08/06/2025
อยากเทรดให้ได้กำไรหลักแสน มันต้องใช้ระบบเทรดแบบไหน !?
เอาจริงๆ มันก็ได้หมดเลยครับ มันขึ้นอยู่กับว่าตลาดมันเป็นตลาดแบบไหน มันมีช่องโหว่อะไรให้เราเจาะ โดยช่องโหว่นี้เราจะเรียกว่า “Anomaly”
ซึ่ง Anomaly ถ้าจะให้พูดภาษาบ้านๆ มันก็คือจุดอ่อน ช่องโหว่ จุดเปราะบางของตลาด ซึ่งเราสามารถใช้ประโยชน์จากจุดนั้นในการสร้างผลประโยชน์ให้กับตัวเราได้
เรื่องนี้อาจจะต้องศึกษาสมมุติฐานของตลาดที่ไม่มีประสิทธิภาพ (Inefficiency Market Hypothesis) เพิ่มเติมครับ เราจะได้เข้าใจว่าการเคลื่อนไหวของราคามันไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลขนาดนั้น
เพราะมันมีเรื่องความหลงผิด อคติ (Bias) การกระทำสุดโต่ง ปัจจัยจากการสุ่ม รวมไปถึงพฤติกรรมตามแห่ของมวลชนด้วย
ระบบทุกระบบสามารถใช้ได้ ไม่อย่างนั้นเราก็คงมีหนังสือสอนเทรด สอนลงทุนแค่แนวทางเดียว จริงไหมครับ !?
ทุกวันนี้เวลาเราไปร้านหนังสือเราก็จะเห็นแนวคิดของระบบและกลยุทธ์มากมายเลยครับ
=====
ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเชิงคุณค่า (VI) ตัวอย่างแนวทาง เช่น Charlie Munger, Warren Buffett, Benjamin Graham
ลองคิดดูว่าถ้าเราเอาระบบประเภทนี้ไปใช้ในตลาดที่มันไม่มีมูลค่าที่เเท้จริง ไม่มีการ Under Reaction ไม่มีธรรมาภิบาลในการประกอบกิจการที่ดี เราก็จะได้ของแพงมาเต็มกระบุง แล้วกลยุทธ์มันก็จะพัง เพราะเราไม่เคยได้ของในราคาต่ำกว่ามูลค่าเลย
=====
หรือถ้าหากคุณอยากจะฝึกในแนวทาง แบบเติบโต (Growth) มุ่งเน้นไปที่บริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโต
ตัวอย่างเเนวคิดเช่น Philip Fisher, Peter Lynch, William J. O’niel, T. Rowe Price Jr.
ถ้าเราดันเอาระบบประเภท Growth มาใช้ในตลาดที่ไม่มีการเติบโต ไม่มีผลการดำเนินกิจการที่ดี มันก็จะไม่มีตัวผลักดันราคาให้ไปต่อ สุดท้ายมันก็พังอีก
=====
เราเอาระบบเทรดประเภทเทรดกลับตัว (Reversal) เอาระบบ Divergence, RSI Overbought - Oversold อะไรก็ว่าไป
เเล้วเราเอาไปใช้ในตลาดที่มีโมเมนตัมแรงๆ เทรนด์จ๋าๆ มันก็ไม่รอดอีก เพราะมันจะไม่กลับตัวให้คุณ กลายเป็นคุณเทรดเเบบสวนเทรนด์จนหน้าแหก
=====
เอาระบบประเภทเทรดตามเทรนด์ (Trend Following) หรือโมเมนตัม (Momentum)
ตัวอย่างเเนวคิดเช่น Ed Seykota, Paul Tudor Jones, Richard Donchian, Richard Dennis, David Ryan, Mark Minervini
โดยคาดหวังว่าราคาน่าจะมีโมเมนตัมในการผลักดันราคาต่อไปเรื่อยๆ เเล้วเราดันไปใช้ในตลาดที่มีสภาวะของการพักตัวแกว่งเเคบๆ มันก็เจอการซื้อแพงขายถูกวนไปจนพอร์ตพัง
=====
จะเอาระบบประเภท Arbitrage ไปใช้ในตลาดที่ไม่มีการ Mispricing มันก็ไม่มีช่องว่างในการทำกำไรระหว่างสินค้าทั้งสองอย่างให้คุณ
คุณอาจจะไม่ทราบว่าแม้แต่ Warren Buffett ก็เคยใช้กลยุทธ์ Merger Arbitrage ผ่าน Berkshire Hathaway ในการลงทุนใน Activision Blizzard หลัง Microsoft ประกาศซื้อกิจการ
โดยซื้อหุ้นของบริษัทที่ถูกประกาศควบรวมหรือซื้อกิจการในราคาที่ต่ำกว่าราคาที่เสนอซื้อ และรอทำกำไรเมื่อดีลจบ (รายละเอียดอ่านต่อได้ในคอมเม้นต์ครับ)
=====
เอาระบบประเภทความผันผวน (Volatility) อย่าง Mean Reversion, Grid, Rebalance มาจับเคสเเบบสุดโต่ง
ถ้าตลาดนั้นไม่มีความผันผวนให้คุณ มันแกว่งแบบเบาๆ แคบๆ คาดการณ์ได้ คุณก็จะไม่มีกำไร เพราะตลาดไม่มีความผันผวนให้คุณเล่นเลย
=====
อย่างที่ผมบอก ระบบมันมีเป็นร้อยเป็นพันแบบ มันขึ้นอยู่กับว่าตลาดมันมีช่องโหว่อะไร และระบบของคุณมีการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากช่องโหว่แบบไหน ถ้าตลาดมีจุดอ่อนอย่างไรก็ออกแบบระบบให้มันสอดคล้องกับตลาดนั้นๆ ครับ
ย้อนกลับมาเรื่องเดิมคือ สุดท้ายแล้วถ้าหากคุณมีความเข้าใจในเรื่องของระบบ ในเรื่องของตลาด และมีทักษะมีองค์ความรู้ที่มากเพียงพอ คุณก็สามารถออกแบบระบบในการที่สร้างผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอครับ
คนส่วนใหญ่ที่ตกม้าตาย นั่นก็เพราะว่า เขาไม่เคยตั้งคำถามเลยว่า #ระบบของตัวเค้าเองมันใช้ตรรกะแบบไหนในการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ มันตอบสนองในเชิงปัจจัยตลาดแบบไหน มีข้อดีอย่างไร มีข้อด้อยตรงไหน สภาวะแบบไหนที่มันใช้ไม่ได้
ซึ่งเรื่องเนี่ยมีความสำคัญมากกว่าการไปนั่งเรียนเทคนิคคัลเป็นร้อยเป็นพันแบบเลยครับ
สุดท้ายแล้วถ้าเกิดคุณติดกระดุมเม็ดแรกถูกต้อง สามารถทำระบบให้มีแต้มต่อได้ มีการบริหารเงินทุนอย่างเหมาะสม มีการบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม
ขนาดเงินทุนที่ใช้สมเหตุสมผล เก็บเกี่ยวระยะของ RR ได้ตามสมควร มีอัตราชนะที่ไม่ต่ำเกินไป การจะสร้างเงินเดือนหลักแสนหลักล้านจากตลาดมันก็ไม่ใช่เรื่องยากครับ 🥰
Knowledge + Skill + Experience = Return