The Kop HQ-Thailand

  • Home
  • The Kop HQ-Thailand

The Kop HQ-Thailand เพจหลัก The Kop-HQ Thailand
นำเสนอข่าวจริง ข่าววงใน ไม่เล่นข่าวลือ

อัปเดตอาการบาดเจ็บของ “สเตฟาน บายเชติช” – ความคืบหน้าล่าสุดในการฟื้นตัวสเตฟาน บายเชติช (Stefan Bajcetic) ต้องพักรักษาตัว...
27/10/2025

อัปเดตอาการบาดเจ็บของ “สเตฟาน บายเชติช” – ความคืบหน้าล่าสุดในการฟื้นตัว

สเตฟาน บายเชติช (Stefan Bajcetic) ต้องพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บแฮมสตริงมาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม และการกลับมาของเขายังอยู่ในกระบวนการฟื้นฟูอย่างต่อเนื่อง

มิดฟิลด์ชาวสเปนวัย 21 ปีรายนี้เข้ารับการผ่าตัดรักษาอาการบาดเจ็บแฮมสตริงที่เกิดขึ้นระหว่างการยืมตัวกับ ลาส พัลมาส (Las Palmas) เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งทำให้เขาต้องพักยาวเกือบ 6 เดือนเต็ม

⚽ เริ่มกลับมาซ้อมกลางแจ้งแล้ว

ปัจจุบัน บายเชติชได้เริ่มกลับมาซ้อมกลางแจ้งที่ศูนย์ฝึก AXA Training Centre แล้ว และมักจะเห็นเขาอยู่ร่วมกับทีมแพทย์เป็นประจำในช่วงการฟื้นฟูสภาพร่างกาย

คาดว่าการกลับมาลงสนามครั้งแรกของเขาจะเกิดขึ้นกับทีม ลิเวอร์พูล U21 โดยหัวหน้าโค้ช ร็อบ เพจ (Rob Page) เคยให้สัมภาษณ์กับ This Is Anfield ตั้งแต่เดือนกันยายน ว่าหวังจะช่วยให้บายเชติชกลับมาฟิตสมบูรณ์อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม การอัปเดตล่าสุดจากเพจเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ระบุว่ายังไม่มีสัญญาณว่าการกลับมาของเขาใกล้จะเกิดขึ้น

“ยังไม่ครับ (ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใหม่ ๆ) เราน่าจะรู้มากขึ้นภายในสองสัปดาห์ข้างหน้า”

— ร็อบ เพจ กล่าวหลังเกมที่ทีม U21 ชนะเอฟเวอร์ตันในศึกมินิดาร์บี้

🩺 ลิเวอร์พูลไม่เร่งรีบ – เน้นให้หายขาด

หลังจากต้องพักยาวมากว่า 5 เดือน ทีมแพทย์ของลิเวอร์พูลจะไม่รีบร้อนเร่งให้บายเชติชกลับมาลงสนาม และจะค่อย ๆ จัดการเวลาในการลงเล่นของเขาอย่างระมัดระวัง

อย่างไรก็ตาม เวลาสำหรับลงเล่นกับทีม U21 มีจำกัด เพราะโปรแกรมที่เหลือจนถึงสิ้นปีมีเพียง 3 นัดในเดือนพฤศจิกายนเท่านั้น

ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่า บายเชติชอาจจะยังคงฝึกซ้อมเรียกความฟิตอยู่ที่ศูนย์ AXA ไปจนถึงสิ้นปี ก่อนจะกลับมาลงสนามแข่งขันจริงอีกครั้งในช่วงปีใหม่ — ซึ่งจะครบประมาณ 8 เดือนหลังจากได้รับบาดเจ็บ

💬 บายเชติช: “ผมนับวันรอจะกลับมา”

ตลอดเส้นทางอาชีพอันสั้นของเขาจนถึงตอนนี้ บายเชติชมักต้องเจอกับอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่บ่อยครั้ง ทั้งกล้ามเนื้อ น่อง หลัง และล่าสุดคือแฮมสตริง ซึ่งล้วนทำให้พัฒนาการของเขาถูกหยุดชะงักหลายครั้ง

เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายน บายเชติชโพสต์บนอินสตาแกรมว่าเขากำลัง “นับวันรอที่จะกลับมา” แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมาลงเล่นในเกมแข่งขันจริง

นักเตะรายนี้ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 โดยลงสนามเป็นตัวสำรองในเกมเหย้านัดรองสุดท้ายของยุค เจอร์เก้น คล็อปป์ (Jurgen Klopp) ในฐานะผู้จัดการทีม

2 แข้งลิเวอร์พูลถูกเปลี่ยนออกช่วงพักครึ่ง – “คอสตาส ซิมิคาส” โดนวิจารณ์ว่าเล่นขี้เกียจฟอร์มการเล่นของ คอสตาส ซิมิคาส (Ko...
27/10/2025

2 แข้งลิเวอร์พูลถูกเปลี่ยนออกช่วงพักครึ่ง – “คอสตาส ซิมิคาส” โดนวิจารณ์ว่าเล่นขี้เกียจ

ฟอร์มการเล่นของ คอสตาส ซิมิคาส (Kostas Tsimikas) ในการยืมตัวกับ โรมา (AS Roma) ยังไม่กระเตื้องขึ้นเลย หลังจากถูกเปลี่ยนตัวออกช่วงพักครึ่งเป็นครั้งที่สองของฤดูกาลนี้

ซิมิคาสลงเล่นให้โรมาไปแล้ว 6 นัดในทุกรายการ แต่ได้ลงเต็ม 90 นาทีเพียงครั้งเดียว — ซึ่งก็คือเกมแรกที่เขาได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงให้ทีมใหม่

นับจากนั้นเป็นต้นมา แข้งวัย 29 ปีรายนี้ก็หลุด ๆ เข้ามาในทีมบ้าง ออกบ้าง และโอกาสล่าสุดที่ได้รับเพื่อพิสูจน์ตัวเองกลับถูกทำลายด้วยผลงานที่ถูกสื่ออิตาเลียนเรียกว่า “ขี้เกียจ”

เขาได้กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้งในเกมที่โรมาเฉือนชนะ ซาสซูโอโล่ (Sassuolo) 1-0 เมื่อวันอาทิตย์ หลังจากเกมยูโรป้าลีกกลางสัปดาห์ก่อนหน้านั้นไม่ได้ถูกใช้งานเลย

โดยซิมิคาสถูกวางให้เล่นในตำแหน่งวิงแบ็กซ้าย มีโอกาสสัมผัสบอลเพียง 20 ครั้ง เปิดบอลพลาดทั้งสองครั้ง และมีส่วนร่วมในเกมรับเพียงครั้งเดียว ตามสถิติจาก FotMob — ก่อนที่จะไม่ถูกส่งลงเล่นต่อในครึ่งหลัง

📰 สื่ออิตาเลียนให้คะแนนต่ำ – วิจารณ์ว่า “ขี้เกียจ”

สื่อ Il Romanista ให้คะแนนฟอร์มครึ่งแรกของเขาเพียง 5.5/10 ระบุว่า “เขาไม่สามารถฉกฉวยโอกาสที่ได้รับได้” และยัง “วิ่งขี้เกียจ เปิดบอลก็ขี้เกียจ ทั้งที่ได้เล่นในตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดของตัวเอง”

ขณะที่อีกสำนักอย่าง Siamo la Roma ก็เขียนอย่างตรงไปตรงมาว่า ดาวเตะทีมชาติกรีกรายนี้เป็น “ต้นเหตุของการเปิดบอลผิดพลาดหลายครั้ง ไม่น่าเชื่อถือในเกมรับ และเสียบอลบ่อยเกินไป”

