ข่าวเกษตร

  • Home
  • ข่าวเกษตร

ข่าวเกษตร ข่าวสารเกี่ยวกับการเกษตร ฯลฯ

เตรียมรับมือไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 69 ยกระดับควบคุมแหล่งกำเนิด ------------------------------     นายสุรินทร์ วร...
18/10/2025

เตรียมรับมือไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 69 ยกระดับควบคุมแหล่งกำเนิด
------------------------------
นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยว่า ผลลัพธ์คุณภาพอากาศเปรียบเทียบ ปี 2567 – 2568 ระหว่างวันที่ 1 พ.ย. 2567 – 31 พ.ค. 2568 (สิ้นสุดสถานการณ์) ค่าเฉลี่ยฝุ่นทั่วประเทศ 28 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ลดลง 10% จำนวนวันที่เกินมาตรฐานทั่วประเทศ 184 วัน ลดลง 2% จุดความร้อนทั่วประเทศ ลดลง 25% พื้นที่เผาไหม้ทั่วประเทศ ลดลง 27% ในการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2568 นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธาน ได้เห็นชอบมาตรการรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2569 ซึ่งประกอบด้วยมาตรการ 5 ด้าน ได้แก่
1) พื้นที่เกษตร โดยเน้นการจัดการและใช้ประโยชน์เศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร และบริหารการเผาในพื้นที่ที่จำเป็นต้องใช้ไฟ ควบคุมอ้อยไฟไหม้เข้าโรงงาน
2) พื้นที่ป่า บูรณาการแผนปฏิบัติการป้องกันและควบคุมไฟป่าของ อปท. ทส. ในพื้นที่ ปรับปรุงกฎระเบียบการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ที่จำเป็นให้กับ อปท. ในภารกิจควบคุมไฟป่า
3) เขตเมือง ขยายเขต Low Emission Zone ครอบคลุมทุกเขตใน กทม. เข้มงวดควันดำต้องไม่เกิน 20% การบำรุงเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง/ ไส้กรอง
4) การจัดการหมอกควันข้ามแดน โดยการกำหนดมาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลอดการเผา และ
5) การบริหารจัดการภาพรวม ขอรับงบกลางเสริมงบปกติ แจ้งเตือนสถานการณ์ ผ่านระบบ Cell Broadcast และ SMS โดยใช้กลไกคณะกรรมการระดับชาติ ระดับภาค ระดับจังหวัด ในการกำกับ ติดตาม เร่งรัดการดำเนินงานตามมาตรการฯ
"เป้าหมายปี 2569 ยกระดับจากปี 2568 ควบคุมพื้นที่เผาไหม้ พื้นที่ป่าทั่วประเทศ ลดลงอย่างน้อย 10% พื้นที่เกษตร ทั่วประเทศ ลดลงอย่างน้อย 15% พื้นที่เมือง ยานพาหนะ โรงงานอุตสาหกรรม และสถานประกอบกิจการเป้าหมายปฏิบัติตามกฎหมาย 100%" นายสุรินทร์ กล่าว
-----------------------------
#กรมควบคุมมลพิษ #กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #สิ่งแวดล้อม #ฝุ่น #ไฟป่า #หมอกควัน #พื้นที่เผาไหม้ #ยานพาหนะ #พื้นที่การเกษตร #ไร่อ้อย #โรงงานอุตสาหกรรม #พื้นที่ป่า #พื้นที่เมือง

เตรียมรับมือไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 69 ยกระดับควบคุมแหล่งกำเนิด นายสุรินทร์ วรกิจธำรง อธิบดีกรมควบค.....

“พาณิชย์” จัดมหกรรมสินค้าลดราคา เทศกาลกินเจ อิ่มบุญ ราคาประหยัด ชวนซื้อสินค้าลดราคาสูงสุด 56% 21-29 ต.ค.นี้-------------...
18/10/2025

