้กำกับการ สภ.ย่านตาขาว ในชุมชนบ้านควนขัน ตำบลทับเที่ยง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง หลังจากเจ้าตัวเกษียณอายุราชการครบ 1 ปีเต็ม โดยได้เปิดบ้านต้อนรับผู้สื่อข่าว พร้อมเผยถึงชีวิตหลังเกษียณที่เรียบง่าย แต่เปี่ยมด้วยความหมาย
พ.ต.อ.พูนศักดิ์ เปิดเผยว่า ตลอดชีวิตข้าราชการกว่า 30 ปี เขาอุทิศตนให้กับหน้าที่ตำรวจอย่างเต็มกำลัง โดยไม่เคยประกอบธุรกิจใดควบคู่ กระทั่งถึงวันเกษียณ จึงได้หันกลับไปทำในสิ่งที่เคยฝันตั้งแต่วัยเยาว์ นั่นคือ การเป็นจิตรกร
“ผมเคยฝันอยากเป็นจิตรกรมาตั้งแต่เด็ก แต่ครอบครัวอยากให้รับราชการ เลยเลือกเส้นทางตำรวจมาตลอด พอเกษียณก็รู้สึกว่า ถึงเวลาทำตามหัวใจตัวเองสักที”
หลังจากเรียนรู้เทคนิคการวาดภาพสีน้ำกับศิลปินท้องถิ่นเพียงไม่กี่ครั้ง พ.ต.อ.พูนศักดิ์ก็เริ่มฝึกฝนด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง ผลงานส่วนใหญ่เป็นภาพธรรมชาติ ทั้งเรือ ทะเล และป่าไม้ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า “เป็นภาพที่ให้ความรู้สึกสงบ มีชีวิต และสื่อสารอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้ง”
จนถึงปัจจุบัน เขาสร้างสรรค์ผลงานสะสมไว้มากกว่า 50 ชิ้น โดยแม้จะมีผู้สนใจติดต่อขอซื้อผ่านทางโซเชียล แต่เจ้าตัวยืนยันว่า “ไม่ขาย” เพราะไม่ได้วาดเพื่อค้าขาย หากแต่ต้องการมอบผลงานให้เพื่อนนำไปจัดประมูล เพื่อนำรายได้ไปสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคม โดยเฉพาะโครงการพัฒนาโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน
“ไม่คิดจะขาย ไม่ได้หวังรายได้จากสิ่งนี้ แค่อยากให้ภาพมีคุณค่าทางใจ และสร้างคุณค่าให้กับผู้อื่นได้บ้าง ก็เพียงพอแล้ว”
นอกจากงานศิลปะ พ.ต.อ.พูนศักดิ์ยังให้ความสำคัญกับสุขภาพ ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงความเครียด และทำกิจกรรมที่รัก โดยยังมีกลุ่มเพื่อนตำรวจและลูกน้องเก่าแวะเวียนมาพูดคุย ชวนออกไปดื่มกาแฟ หรือเล่นฟุตบอลอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงสายสัมพันธ์ที่ยังแน่นแฟ้น
ในฐานะอดีตข้าราชการตำรวจ พ.ต.อ.พูนศักดิ์เป็นที่รู้จักในฐานะผู้นำที่ยึดมั่นในแนวทาง เศรษฐกิจพอเพียง และความซื่อสัตย์สุจริต ไม่เคยสร้างปัญหาให้กับองค์กร และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาตลอดมา
“วันนี้อายุเกิน 60 แล้ว อาจไปทำสวนไม่ได้เหมือนคนอื่น แต่ยังมีแรงวาดภาพ ทำในสิ่งที่รัก และช่วยเหลือสังคมได้บ้าง แค่นี้ก็มีความสุขมากแล้ว” เขากล่าวปิดท้าย พร้อมรอยยิ้มที่สะท้อนถึงความพอใจในชีวิต