ซิมิคาสเคยถูกเปลี่ยนออกช่วงพักครึ่งมาแล้วก่อนหน้านี้ ในเกมที่โรมาแพ้ ลีลล์ (Lille) ศึกยูโรป้าลีกเมื่อต้นเดือน โดยแสดงให้เห็นว่า จาน ปิเอโร่ กาสเปรินี (Gian Piero Gasperini) ผู้จัดการทีม พร้อมตัดสินใจอย่างเด็ดขาดหากลูกทีมเล่นไม่ถึงมาตรฐาน

🔁 ไม่ใช่แค่ซิมิคาส – แข้งลิเวอร์พูลอีกคนก็ถูกเปลี่ยนออก

เขาไม่ได้เป็นแข้งลิเวอร์พูลคนเดียวที่ถูกเปลี่ยนออกช่วงพักครึ่งในสัปดาห์นี้ เพราะ เจมส์ แม็คคอนเนลล์ (James McConnell) ก็ได้ลงเล่นให้ อาแจ็กซ์ (Ajax) แค่ 45 นาทีแรกเช่นกัน ในเกมที่ทีมเอาชนะ ทเวนเต้ (Twente FC) 3-2

มันเป็นการปรับแท็กติกของกุนซือ ยอห์น ไฮติงกา (John Heitinga) ซึ่งหลังจากเปลี่ยนตัวก็เห็นผลทันตา ทีมยิงได้สามประตูภายในเจ็ดนาที คว้าชัยชนะแรกตั้งแต่เดือนกันยายน

ผู้รักษาประตูอีกคนที่ลิเวอร์พูลปล่อยยืมอย่าง วิตซ์สลาฟ ยารอส (Vitezslav Jaros) ได้แต่นั่งดูเกมจากม้านั่งสำรอง โดย ไฮติงกา เลือกส่ง เรมโก้ พาสเฟียร์ (Remko Pasveer) มือกาววัย 41 ปีลงสนามแทน

หลังจบเกม ไฮติงกาอธิบายว่า

“ผมจะตัดสินใจไปทีละเกม ตอนนี้ผมคิดว่าสำคัญที่จะคงผู้เล่นชุดเดิมไว้ รวมถึงตำแหน่งผู้รักษาประตูด้วย

“เรมโก้มีประสบการณ์มาก ทั้งในฐานะผู้เล่นและโค้ช ในช่วงที่ทีมกำลังอยู่ในสภาวะเปราะบาง มันสำคัญมากที่จะมีนายทวารที่คุณไว้ใจได้ในสถานการณ์แบบนี้”

🇮🇪 ส่วนที่ไอร์แลนด์ – “เจมส์ นอร์ริส” ก็มีส่วนในเกมสำคัญ

ในอีกฟากหนึ่งของยุโรป เจมส์ นอร์ริส (James Norris) ได้ลงเล่นในช่วงท้ายเกมของ เชลบอร์น (Shelbourne) ช่วยทีมตีเสมอในดาร์บี้แมตช์กับ โบฮีเมียนส์ (Bohemians) 2-2 ซึ่งผลนี้การันตีโควตาฟุตบอลยุโรปให้เชลบอร์นในฤดูกาลหน้า

ทำไม “เฟรดดี้ วู้ดแมน” จึงเตรียมลงสนามประเดิมให้ลิเวอร์พูลในศึกคาราบาวคัพเฟรดดี้ วู้ดแมน (Freddie Woodman) มีแนวโน้มจะได...
27/10/2025

ทำไม “เฟรดดี้ วู้ดแมน” จึงเตรียมลงสนามประเดิมให้ลิเวอร์พูลในศึกคาราบาวคัพ

เฟรดดี้ วู้ดแมน (Freddie Woodman) มีแนวโน้มจะได้ลงสนามเปิดตัวกับลิเวอร์พูลในสัปดาห์หน้า ในฐานะหนึ่งในผู้เล่นที่ อาร์เน่ เตรียมปรับหมุนเวียนทีมสำหรับศึก คาราบาวคัพ — ซึ่งจะเป็นเกมแข่งขันจริงนัดแรกของเขานับตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา

วู้ดแมนคาดว่าจะได้ลงเล่นแทน จอร์จี้ มามาร์ดาชวิลี (Giorgi Mamardashvili) ตามธรรมเนียมของอาร์เน่ที่มักให้ผู้รักษาประตูสำรองรับหน้าที่ในเกมถ้วยในประเทศ

ฤดูกาลที่แล้ว ควิวิน เคลเลเฮอร์ (Caoimhin Kelleher) ได้ลงเล่น 6 นัดในคาราบาวคัพและเอฟเอคัพ ขณะที่ วิตซ์สลาฟ ยารอส (Vitezslav Jaros) ได้ลงหนึ่งเกม ส่วนฤดูกาลนี้ มามาร์ดาชวิลีเพิ่งได้ประเดิมสนามในรายการนี้ไปก่อนหน้า

และเนื่องจาก อลีสซง เบ็คเกอร์ (Alisson Becker) จะต้องพักรักษาตัวจนกว่าจะผ่านพ้นช่วงเบรกทีมชาติเดือนพฤศจิกายน ทำให้ วู้ดแมน ที่เพิ่งย้ายมาช่วงซัมเมอร์ มีโอกาสลงเฝ้าเสาในเกมพบ คริสตัล พาเลซ

หากเป็นไปตามนั้น เกมนี้จะเป็น การลงสนามแข่งขันอย่างเป็นทางการครั้งแรกในรอบกว่า 7 เดือน ของผู้รักษาประตูวัย 28 ปี หลังจากเกมสุดท้ายของเขาคือการช่วย เพรสตัน นอร์ธเอนด์ เอาชนะ พอร์ทสมัธ 2-1 เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

⚽ จากเพรสตันสู่ลิเวอร์พูล

ฤดูกาลสุดท้ายของวู้ดแมนที่เพรสตันต้องจบลงก่อนเวลาอันควรเพราะอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า และเมื่อสัญญาหมดลง สโมสรไม่ต่อสัญญา ทำให้เขาสามารถย้ายมาลิเวอร์พูลได้แบบไม่มีค่าตัว

ตลอดช่วงที่ผ่านมา เขามักมีส่วนร่วมเฉพาะในช่วงฝึกซ้อมที่ศูนย์ AXA Training Centre และการวอร์มอัพก่อนเกม แต่การที่อลีสซงได้รับบาดเจ็บ ทำให้เขาได้ขยับขึ้นมาเป็นตัวสำรองในทีมชุดใหญ่

การลงเล่นพบพาเลซจะเป็นบททดสอบสำคัญครั้งแรกของเขากับทีมใหม่ แต่สตาฟฟ์โค้ชของสลอตเชื่อมั่นในฝีมือของวู้ดแมนอย่างเต็มที่

ฤดูกาลก่อน วู้ดแมนได้เฝ้าเสาให้เพรสตันในเกมคาราบาวคัพกับทั้ง ฟูแล่ม และ อาร์เซน่อล อีกทั้งยังมีประสบการณ์มากมายจากการเล่นฟุตบอลอาชีพกว่า 11 ปี นับตั้งแต่เริ่มต้นที่ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด

เพรสตันที่จบฤดูกาลในอันดับ 20 ของแชมเปียนชิพนั้น เสียเพียง 43 ประตูจาก 37 นัดที่วู้ดแมนลงเล่น โดยเขาเก็บคลีนชีตได้ถึง 13 นัด
ในทางกลับกัน เมื่อเขาเจ็บและหายไปจากทีม พวกเขาเสียถึง 16 ประตูใน 9 นัด และไม่ชนะใครเลย

📝 วู้ดแมนเผยเบื้องหลังการย้ายทีม

เฟรดดี้ วู้ดแมน เปิดตัวเป็นนักเตะลิเวอร์พูลอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2025 โดยย้ายทีมแบบไม่มีค่าตัว หลังหมดสัญญากับเพรสตัน