“พาณิชย์” จัดมหกรรมสินค้าลดราคา เทศกาลกินเจ อิ่มบุญ ราคาประหยัด ชวนซื้อสินค้าลดราคาสูงสุด 56% 21-29 ต.ค.นี้
----------------------------
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการเปิดงาน “มหกรรมสินค้าลดราคา เทศกาลกินเจ อิ่มบุญ ราคาประหยัด” ณ กระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี โดยในปีนี้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายพันธมิตร 97 ราย ประกอบด้วย สมาคมตลาดสดไทย สมาคมการค้าตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรไทย สมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย (TFA) ผู้ผลิต ห้างค้าปลีก-ค้าส่ง ร้านสะดวกซื้อ ร้านเครื่องดื่ม และ Platform Online จัดโปรโมชันลดราคาสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทศกาลกินเจ มาจำหน่ายระหว่างวันที่ 21-29 ตุลาคม 2568 จำนวน 9 วัน สินค้า 3 กลุ่ม กว่า 2,400 รายการ ประกอบด้วย
*กลุ่มที่ 1 ลดราคาวัตถุดิบ ซอสปรุงรส อาหารสำเร็จรูป ผัก-ผลไม้ เครื่องดื่ม ลดสูงสุดกว่า 56%
*กลุ่มที่ 2 เชื่อมโยงสินค้าผักปลอดภัยจากตลาดกลาง จำหน่ายในราคาประหยัด ซึ่งสามารถตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) จากแหล่งที่มา ผ่าน QR CODE ได้ รวมไปถึงลดราคาอาหารปรุงสด-ปรุงสำเร็จ เมนูทางเลือกราคาประหยัด ร่วมกับตลาดสด 30 ตลาด จำหน่ายในราคา 30-40 บาท/เมนู อาทิ ผัดหมี่ซั่วเจ เผือกทอด มันทอด เต้าหู้ทอด ข้าวราดแกงเจ ปอเปี๊ยะทอด ซาลาเปาเจ น้ำพริกเจ ขนมหวานเจ และจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ลดค่าอาหารสูงสุด 50%
*กลุ่มที่ 3 ลดราคาอาหารแห่งอนาคต (Plant Based-Future Food) ลดสูงสุด 55% ซึ่งเป็นการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ เป็นทางเลือกให้ประชาชน อาทิ เส้นก๋วยเตี๋ยวจากน้ำมะพร้าว ผลิตภัณฑ์จากผำ ผำฉะ นมโอ๊ตไข่ผำ วุ้นกะทิไข่ผำ
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สำหรับการจัดกิจกรรม “มหกรรมสินค้าลดราคา เทศกาลกินเจ อิ่มบุญ ราคาประหยัด” ในปีนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในระยะเวลา 4 เดือน ภายใต้หลักการ “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว” ใน 7 นโยบาย Quick Win ที่สำคัญของกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องดำเนินการทันที โดยกระทรวงฯมุ่งดูแลค่าครองชีพของประชาชน ควบคู่กับการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ เพื่อให้ประชาชนชาวไทยเชื้อสายจีนสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาที่เหมาะสม อิ่มบุญและอิ่มใจไปพร้อมกัน
“ขอต้อนรับเข้าสู่เทศกาลกินเจในปีนี้ ซึ่งเป็นเทศกาลที่มีความสำคัญและสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน เชื่อว่าทุกท่านที่ได้ร่วมกิจกรรมนี้จะไม่เพียงแต่อิ่มท้องจากอาหารอร่อยเท่านั้น แต่ยังอิ่มใจที่ได้ทำสิ่งดีๆ คืนชีวิตให้กับสัตว์ทั้งหลาย อาหารเจในปัจจุบันมีวิวัฒนาการและความหลากหลายมากขึ้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของไทยให้ก้าวหน้าไปอีกระดับ ขอขอบคุณความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่ให้การสนับสนุนกระทรวงพาณิชย์มาโดยตลอด กระทรวงพาณิชย์มุ่งช่วยเหลือประชาชนในการลดค่าครองชีพ ดูแลพืชผลทางการเกษตร หาตลาดใหม่ และสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจให้ทุกภาคส่วน ปีนี้ถือเป็นปีที่ดี เพราะสินค้าที่หลายคนกังวลว่าราคาพืชผักจะสูงขึ้นนั้น จากการลงพื้นที่ตรวจตลาด พบว่าราคายังคงทรงตัว ไม่ได้สูงมาก ประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างทั่วถึง จึงขอยืนยันว่าอาหารเจในปีนี้จะไม่แพง และทุกคนสามารถเข้าถึงได้แน่นอน ขออวยพรให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง เจริญรุ่งเรือง และอิ่มบุญอิ่มใจกันถ้วหน้า” รมว.พาณิชย์ กล่าว
---------------------
