11/11/2025
💪🏼ไทยต้องพัฒนาคุณภาพให้มั่นคงล่ะ
(ยาวหน่อยแต่คุ้มเวลา)
เกิดอะไรขึ้น 10 เดือนแรกของปี 68 เวียดนามผลิตทุเรียนไทยเท่าไหร่ ไทยมีจุดแข็งจุดอ่อนอะไร
และมีFCถามเรื่องปริมาณทุเรียนเวียดนามส่งออกไปเท่าไหร่แล้ว พอดีวันนี้ได้อ่านข่าวของซินหัวรายงานเลยได้โอกาสมาวิเคราะห์ให้ฟัง ผิดถูกยังไงสามารถคอมเมนต์เพิ่มเติมได้ใต้โพสต์ เพื่อให้เป็นบทความที่สมบูรณ์ให้ทุกหน่วยงาน และ ทุกสวน นำไปใช้วางกลยุทธ์ต่อไป
บทความพิเศษที่แอดอยากให้คนที่อยู่กับทุเรียนได้อ่าน
10 ข้อหัวข้อ “เปรียบเทียบขุมพลังทุเรียนไทย VS เวียดนาม”
🇹🇭🇻🇳 เปรียบเทียบขุมพลังทุเรียนไทย VS เวียดนาม
1️⃣ ฐานการผลิต
ไทยเป็น “เจ้าเก่า” มีสวนทุเรียนทั่วภาคตะวันออก–ใต้กว่า 1 ล้านไร่
ส่วนเวียดนามเพิ่งบูมในช่วง 3–5 ปี แต่ขยายสวนรวดเร็ว โดยเฉพาะแถบ Đắk Lắk, Lâm Đồng และ Tiền Giang
2️⃣ ปริมาณผลผลิต
ปี 2568 ไทยส่งออกกว่า 911,000 ตัน
ส่วนเวียดนามคาดว่าแตะ 560,000 ตัน — เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวภายใน 2 ปี
3️⃣ มูลค่าส่งออก
ไทยมีมูลค่าส่งออก 227,883.93 ล้านบาท (≈ 6 พันล้าน USD)(คิดจากราคาขายที่จีนเฉลี่ย 250 บาท)
เวียดนามปี 2025 ประมาณ 3 พันล้าน USD หรือ ราว 109,000 ล้านบาท
4️⃣ ตลาดปลายทาง
ทั้งสองประเทศพึ่งพาตลาดจีนสูงกว่า 90%
แต่เวียดนามได้เปรียบด้าน “ระยะทางสั้น – ขนส่งทางบก” ทำให้ต้นทุนต่ำและผลสดถึงเร็วกว่า
5️⃣ ความได้เปรียบด้านฤดูกาล
ไทยออกผลช่วง เม.ย.–ก.ค.
เวียดนามเก็บเกี่ยวช่วง ก.ค.–ธ.ค. จึงสามารถ “ต่อฤดูกับไทย” ได้ ทำให้ตลาดจีนมีทุเรียนกินทั้งปี
6️⃣ การลงทุนต่างชาติ
หลายบริษัทจีนเข้าไปตั้ง “ล้ง” ในเวียดนามโดยตรง
ในขณะที่ไทยมีระบบล้งไทยเอง แต่ต้นทุนแรงงานและที่ดินสูงกว่า
7️⃣ พันธุ์ทุเรียน
ไทยเด่นด้วย หมอนทอง – ชะนี – ก้านยาว
เวียดนามใช้พันธุ์ หมอนทองไทย เป็นหลัก แต่เริ่มพัฒนาพันธุ์ท้องถิ่นของตัวเอง เช่น Ri6 (รีเซา)
8️⃣ มาตรฐานและการตรวจสอบ
ไทยมีระบบ GAP / โรงคัดบรรจุ / รหัสสวน / รหัสโรงงาน ที่เข้มกว่า
เวียดนามเพิ่งเริ่มใช้ระบบ “สวนอนุมัติจีน – แพ็กเฮาส์ขึ้นทะเบียน” แต่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว
9️⃣ ความท้าทาย
ไทยต้องเผชิญกับต้นทุนสูง แรงงานขาด และราคาตลาดผันผวน
เวียดนามยังมีปัญหาเรื่องคุณภาพไม่สม่ำเสมอ และการควบคุมโรคในสวน
🔟 แนวโน้มอนาคต
ถ้าเวียดนามยังขยายพื้นที่ปลูกต่อเนื่อง อีก 3 ปีข้างหน้าอาจแตะ มูลค่าส่งออก 1 หมื่นล้าน USD
ไทยจำเป็นต้อง “รีแบรนด์คุณภาพ” สร้างความต่าง พัฒนาสินค้า และขยายตลาดใหม่ นอกเหนือจากจีน
💬 สรุปสั้นๆ:
เวียดนามคือ “ดาวรุ่งพุ่งแรง”
ไทยคือ “เจ้าตลาดตัวจริง” ที่ต้องยกระดับเกมให้เหนือกว่าเดิม!