เขาเล่าให้ฟังกับเว็บไซต์ทางการของสโมสรในเดือนกรกฎาคมถึงที่มาของการย้ายทีมว่า ทั้งหมดเริ่มต้นจาก ข้อความหนึ่งจากริชาร์ด ฮิวจ์ส (Richard Hughes) ผู้อำนวยการกีฬาของลิเวอร์พูล

“แน่นอน มันเป็นเรื่องเหลือเช่าสำหรับผมที่ได้เซ็นสัญญากับสโมสรแห่งนี้” วู้ดแมนกล่าว

“การปรับตัวเป็นไปได้ดีมาก ทุกคนให้การต้อนรับอบอุ่น เพื่อนร่วมทีมยอดเยี่ยม และการได้ไปทัวร์กับทีมช่วยให้ผมรู้จักทุกคนมากขึ้น”

“ตอนนั้นผมอยู่ในช่วงพักร้อนกับครอบครัว กำลังพิจารณาทางเลือกต่าง ๆ จนได้รับข้อความจากริชาร์ด ฮิวจ์ส แล้วทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก”

“ผมดีใจสุด ๆ ที่ได้เซ็นสัญญา ได้มีภรรยาและลูกสาวอยู่ในช่วงเวลานั้นด้วย จากนั้นก็รีบไปที่ศูนย์ AXA เพื่อเริ่มทำความรู้จักทุกคนทันที”

ปีกลิเวอร์พูลที่ถูกลืม ได้รับโอกาสย้ายทีมอีกครั้งในเดือนมกราคมหลังจากผ่านสองสัญญายืมตัวที่ไม่ประสบความสำเร็จ ไคด์ กอร์ดอ...
27/10/2025

ปีกลิเวอร์พูลที่ถูกลืม ได้รับโอกาสย้ายทีมอีกครั้งในเดือนมกราคม

หลังจากผ่านสองสัญญายืมตัวที่ไม่ประสบความสำเร็จ ไคด์ กอร์ดอน (Kaide Gordon) ก็มีโอกาสย้ายออกจากลิเวอร์พูลอีกครั้ง หลังได้รับไฟเขียวจาก ร็อบ เพจ (Rob Page) โค้ชทีมลิเวอร์พูลชุดอายุไม่เกิน 21 ปี

ย้อนกลับไปช่วงปลายปี 2021 ภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์, กอร์ดอนเคยถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในดาวรุ่งพรสวรรค์สูงของสโมสร — ถึงขั้นที่แฟนบอลบางคนเชื่อว่าเขาอาจเป็น “ตัวสืบทอดระยะยาวของโม ซาลาห์” ได้เลย

แต่เส้นทางอาชีพของดาวเตะที่เกิดในเมืองเบอร์ตันรายนี้กลับไม่เป็นไปตามคาด เพราะเจอทั้งอาการบาดเจ็บเรื้อรังและช่วงยืมตัวที่ไม่ก้าวหน้า

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขากำลังกลับมาโชว์ฟอร์มโดดเด่นอีกครั้งในทีมอะคาเดมี ภายใต้การทำทีมของร็อบ เพจ ผู้จัดการทีม U21 คนใหม่ ซึ่งออกมาเผยว่า เขา พร้อมเปิดโอกาสให้กอร์ดอนย้ายทีมในครึ่งหลังของฤดูกาลนี้ หากมีข้อเสนอที่เหมาะสม

💬 เพจ: “เขาแค่ต้องรักษาฟอร์มแบบนี้ต่อไป”

หลังเกมที่ลิเวอร์พูล U21 เอาชนะเอฟเวอร์ตัน U21 ได้อย่างยอดเยี่ยม เพจกล่าวถึงลูกทีมวัย 21 ปีรายนี้ว่า

“เขาเคยตั้งใจจะย้ายออกไปแบบยืมตัวในช่วงซัมเมอร์ เพื่อก้าวต่อไปในอาชีพของเขา”

“สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้คือรักษามาตรฐานการเล่นแบบนี้ต่อไป ส่วนเรื่องอื่น ๆ จะตามมาเอง — ไม่ว่าจะอยู่ที่นี่หรือที่อื่น”

“ตราบใดที่เขายังทำผลงานระดับนี้ได้ พอถึงเดือนมกราคม ผมมั่นใจว่าจะมีหลายสโมสรติดต่อเข้ามาแน่นอน”

“เราทำงานร่วมกับเขาทุกวัน และยังมีพื้นที่ให้พัฒนาอีกเยอะ แต่ถ้าเขาเล่นได้แบบนี้บ่อย ๆ เขาจะต้องทำให้ผู้คนเริ่มหันมาสนใจแน่นอน”

⚽ ฟอร์มเด่นในเกม “มินิเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี้”

ในเกมดาร์บี้เล็กวันอาทิตย์ที่ผ่านมา กอร์ดอนโดดเด่นเป็นหนึ่งในผู้นำของทีม ช่วยให้ลิเวอร์พูล U21 เอาชนะเอฟเวอร์ตัน 4-1 ท่ามกลางสายฝนที่เคิร์กบี้

เขารับบทเป็น หมายเลข 10 ของทีม และทำผลงานได้ยอดเยี่ยม โดยเป็นคนสร้างจังหวะให้ คีย์รอล ฟิกัวโรอา (Keyrol Figueroa) ยิงประตูแรกของเกม อีกทั้งยังคอยสั่งการและกระตุ้นเพื่อนร่วมทีมรุ่นน้องตลอดเวลา

เพจกล่าวเสริมว่า

“วันนี้เราลองปรับให้เขาเล่นในบทบาทที่อิสระมากขึ้น — ให้เคลื่อนหาช่องระหว่างกองกลางกับเซ็นเตอร์ของคู่แข่ง”

“ผมคิดว่าเขาชอบมันมาก เขาอาจจะเสียดายที่ไม่ได้ยิงประตูเอง แต่เขาเต็มไปด้วยพลังและเป็นอันตรายตลอดเวลา”

โคเน-โดเฮอร์ตี้ ก็เปิดบอลได้ดีมาก โดยเฉพาะลูกที่ฟิกกี้โหม่งเข้า เราเน้นเรื่องการครอสจากด้านข้างในครึ่งหลัง และพวกเขาทำได้เยี่ยมจริง ๆ”

📉 เส้นทางที่สะดุด

อย่างที่ทราบกันดี เส้นทางอาชีพของกอร์ดอนยังไม่เป็นไปตามฝัน — เขาเคยได้ลงสนามในรอบรองชนะเลิศคาราบาวคัพกับอาร์เซน่อลในปี 2022 แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้รับบาดเจ็บ กระดูกเชิงกราน (pelvic injury) ที่ทำให้ต้องพักยาวถึง 19 เดือน

หลังกลับมา เขาเริ่มถูกส่งชื่อในทีมชุดใหญ่บ้างในช่วงต้นฤดูกาล 2023/24 และต่อสัญญาระยะยาวกับสโมสร ก่อนถูกส่งยืมตัวไป นอริช ซิตี้

แต่ช่วงเวลานั้นกลับไม่ประสบความสำเร็จ เขาได้ออกสตาร์ตเพียง 1 นัด และยิงได้ 1 ประตู ก่อนจะถูกเรียกตัวกลับในเดือนมกราคม

จากนั้นเขาย้ายไปอยู่กับ พอร์ทสมัธ อีกหนึ่งทีมในแชมเปียนชิพ แต่สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม เมื่อไม่ได้ลงตัวจริงเลยภายใต้การคุมทีมของ จอห์น มูซินโญ

🔴 โอกาสเริ่มใหม่

กลับมาช่วงปรีซีซั่นกับลิเวอร์พูล กอร์ดอนกลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่โชว์ฟอร์มดีที่สุดในทีม U21 ของร็อบ เพจ และยังรักษาผลงานนั้นต่อเนื่องมาถึงฤดูกาลนี้