#กรมการค้าภายใน #กระทรวงพาณิชย์ #เทศกาลกินเจ #กระตุ้นสั้นได้ผลยาวกระจายตัว #สมาคมตลาดสดไทย #สมาคมการค้าตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรไทย #สมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย #ถือศีลกินเจ #อาหารเจ #ลดค่าครองชีพ

กรมปศุสัตว์เร่งขับเคลื่อนโครงการอาหารสัตว์ธงเขียว มุ่งลดต้นทุนอาหารสัตว์ สร้างรายได้ให้เกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม----------...
18/10/2025

กรมปศุสัตว์เร่งขับเคลื่อนโครงการอาหารสัตว์ธงเขียว มุ่งลดต้นทุนอาหารสัตว์ สร้างรายได้ให้เกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม
------------------------
นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า กรมปศุสัตว์ได้ดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมุ่งเน้นการลดต้นทุนอาหารสัตว์ในทุกมิติ ทั้งด้านอาหารหยาบและอาหารข้น เพื่อให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น ผ่านการดำเนินการภายใต้ 3 โครงการสำคัญ ได้แก่
1.โครงการอาหารสัตว์ TMR (Total Mixed Ration) ส่งเสริมการผลิตอาหารผสมสำเร็จรูปสำหรับโคเนื้อและโคนม โดยนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น กากปาล์มน้ำมัน ใบกระถินแห้ง ใบมันสำปะหลังหมัก กากเบียร์ กากมัน กากมะเขือเทศ และเปลือกสับปะรด มาจัดสัดส่วนตามชนิดและระยะการให้ผลผลิตของสัตว์ เป็นการให้อาหารแบบแม่นยำ ช่วยลดต้นทุนได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังได้จัดตั้ง หน่วยจัดการอาหารสัตว์เคลื่อนที่ (Feed Management Mobile Unit : FMMU) ให้บริการคำแนะนำการใช้วัสดุเหลือใช้ในพื้นที่ พร้อมวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนะผ่านห้องปฏิบัติการมาตรฐาน ก่อนนำไปประกอบเป็นอาหารสัตว์ ทั้งนี้ ในปี 2569 กรมปศุสัตว์ตั้งเป้าผลิต TMR ราคาประหยัด จำนวน 670,000 กิโลกรัม เพื่อให้บริการเกษตรกรทั่วประเทศ
2. โครงการสูตรลดต้นทุนอาหารข้นสำหรับสุกร ส่งเสริมให้เกษตรกรรายย่อยผลิตอาหารข้นใช้เองในฟาร์ม โดยนักวิชาการจาก FMMU จะให้คำแนะนำสูตรอาหารและแหล่งวัตถุดิบ เช่น รำข้าว ข้าวโพด กากถั่วเหลือง พรีมิกซ์ เกลือ และไดแคลเซียม โดยคำนวณสัดส่วนที่เหมาะสม ช่วยลดต้นทุนการผลิตได้เฉลี่ย 20% ขณะเดียวกันยังคงคุณภาพเนื้อสัตว์ไว้ในระดับดี เกษตรกรพึงพอใจอย่างมาก
3. โครงการขยายแปลงปลูกพืชอาหารสัตว์เพิ่ม 50,000 ไร่ ทั่วประเทศ สนับสนุนการปลูกหญ้าเนเปียร์ ถั่วฮามาต้า และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมถึงฟื้นฟูแปลงเดิม โดยกรมฯ สนับสนุน เมล็ดพันธุ์หญ้า 100,000 กิโลกรัม และท่อนพันธุ์ 3.5 ล้านกิโลกรัม ทั้งนี้ปีที่ผ่านมามีแปลงปลูกพืชอาหารสัตว์ที่กรมปศุสัตว์ส่งเสริมดูแลอยู่แล้ว 500,000 ไร่ เพื่อให้เกษตรกรมีพืชอาหารสัตว์คุณภาพดีไว้ใช้ในฟาร์ม ลดการพึ่งพาตลาดและเสริมความมั่นคงด้านอาหารสัตว์ในพื้นที่
"การขับเคลื่อนโครงการอาหารสัตว์ธงเขียว เป็นมาตรการสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย “3 สร้าง” ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ สร้างรายได้ – สร้างตลาด – สร้างโอกาส ให้เกษตรกรไทยสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน พร้อมยกระดับคุณภาพสินค้าปศุสัตว์ไทยให้มีศักยภาพแข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศ หากเกษตรกรทั้งในฐานะผู้ผลิตหรือผู้เลี้ยงสัตว์สนใจเข้าร่วมกิจกรรม สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์ 32 แห่งทั่วประเทศ หรือสำนักพัฒนาอาหารสัตว์ โทร 0 2501 1148 หรือสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดใกล้บ้าน" อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าว
----------------------------
#กรมปศุสัตว์ #กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ #สำนักพัฒนาอาหารสัตว์ #อาหารสัตว์ธงเขียว #เกษตรกร #ปศุสัตว์ #โคเนื้อ #โคนม #สุกร #หมู