กระต่ายน้อยในหมั่นโถว! สองสามีภรรยาชาวตรังทำหมั่นโถวรูปกระต่ายรับวันไหว้พระจันทร์ 6 ต.ค.นี้ สวยน่ารักจนต้องหยิบมาบูชาวัน...
30/09/2025

กระต่ายน้อยในหมั่นโถว! สองสามีภรรยาชาวตรังทำหมั่นโถวรูปกระต่ายรับวันไหว้พระจันทร์ 6 ต.ค.นี้ สวยน่ารักจนต้องหยิบมาบูชา

วันที่ 30 ก.ย. 2568 – ที่ร้าน “กิน เป็น สุข” เลขที่ 18 ถนนไทรงาม ต.ทับเที่ยง อ.เมือง จ.ตรัง สองสามีภรรยา “ณัฐธิดา และ สุวิทย์ ธีระกุลพิศุทธิ์” วัย 30 ปี กำลังเร่งปั้น หมั่นโถวรูปกระต่าย DIY เตรียมส่งขายในช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีนี้ (6 ต.ค. 2568) ซึ่งพวกเขาทำต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 แล้ว ได้รับกระแสตอบรับดีเกินคาดจากลูกค้าทั้งในพื้นที่และออนไลน์

เพราะพระจันทร์มีกระต่าย... หมั่นโถวก็ควรมีกระต่ายด้วย!
ความพิเศษของหมั่นโถวรูปกระต่ายคือเป็น งานทำมือทุกชิ้น ใช้เวลาปั้นชิ้นละ 15-20 นาที ราคาชิ้นละ 35 บาท จุดเด่นคือ หวานน้อย แป้งนุ่มฟู ทำจากฟักทอง ผสมแป้งอเนกประสงค์ ไม่มีสารกันบูด และใช้วัตถุดิบปลอดสารจากชุมชน เก็บในตู้เย็นได้นาน 3-4 วัน เหมาะกับทุกวัย โดยเฉพาะคนรักสุขภาพ

ยังมีหมั่นโถวแฟนซีและซาลาเปา DIY ผสมผัก เช่น ผักโขม แครอท กะหล่ำม่วง เผือก ฯลฯ ขายชิ้นละ 12-15 บาท โดยสองสามีภรรยาช่วยกันทำวันละ 30-50 ชิ้น รายได้เฉลี่ย 1,000-1,500 บาทต่อวัน โดยในช่วงเทศกาลนี้ จำกัดยอดรับออเดอร์วันละไม่เกิน 70 ชิ้น เพื่อควบคุมคุณภาพและความสดใหม่ของสินค้า

เจ้าของร้านเผยแรงบันดาลใจมาจาก “ภาพจำของกระต่ายในดวงจันทร์” อยากให้โต๊ะไหว้พระจันทร์ดูมีชีวิตมากขึ้น ด้วยขนมที่กินได้จริง และมีความหมายตามความเชื่อของชาวไทยเชื้อสายจีน ซึ่งนิยมบูชากระต่ายในคืนวันเพ็ญเดือนแปด

สำหรับใครที่ไม่รู้ เทศกาลไหว้พระจันทร์มีที่มาเก่าแก่ตั้งแต่สมัยมองโกลปกครองจีน ชาวจีนเคยแอบส่งข้อความลับในขนมเพื่อวางแผนโค่นล้มการปกครอง กระทั่งกลายมาเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองในปัจจุบัน

ใครสนใจสั่งจองหมั่นโถว DIY รูปกระต่าย หรือขนมสุขภาพอื่น ๆ ติดต่อได้ที่เพจเฟซบุ๊ก: [กิน เป็น สุข] หรือโทร
📞 080-656-2765 / 081-676-6666

#กองบรรณาธิการอันดามันไทม์

30/09/2025

ราคาทองรูปพรรณ ขายออกวันนี้ (30 ก.ย.68) เวลา 11.00 น.
พุ่งทะลุถึง 60,100 บาท

สูงสุดเป็นประวัติการณ์!

ที่อยู่

Trang
92000

เบอร์โทรศัพท์

+66931964928

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ Andamantime News - อันดามันไทม์ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์