เรามาดูจุดแข็งจุดอ่อนบ้าง
🇹🇭🇻🇳 SWOT เปรียบเทียบขุมพลังทุเรียนไทย VS เวียดนาม
จุดแข็ง (Strengths)
🇹🇭ทุเรียนไทยเป็นผู้นำตลาดมายาวนาน มีชื่อเสียงระดับโลก โดยเฉพาะพันธุ์หมอนทองที่ผู้บริโภคจีนยอมรับมากที่สุด ระบบควบคุมคุณภาพของไทยมีมาตรฐานเข้มงวด ทั้ง GAP, GMP และรหัสสวน–โรงคัดที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ครบวงจร
🇻🇳ขณะที่เวียดนามได้เปรียบเรื่องต้นทุนแรงงานต่ำและระยะทางใกล้จีน ทำให้ขนส่งได้เร็วกว่า อีกทั้งมีฤดูกาลเก็บเกี่ยวต่อจากไทย จึงสามารถขายต่อเนื่องได้ทั้งปี
⸻
จุดอ่อน (Weaknesses)
🇹🇭ไทยมีต้นทุนแรงงานและค่าปุ๋ยสูง ทำให้ราคาต่อกิโลกรัมในตลาดโลกเริ่มแข่งยากขึ้น อีกทั้งพื้นที่ปลูกกระจุกตัวในบางภูมิภาคและพึ่งตลาดจีนเกินไป
🇻🇳ส่วนเวียดนามแม้จะต้นทุนต่ำแต่ยังขาดระบบมาตรฐานคุณภาพที่ทั่วถึง ผลผลิตยังไม่สม่ำเสมอ และแบรนด์ทุเรียนเวียดนามยังไม่แข็งแรงเท่าของไทย
⸻
โอกาส (Opportunities)
🇹🇭ไทยมีโอกาสสร้างภาพลักษณ์ใหม่ “Premium Thai Durian” เพื่อขยายตลาดไปญี่ปุ่น เกาหลี และตะวันออกกลาง รวมทั้งนำเทคโนโลยี Smart Orchard และระบบตรวจสอบย้อนกลับมาใช้เพิ่มมูลค่า
🇻🇳ส่วนเวียดนามได้รับแรงหนุนจากนักลงทุนจีนที่เข้ามาตั้งล้งและโรงคัดบรรจุ ทำให้ระบบการส่งออกพัฒนาเร็ว อีกทั้งความต้องการทุเรียนในจีนยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากช่องทางออนไลน์และอีคอมเมิร์ซ
⸻
ความเสี่ยง (Threats)
🇹🇭ไทยกำลังเผชิญการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้านที่เร่งขยายสวน เช่น เวียดนามและฟิลิปปินส์ รวมถึงต้นทุนแรงงานและค่าขนส่งที่สูงขึ้น ขณะที่สภาพอากาศสุดขั้วอาจกระทบผลผลิต
🇻🇳ส่วนเวียดนามแม้จะเติบโตเร็วแต่ก็เสี่ยงต่อโรคพืช เช่น ไฟทอปเทอร่า และปัญหาคุณภาพตกหากขยายสวนเร็วเกินไป หากจีนเข้มงวดการตรวจสอบมากขึ้น เวียดนามอาจถูกจำกัดการนำเข้าได้
⸻
สรุปภาพรวม
🇹🇭 ไทยคือ “ผู้นำตลาดที่มีระบบมาตรฐานและชื่อเสียง”
🇻🇳 เวียดนามคือ “ดาวรุ่งต้นทุนต่ำที่โตเร็วและใช้โอกาสเชื่อมจีนได้เหนือกว่า”
🌏 การแข่งขันของทั้งสองประเทศจะเป็นตัวกำหนด “สมรภูมิทุเรียนเอเชีย” ในอีก 3 ปีข้างหน้า
ที่มาเรื่องปริมาณเวียดนาม : สำนักข่าวซินหัว
แล้วแอดมาแปลงเป็นมูลค่าบาท และ น้ำหนักตัน(อาจมีคลาดเคลื่อนบ้าง) เนื่องจากเวียดนามไม่ได้แจ้งยอดส่งออกจากประเทศที่แน่าชัดเหมือนไทย เลนต้องอาศัยข้อมูลเชิงเปรียบเทียบดังนี้
สูตรคำนวณ
🔢 ข้อมูลตั้งต้นจากข่าว Xinhua
• มูลค่าส่งออก ทุเรียนเวียดนามปี 2025 ≈ 3 พันล้าน USD
• อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยประมาณ 1 USD = 36.4 บาท
→ เท่ากับประมาณ 109,200 ล้านบาท
📦 สมมติฐานด้าน “ราคาส่งออกต่อกิโลกรัม”
ราคาขายส่งเฉลี่ยทุเรียนเวียดนามไปจีน (ตามรายงานตลาดกว่างโจวช่วง 2025) อยู่ที่ประมาณ
400–450 หยวน / 10 กก. = 40–45 หยวน/กก.
ถ้าใช้ค่าเฉลี่ย ≈ 42 หยวน/กก.
อัตรา 4.6 บาท/หยวน → ≈ 193 บาท/กก.(ราคาขายที่จีน)
📊 คำนวณน้ำหนักรวมโดยประมาณ
มูลค่า = 109,200 ล้านบาท
ราคาต่อ กก. = 193 บาท
น้ำหนักรวม = 109,200,000,000/193=565,000,000 กก.
= ประมาณ 565,000 ตัน
#ทุเรียนหมอนทอง
#ทุเรียนเวียดนาม