กรมปศุสัตว์เร่งขับเคลื่อนโครงการอาหารสัตว์ธงเขียว มุ่งลดต้นทุนอาหารสัตว์ สร้างรายได้ให้เกษตรกรอย่างเป....

18/10/2025
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์รวบรวมข้อมูลเอกลักษณ์ทางเภสัชเวทของเครื่องยาสมุนไพรไทย จัดพิมพ์และเผยแพร่ออนไลน์ -----------------...
16/10/2025

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์รวบรวมข้อมูลเอกลักษณ์ทางเภสัชเวทของเครื่องยาสมุนไพรไทย จัดพิมพ์และเผยแพร่ออนไลน์
-------------------------------
ดร.นพ.สราวุฒิ บุญสุข อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า เครื่องยาสมุนไพรเป็นส่วนของพืชที่ใช้เป็นยาและมักถูกตัดเป็นชิ้นแล้วทำให้แห้ง ซึ่งยากต่อการระบุชนิดของพืชที่ใช้เป็นเครื่องยา จึงมักเกิดปัญหาในการใช้ เช่น การปลอมปน การใช้ผิดชนิด การนำมาใช้ทดแทนจนเข้าใจผิดว่าเป็นชนิดเดียวกัน เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันการใช้สมุนไพรได้รับความนิยมมากขึ้นและมักพบการปลอมปนของสมุนไพรที่จำหน่ายในท้องตลาด สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จึงให้ความสำคัญกับชนิดของเครื่องยาสมุนไพรเป็นอันดับแรก โดยทำการศึกษาเอกลักษณ์ทางเภสัชเวทของเครื่องยาสมุนไพรแต่ละชนิดอย่างละเอียดด้วยการตรวจดูลักษณะภายนอก การศึกษาเนื้อเยื่อที่ตัดให้บางและในสภาพเป็นผงยาด้วยกล้องจุลทรรศน์และนำไปใช้ในการตรวจสอบ เพื่อควบคุมคุณภาพของเครื่องยาสมุนไพร เช่น ตรวจยืนยันชนิดเครื่องยา ตรวจการปลอมปนของเครื่องยาสมุนไพร เป็นต้น โดยรวบรวมข้อมูลพร้อมจัดพิมพ์เป็นหนังสือ “เอกลักษณ์ทางเภสัชเวทของเครื่องยาสมุนไพรไทย” มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 ซึ่งมีการจัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่ไปแล้ว จำนวน 3 เล่ม โดยเล่มแรกจะมีข้อมูลด้านเอกลักษณ์ทางเภสัชเวทของสมุนไพร 14 ชนิด และเล่ม 2 จำนวน 20 ชนิด ปัจจุบันได้จัดทำเป็นเล่มที่ 3 ประกอบด้วยข้อมูลด้านเอกลักษณ์ทางเภสัชเวทของสมุนไพร 12 ชนิด
สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ศึกษาจากตัวอย่างเครื่องยาสมุนไพรอ้างอิงที่ได้จากพืชที่ตรวจระบุชนิดถูกต้องแล้วตามหลักอนุกรมวิธานพืช ทั้งนี้ ยังศึกษาตัวอย่างจากแหล่งต่างๆ เพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ซึ่งการศึกษาเอกลักษณ์ทางเภสัชเวทมีความสำคัญมาก โดยใช้ในการจัดทำข้อกำหนดมาตรฐานทางเภสัชเวทในตำรามาตรฐานยาสมุนไพรไทย (Thai Herbal Pharmacopoeia) เพื่อใช้เป็นตำรายาอ้างอิงทางกฎหมายในการควบคุมคุณภาพยาสมุนไพร ตำรานี้ประกอบด้วยข้อกำหนดมาตรฐานทั้งด้านเภสัชเวทและพฤกษศาสตร์ รวมถึงข้อมูลทางเคมี-ฟิสิกส์ที่สำคัญ นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับความปลอดภัย ขนาดการใช้ยาเบื้องต้น และวิธีการเก็บรักษายาสมุนไพร ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการขึ้นทะเบียนตำรับยา และควบคุมคุณภาพของยาสมุนไพร ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มการพึ่งพาตนเอง และสนับสนุนธุรกิจการส่งออกสมุนไพร ขณะนี้ได้จัดทำตำรามาตรฐานยาสมุนไพรไทย ฉบับเพิ่มเติมปี พ.ศ. 2567 มีสมุนไพรขึ้นทะเบียนแล้ว 151 ชนิด และกำลังพัฒนาและรวบรวมเพื่อจัดทำให้เป็นปัจจุบัน
“ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้รวบรวมตัวอย่างเครื่องยาสมุนไพรอ้างอิงและจัดแสดงไว้ที่ศูนย์เครื่องยาสมุนไพร รวมถึงได้จัดพิมพ์เป็นหนังสือเอกลักษณ์ทางเภสัชเวทของเครื่องยาสมุนไพรไทย และเผยแพร่ผ่านโซเชียลแพลตฟอร์ม เพื่อให้ง่ายและสะดวกในการเข้าถึงข้อมูล นอกจากนี้ ยังมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและงานวิจัย มีการประยุกต์ใช้ AI เพื่อสนับสนุนบุคลากรในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูล โดยหนังสือเอกลักษณ์ทางเภสัชเวทของเครื่องยาสมุนไพรไทยได้เผยแพร่ให้สถานศึกษาและหน่วยงานวิจัย ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้วิจัยด้านสมุนไพร ผู้ประกอบการด้านสมุนไพร และประชาชนผู้สนใจ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป ทั้งนี้ ศูนย์เครื่องยาสมุนไพร ยังเปิดให้นักเรียน นักศึกษา หรือผู้สนใจ เข้าชมฟรี โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โทร. 0 2951 0000 ต่อ 99386 หรือโหลดหนังสือได้ที่ https://mpri.dmsc.moph.go.th/page-view/445 ” ดร.นพ.สราวุฒิ กล่าว
----------------------
#สถาบันวิจัยสมุนไพร #กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ #เอกลักษณ์ทางเภสัชเวทของเครื่องยาสมุนไพรไทย #สมุนไพร #ศูนย์เครื่องยาสมุนไพร

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์รวบรวมข้อมูลเอกลักษณ์ทางเภสัชเวทของเครื่องยาสมุนไพรไทย จัดพิมพ์และเผยแพร่ออนไล.....

กรมการค้าภายในยืนยันผักในช่วงเทศกาลกินเจปีนี้มีปริมาณเพียงพอ ไม่ขาดตลาด --------------------------------     นายวิทยากร ...
16/10/2025

กรมการค้าภายในยืนยันผักในช่วงเทศกาลกินเจปีนี้มีปริมาณเพียงพอ ไม่ขาดตลาด
--------------------------------
นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมฯ ได้ติดตามสถานการณ์ราคาผักในตลาดอย่างใกล้ชิด โดยร่วมกับสมาคมการค้าตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรไทย และตลาดกลางสินค้าเกษตรที่สำคัญของประเทศ ได้แก่ ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดศรีเมือง และตลาดล้านเมือง ซึ่งเป็นศูนย์กลางกระจายผักไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อประเมินปริมาณผลผลิตและแนวโน้มราคาอย่างต่อเนื่อง
โดยผลการติดตามล่าสุดพบว่า ราคาผักส่วนใหญ่ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน อาทิ กะหล่ำปลี กิโลกรัมละ 10 บาท จาก 16 บาทในปีก่อน, ผักกาดขาว กก.ละ 10 บาท จาก 13 บาท, ถั่วฝักยาว กก.ละ 16 บาท จาก 25 บาท, ผักบุ้งจีน กก.ละ 14 บาท จาก 25 บาท, หัวไชเท้า กก.ละ 20 บาท จาก 30 บาท, คะน้า กก.ละ 20 บาท จาก 40 บาท และ แครอท กก.ละ 12 บาท จาก 18 บาท ขณะที่บางรายการมีราคาทรงตัว เช่น มะระจีน กก.ละ 20 บาท และแตงกวา กก.ละ 18 บาท แม้ฝนจะตกต่อเนื่องทั่วประเทศแต่ลักษณะฝนปีนี้เป็นแบบกระจาย ไม่ตกหนักเฉพาะจุดเหมือนปีก่อน จึงไม่สร้างความเสียหายรุนแรงต่อแหล่งเพาะปลูก มีเพียงบางพื้นที่ที่ผักเติบโตช้าจากการได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ แต่ไม่มีผลต่อปริมาณรวมของผักที่เข้าสู่ตลาด โดยเฉพาะผักใบเขียวที่เป็นที่ต้องการสูงในช่วงกินเจยังมีเพียงพอต่อความต้องการบริโภคแน่นอน สำหรับกรณีผักคะน้าที่ราคาปรับสูงขึ้นบางช่วง ผู้บริหารตลาดศรีเมืองชี้แจงว่าแหล่งผลิตหลักในจังหวัดกาญจนบุรีได้รับผลกระทบจากฝนตกหนัก ทำให้ผลผลิตบางส่วนเสียหาย แต่ยังมีสินค้าทดแทนจากจังหวัดสุพรรณบุรีและพื้นที่ใกล้เคียงเข้ามาช่วยเสริมปริมาณได้เพียงพอ ทำให้ตลาดยังมีผักคะน้าจำหน่ายอย่างต่อเนื่องและไม่ขาดตลาด ส่วนที่ปรากฎว่าราคาต้นหอมและผักชี ซึ่งเป็นผักที่ไม่ได้ใช้บริโภคในเทศกาลกินเจ มีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ยังไม่สูงเท่าปีก่อน โดยปีนี้ราคาต้นหอมอยู่ที่ กก.ละ 60-80 บาท จาก 150-170 บาท ผักชีอยู่ที่ กก.ละ 100-120 บาท จาก 100-110 บาท เนื่องจากได้รับผลกระทบสภาพอากาศที่มีฝนตกหนักต่อเนื่องโดยเฉพาะในภาคเหนือ ส่งผลให้ผลผลิตผักใบที่ปลูกมากในจังหวัดเหล่านี้ได้รับความเสียหาย ปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดน้อยลง อย่างไรก็ตาม เพื่อะบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน กรมฯได้ทำการเชื่อมโยงผลผลิตพืชผักชนิดต่างๆ จากแหล่งผลิตในโซนภาคกลาง และตลาดกลางสินค้าเกษตร ไปจำหน่ายในพื้นที่ประสบปัญหาผักไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค หรือมีแนวโน้มจะมีปัญหาราคาปรับสูงขึ้น
"ในช่วงเทศกาลกินเจของทุกปี ความต้องการบริโภคผักจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาผักบางชนิดขยับสูงขึ้นบ้างเป็นปกติ แต่ปีนี้สถานการณ์โดยรวมยังถือว่าดีมาก ผลผลิตไม่ได้รับความเสียหาย และราคาหลายรายการยังถูกกว่าปีก่อน จึงขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าสามารถซื้อผักได้ในราคาที่เหมาะสมตลอดเทศกาลกินเจ กรมการค้าภายในขอเน้นย้ำว่าจะร่วมกับสมาคมการค้าตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรไทย และผู้ประกอบการตลาดกลางทั่วประเทศ ติดตามสถานการณ์ราคาและปริมาณสินค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ราคาผักอยู่ในระดับที่เป็นธรรม ทั้งต่อผู้บริโภคและเกษตรกร ทั้งนี้ หากประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการซื้อสินค้า หรือพบเห็นการจำหน่ายในราคาสูงเกินสมควร สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่ สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 หรือที่ สำนักงานพาณิชย์จังหวัด และสำนักงานชั่งตวงวัดสาขาทั่วประเทศ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบโดยเร็ว กรมฯ ยืนยันว่าจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าผักสดมีเพียงพอตลอดช่วงเทศกาลกินเจปีนี้" นายวิทยากร กล่าวย้ำ
---------------------------------
#กรมการค้าภายใน #สถานการณ์ราคาผัก #เทศกาลกินเจ #ประชาชน #ผู้บริโภค #สมาคมการค้าตลาดกลางค้าส่งสินค้าเกษตรไทย #ตลาดกลางสินค้าเกษตร #ตลาดไท #ตลาดสี่มุมเมือง #ตลาดศรีเมือง #ตลาดล้านเมือง #ศูนย์กลางกระจายผัก #สำนักงานพาณิชย์จังหวัด #สำนักงานชั่งตวงวัด

กรมการค้าภายในยืนยันผักในช่วงเทศกาลกินเจปีนี้มีปริมาณเพียงพอ ไม่ขาดตลาด นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมกา.....

14/10/2025
กรมชลประทานเผยอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศกักเก็บแล้ว 87% พร้อมติดตามฝนใกล้ชิด บริหารจัดการน้ำต่อเนื่อง------------------------...
14/10/2025

กรมชลประทานเผยอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศกักเก็บแล้ว 87% พร้อมติดตามฝนใกล้ชิด บริหารจัดการน้ำต่อเนื่อง
--------------------------------
ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน รายงานสถานการณ์น้ำณ วันที่ 13 ตุลาคม 2561 ทั่วประเทศ ว่าปัจจุบันมีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง จำนวน 483 แห่ง รวมทั้งสิ้น 66,263 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) หรือคิดเป็น ร้อยละ 87 ของความจุอ่างฯ รวมทั้งหมด ยังสามารถรับน้ำได้อีก 10,253 ล้าน ลบ.ม. (ร้อยละ 13) เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำรวม 23,293 ล้าน ลบ.ม. หรือ ร้อยละ 94 ของความจุอ่างฯ รวม ยังสามารถรับน้ำได้อีก 1,583 ล้าน ลบ.ม.
สถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เวลา 06.00 น.) ที่สถานีวัดน้ำ C.2 จังหวัดนครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,639 ลบ.ม./วินาที กรมชลประทานได้บริหารจัดการแบ่งรับน้ำเข้าระบบชลประทานฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก รวม 502 ลบ.ม./วินาที ขณะที่ปริมาณน้ำไหลผ่าน ท้ายเขื่อนเจ้าพระยา ที่สถานี C.13 จังหวัดชัยนาท คงอัตราการระบายอยู่ที่ 2,300 ลบ.ม./วินาที ระดับน้ำเหนือเขื่อน +16.07 ม.รทก. ระดับน้ำด้านท้ายเขื่อนอยู่ที่ +15.47 ม.รทก. ต่ำกว่าตลิ่งประมาณ 87 เซนติเมตร แนวโน้มสภาพอากาศ จากการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า ในช่วงวันที่ 14 - 16 ตุลาคม ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง เนื่องจากมีคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันออกเคลื่อนเข้าปกคลุม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก อ่าวไทยตอนบน ภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามันและภาคใต้ ส่วนในช่วงวันที่ 17 - 19 ตุลาคม จะยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งในพื้นที่ ภาคกลางกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน จากอิทธิพลของร่องมรสุมที่พาดผ่านภาคกลางตอนล่าง และหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวไทยตอนบน
ทั้งนี้ กรมชลประทานได้ติดตามสถานการณ์น้ำและสภาพอากาศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างสอดคล้องกับสภาพฝนและปริมาณน้ำท่าในแต่ละช่วงเวลา เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนให้มากที่สุด โดยประชาชนสามารถติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำเพิ่มเติมได้ที่ wmsc.rid.go.th และ bigdata-swoc.rid.go.th
-------------------------
#ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ #กรมชลประทาน #เขื่อนเจ้าพระยา #สถานการณ์น้ำ #อ่างเก็บน้ำ

‘อะโวคาโดพบพระ 08’ จ.ตาก พืชเศรษฐกิจมิติใหม่ ตอบรับ Longevity Trend สร้างโอกาสใหม่ให้เกษตรกรไทย-------------------------...
12/10/2025

‘อะโวคาโดพบพระ 08’ จ.ตาก พืชเศรษฐกิจมิติใหม่ ตอบรับ Longevity Trend สร้างโอกาสใหม่ให้เกษตรกรไทย
-------------------------
นางธัญญ์พิชชา เถระรัชชานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 2 พิษณุโลก (สศท.2) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า “อะโวคาโด” พืชอาหารเพื่อสุขภาพ (Longevity Food) กำลังกลายเป็นสินค้าที่มีศักยภาพสูง ไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร แต่ยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่สามารถผลักดันรายได้และสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรไทยได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ปัจจุบันแหล่งปลูกอะโวคาโดสำคัญของไทยอยู่ในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย และตาก รวมถึงบางพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่ง สศท. 2 ติดตามสถานการณ์การผลิตอะโวคาโด จังหวัดตาก เป็นสินค้า GI ได้รับการขึ้นทะเบียน วันที่ 12 ตุลาคม 2566 พื้นที่ปลูกเกือบทั้งหมดของจังหวัดอยู่ที่อำเภอพบพระ เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบสูงระหว่างภูเขาสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,765 เมตร มีฝนตกชุก ส่งผลให้อะโวคาโดติดดอกออกผลเร็ว หลังปลูก 2 - 3 ปี สถานการณ์ผลิตในปี 2568 (ข้อมูลจากสำนักงานเกษตรจังหวัดตาก ณ กันยายน 2568) คาดว่า เนื้อที่ปลูกอะโวคาโดทุกสายพันธุ์ในพื้นที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก มี 8,900 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 86 ของเนื้อที่ปลูกทั้งจังหวัด เกษตรผู้ปลูกที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร 387 ราย จำนวน 3,761 ไร่ เนื้อที่ให้ผล 7,170 ไร่ จำแนกเป็น พันธุ์บัคคาเนีย ร้อยละ 55 พันธุ์พบพระ 08 ร้อยละ 30 พันธุ์บู้ท 7 ร้อยละ 5 และพันธุ์พื้นเมืองร้อยละ 5 ผลผลิตทุกสายพันธุ์รวม 21,000 ตัน/ปี ผลผลิตเฉลี่ย 3,000 กิโลกรัม/ไร่/ปี (ต้นที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป) ผลผลิตออกสู่ตลาดนาน 6 เดือน ในช่วงเดือนพฤษภาคม - ตุลาคม ของทุกปี ซึ่งในเดือนตุลาคม ผลผลิตจะออกตลาดอีกประมาณ 700 - 800 ตัน ด้านการจำหน่ายผลผลิต เกษตรกรรายย่อยเกือบทั้งหมดจะจำหน่ายให้แก่พ่อค้าในและนอกพื้นที่ที่เข้ามารับซื้อถึงสวน ยกเว้นสวนอะโวคาโดขนาดใหญ่ที่มีระบบ การจัดการที่ดีจะจำหน่ายให้แก่ลูกค้าประจำที่มีเงื่อนไขข้อตกลงด้านปริมาณรับซื้อและราคากันไว้แล้ว โดยราคาเฉลี่ยที่เกษตรกรขายได้ ณ เดือนกันยายน 2568 แบ่งตามพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์บัคคาเนีย ผลใหญ่ 55 – 60 บาท/กิโลกรัม ผลกลาง 45 – 50 บาท/กิโลกรัม ผลเล็ก 25 – 27 บาท/กิโลกรัม เหมาคละ 30 บาท/กิโลกรัม พันธุ์พบพระ 08 ราคาต้นฤดู 70 – 90 บาท/กิโลกรัม พันธุ์บู้ท7 เหมาคละ 50 – 60 บาท/กิโลกรัม พันธุ์พื้นเมือง ผลใหญ่ 35 บาท/กิโลกรัม ผลกลาง 20 บาท/กิโลกรัม ผลเล็ก 15 บาท/กิโลกรัม เหมาคละ 20 - 30 บาท/กิโลกรัม
สำหรับ อะโวคาโดพบพระ 08 เป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่โดดเด่น ถูกพัฒนามาจากพันธุ์พื้นเมืองที่ได้จากการนำยอดพันธุ์อะโวคาโดจากต้นแม่พันธุ์ ณ บ้านรวมไทยพัฒนาที่ 8 ตำบลรวมไทยพัฒนา อำเภอพบพระ จังหวัดตาก มาเสียบยอดกับต้นตอพันธุ์พื้นเมืองที่ปลูกไว้ ส่งผลให้ผลผลิตมีคุณภาพ ได้ผลผลิตสูง ทนทานต่อโรค และได้ขึ้นทะเบียนรับรองพันธุ์พืชกับกรมวิชาการเกษตรแล้ว โดยมีนายวรเชษฐ์ วังพลากร เกษตรกรเจ้าของสวนวังพลากร ได้รับยกย่องจากเกษตรกรผู้ปลูกอะโวคาโดในพื้นที่จังหวัดตากว่าเป็น เกษตรกรผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตและการตลาดอะโวคาโดของจังหวัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการผลิตอะโวคาโดคุณภาพรายใหญ่ของอำเภอพบพระ ที่มีต้นอะโวคาโดมากกว่า 1,000 ต้น ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานเกษตรอำเภอพบพระ กรมส่งเสริมการเกษตร เข้ามาร่วมสนับสนุนส่งเสริมการผลิตอะโวคาโดคุณภาพในพื้นที่อำเภอพบพระให้มีเพิ่มมากขึ้น โดยสามารถเชื่อมโยงเครือข่ายการตลาดนอกพื้นที่ สร้างมูลค่าเศรษฐกิจให้กับจังหวัดตากมหาศาล ทั้งนี้ อะโวคาโดพันธุ์พบพระ 08 เหมาะปลูกในดินร่วนระบายน้ำดี ทนแล้งและต้านทานโรค โดยเฉพาะโรครากเน่า–โคนเน่า ให้ผลผลิตสูง เนื้อแน่น แห้ง มีกลิ่นหอม ผลสุกเปลี่ยนสีชัดเจน เลี้ยงผลเพียง 4–5 เดือน ช่วยลดต้นทุนและฟื้นฟูต้นได้เร็ว อีกทั้งยังขึ้นทะเบียน เป็นสินค้า GI สะท้อนคุณภาพเฉพาะถิ่นอย่างแท้จริง
“หากเกษตรกรยุคใหม่มุ่งเลือกปลูกพืชเศรษฐกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตสอดคล้องกับความต้องการของตลาด และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในพื้นที่ ควบคู่กับการพัฒนาตนเองด้านองค์ความรู้และการบริหารจัดการฟาร์มอย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้ ควรมีการบูรณาการจัดทำแผนการขับเคลื่อนพัฒนาสินค้า “อะโวคาโดพบพระ 08” จากหน่วยงานทุกภาคส่วนตลอดห่วงโซ่คุณค่าที่ครอบคลุมในทุกมิติ ภายใต้กรอบแนวคิด BCG Model ที่เน้นการพัฒนาคุณภาพผลผลิตควบคู่กับการสร้างสมดุลให้แก่ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยจังหวัดตากสามารถส่งเสริมให้พันธุ์พบพระ 08 เป็นพืชทางเลือกหรือพืชเศรษฐกิจใหม่ที่ตอบรับกับ Longevity Trend ได้อย่างเหมาะสม สร้างความได้เปรียบเชิงเศรษฐกิจควบคู่กับการพัฒนาที่ยั่งยืน” ผู้อำนวยการ สศท.2 กล่าว
ทั้งนี้ การพัฒนาอะโวคาโดพบพระ 08 ในระยะต่อไป มีแนวทางสำคัญ ดังนี้
1) ส่งเสริมให้เกษตรกรได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตการตลาดอะโวคาโด และแนวทางการปรับตัว
2) สนับสนุนองค์ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสวนการเก็บผลผลิตที่แก่จัด และการตรวจรับรองคุณภาพสินค้า
3) หน่วยงานในสังกัด กษ. ควรบูรณาการจัดทำแผนพัฒนาอะโวคาโดร่วมกับทุกภาคส่วนในอำเภอพบพระ จังหวัดตาก ตามกรอบ BCG Model ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับ “Longevity Trend”
4) หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา ส่งเสริมสนับสนุนให้ความรู้การตลาดสินค้า
5) สวนอะโวคาโดคุณภาพของจังหวัดตาก ควรได้รับการรับรองด้วยแบรนด์ตากการันตี เพื่อยืนยันคุณภาพและปลอดภัยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ
6) สวนอะโวคาโดพบพระควรตรวจสอบย้อนกลับไปยังแหล่งผลิต (สวน) หรือสามารถพูดคุยกับเจ้าของสวนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นที่นำไปสู่การเชี่อมโยงธุรกิจการค้าที่ยั่งยืนในอนาคต
-------------------------------
#อะโวคาโดพบพระ08 #สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่2พิษณุโลก #สศท2 #สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร #สศก. #พืชอาหารเพื่อสุขภาพ

สั่งกรมทะเลฯ เดินหน้ามาตรการเข้ม รับมือพะยูนตายและการล่าเอาเขี้ยวพะยูน ย้ำ “ไม่ใช่แค่นับศพ แต่ต้องเปลี่ยนเป็นรักษาชีวิต”...
11/10/2025

สั่งกรมทะเลฯ เดินหน้ามาตรการเข้ม รับมือพะยูนตายและการล่าเอาเขี้ยวพะยูน ย้ำ “ไม่ใช่แค่นับศพ แต่ต้องเปลี่ยนเป็นรักษาชีวิต”
--------------------------------
นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยถึงแผนรับมือพะยูนตายและการล่าเอาเขี้ยวพะยูนในปัจจุบัน เนื่องจากสถานการณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2568 พบพะยูนถูกตัดหัว บริเวณหน้าหาดบ้านหลังเกาะ หมู่ 7 ตำบลเกาะศรีบอยา อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ และจากสถานการณ์การเกยตื้นของพะยูน ในปีงบประมาณ 2566 – 2568 พบพะยูนเกยตื้นทั้งหมด 112 ตัว เป็นพะยูนที่ถูกลักลอบตัดเขี้ยว/หัว จำนวน 8 ตัว และข้อมูลในปีงบประมาณ 2569 พบพะยูนเกยตื้นทั้งหมด 2 ตัว เป็นพะยูนที่ถูกลักลอบตัดเขี้ยว/หัว จำนวน 1 ตัว โดยทั้งหมดถูกตัดหลังตายแล้ว จึงได้สั่งการให้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการสืบสวนหาผู้กระทำผิดอย่างเร่งด่วน เน้นย้ำ “ไม่ใช่แค่นับศพ แต่ต้องเปลี่ยนเป็นรักษาชีวิต” กำชับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ให้เพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก
ด้าน ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า กรมฯ ได้หารือร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) เกี่ยวกับแผนงานโครงการในการป้องกันปราบปรามการตัดเขี้ยวพะยูน พร้อมดำเนินการในมาตรการเชิงรุกแบบบูรณาการ ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน ผ่านแนวทางสำคัญ ได้แก่ การเฝ้าระวังและป้องกัน จัดตั้งทีมลาดตระเวนในแหล่งหญ้าทะเล ใช้เทคโนโลยีโดรนและระบบ citizen science ในการติดตามพะยูน และพิจารณาประกาศเขตคุ้มครองใหม่ การช่วยเหลือฉุกเฉิน โดยตั้งทีมกู้ชีพสัตว์ทะเล พร้อมสัตวแพทย์ประจำในโรงพยาบาลสัตว์ทะเลหายาก (ภูเก็ต/ตรัง) การป้องกันการล่า และลักลอบ ดำเนินการสืบสวนร่วมกับกรมอุทยานฯ และตำรวจในพื้นที่ โดยบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ซึ่งกำหนดโทษสูงสุดจำคุก 15 ปี หรือปรับ 1.5 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่ในการจัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการการวินิจฉัยและการเก็บข้อมูลตามหลักนิติวิทยาศาสตร์ รวมถึงการฟื้นฟูถิ่นอาศัย เพาะพันธุ์หญ้าทะเลในบ่อกุ้งร้าง กั้นคอกฟื้นฟูหญ้า ฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลเสื่อมโทรม และสร้างการมีส่วนร่วม จัดอบรมเครือข่ายชาวประมง อาสาสมัครช่วยพะยูน พร้อมรณรงค์สื่อสารให้สังคมรู้คุณค่าของพะยูน ลบล้างความเชื่อผิดๆ ที่เชื่อว่า “เขี้ยวพะยูนเป็นของขลัง”
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ประชากรพะยูนในประเทศไทยปัจจุบันอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง หลังพบว่าจำนวนพะยูนลดลงต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยจากเดิมที่มีประมาณ 280 ตัวในปีงบประมาณ 2565 ปัจจุบันเหลือเพียงประมาณ 203 ตัว แบ่งเป็นฝั่งอันดามัน 187 ตัว และฝั่งอ่าวไทย 16 ตัว สาเหตุหลักมาจากการเสื่อมโทรมของแหล่งหญ้าทะเล ซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญของพะยูน อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจล่าสุดพบว่าหลายพื้นที่เริ่มมีการฟื้นตัวของแหล่งหญ้าทะเล ส่งผลให้พะยูนบางส่วนเริ่มกลับมาอาศัยในถิ่นเดิมอีกครั้ง ดังนั้น “อย่าให้ความเชื่อผิดๆ มาทำลาย 1 ชีวิต อย่างไร้ค่า เพราะพะยูนไม่ใช่เพียงสัตว์ทะเลหายาก แต่เป็น ตัวชี้วัดสุขภาพของทะเลไทย การปกป้องพะยูนจึงไม่ใช่แค่การอนุรักษ์สัตว์ชนิดหนึ่ง แต่คือการรักษาระบบนิเวศชายฝั่งที่เป็นทุนชีวิตของชุมชน และเป็นพันธสัญญาของไทยต่อประชาคมโลก”
--------------------------------
#กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง #กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #ชวนอนุรักษ์ #ปกป้องคุ้มครอง #พะยูนไทย #สัตว์ทะเลหายาก #สัตว์สงวนใกล้สูญพันธุ์ #เขี้ยวพะยูน #ตัวชี้วัดสุขภาพทะเลไทย #พะยูนถูกลักลอบตัดเขี้ยวและหัว #กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม #บกปทส.

สั่งกรมทะเลฯ เดินหน้ามาตรการเข้ม รับมือพะยูนตายและการล่าเอาเขี้ยวพะยูน ย้ำ “ไม่ใช่แค่นับศพ แต่ต้องเปลี่....

11/10/2025
ธ.ก.ส.จัดสินเชื่อ Smart Tech หนุน Smart Farmer เสริมแกร่งเกษตรวิถีใหม่---------------------------     นายฉัตรชัย ศิริไล ...
11/10/2025

ธ.ก.ส.จัดสินเชื่อ Smart Tech หนุน Smart Farmer เสริมแกร่งเกษตรวิถีใหม่
---------------------------
นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ธ.ก.ส.จัดสินเชื่อเพื่อเทคโนโลยีและเครื่องจักรกลการเกษตร (Smart Tech) วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการยกระดับการประกอบอาชีพของเกษตรกรในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาลดต้นทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์เกษตรด้วยการแปรรูปหรือออกแบบบรรจุภัณฑ์ตามแนวทางเกษตรสมัยใหม่ พร้อมผลักดันเกษตรกรไทยปรับเปลี่ยนการผลิตจากเกษตรดั้งเดิมสู่การเป็น Smart Farmer ยกระดับการบริหารจัดการฟาร์มตามแนวคิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ ESG (Environmental, Social และ Governance) อันนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการอย่างยั่งยืน โดยผู้กู้ต้องมีอายุไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ และต้องมีการจัดทำแผนการนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมมาใช้ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม รวมทั้งการบริหารจัดการห่วงโซ่มูลค่าสินค้าเกษตรหรือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR – 1 (ปัจจุบัน MRR เท่ากับร้อยละ 6.625 ต่อปี) หรือเทียบเท่าร้อยละ 5.625 ต่อปี ระยะเวลาชำระเงินกู้เป็นรายเดือน รายไตรมาส ราย 6 เดือน หรือรายปี สูงสุดไม่เกิน 10 ปี นับตั้งแต่วันกู้เงิน
สำหรับผู้ที่สนใจสามารถแจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ณ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และอนุมัติเงินกู้ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2573 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Call Center 0 2555 0555 หรือ ธ.ก.ส. ทุกสาขา ทั่วประเทศ
---------------------------------
#ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร #ธกส. #เกษตรวิถีใหม่ #สินเชื่อเพื่อเทคโนโลยีและเครื่องจักรกลการเกษตร #การพัฒนาอย่างยั่งยืน #เงินกู้

Address


Alerts

Be the first to know and let us send you an email when ข่าวเกษตร posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

Contact The Business

Send a message to ข่าวเกษตร:

  • Want your business to be the top-listed Media Company?

Share