แม้จะพลาดโอกาสย้ายแบบยืมตัวในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่ดาวรุ่งวัย 21 ปียังคงแสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่ยอดเยี่ยมและความมุ่งมั่น ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ที่ลิเวอร์พูลต่อหรือย้ายไปที่อื่นในเดือนมกราคม เขาก็ดูพร้อมจะกลับมาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง

เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กลับมามีชื่อในทีมเรอัล มาดริดอีกครั้ง – พร้อมคืนถิ่นแอนฟิลด์เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด...
27/10/2025

เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กลับมามีชื่อในทีมเรอัล มาดริดอีกครั้ง – พร้อมคืนถิ่นแอนฟิลด์

เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ถูกใส่ชื่อในทีมของเรอัล มาดริดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกันยายน โดยอดีตแบ็กขวาของลิเวอร์พูลเตรียมจะกลับมาลงเล่นที่แอนฟิลด์ในสัปดาห์หน้า

แข้งวัย 27 ปีรายนี้พักไปเกือบ หกสัปดาห์ หลังได้รับบาดเจ็บที่เอ็นหลังหัวเข่าในเกมยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกเมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา

ตอนแรกมีกังวลว่าเขาอาจหายไม่ทันเกมเยือนถิ่นเก่าที่แอนฟิลด์ในวันอังคารหน้า แต่ล่าสุดเขากลับมามีชื่อในทีมของเรอัล มาดริดแล้ว

⚽ กลับมาทัน “เอล กลาซิโก้”

อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์มีชื่ออยู่บนม้านั่งสำรองในเกมที่เรอัล มาดริดบุกชนะบาร์เซโลนา 2-1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แม้จะยังไม่ได้ลงสนาม แต่ ชาบี อลอนโซ่ กุนซือของมาดริด ยืนยันว่าเขาพร้อมลงเล่นได้แล้ว

“ผมตั้งสมมติฐานว่าผู้เล่นทุกคนในทีมสามารถเป็นตัวจริงได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจ แท็กติก และความฟิต แต่ทุกคนพร้อมจะลงสนาม”
– ชาบี อลอนโซ่ กล่าว

นั่นหมายความว่าอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์จะมีลุ้นลงเล่นในเกมพบลิเวอร์พูล แต่ในเกมล่าสุด อลอนโซ่เลือกใช้ ดานี การ์บาฆาล แทน เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ ในตำแหน่งแบ็กขวาช่วงท้ายเกม

🔥 คืนถิ่นเก่าแอนฟิลด์

อลอนโซ่ยังต้องคำนึงถึง “ปัจจัยแอนฟิลด์” ด้วย เนื่องจากอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์จะต้องเผชิญกับบรรยากาศอันดุเดือดจากแฟนบอลลิเวอร์พูล หลังจากการย้ายทีมของเขาที่จบลงอย่างไม่สวยนัก

แม้จะยังมีแฟนบอลบางส่วนให้การสนับสนุนเขาอยู่ แต่บรรยากาศในคืนวันนั้นคงหนีไม่พ้นการต้อนรับที่ “ไม่เป็นมิตร” ไม่ว่าเขาจะออกสตาร์ตเป็นตัวจริงหรือเป็นเพียงตัวสำรองก็ตาม

🏟️ ความพร้อมก่อนเกม

เรอัล มาดริดจะเปิดบ้านพบ บาเลนเซีย ก่อนเดินทางไปเมอร์ซีย์ไซด์ ซึ่งการใช้งานอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ในเกมนั้นจะเป็นตัวบ่งชี้สำคัญว่าเขาจะได้ลงเล่นที่แอนฟิลด์หรือไม่ — หากเขายังไม่ได้ออกสตาร์ต ก็มีแนวโน้มว่าสถานการณ์จะไม่เปลี่ยนแปลงในเกมกับลิเวอร์พูลเช่นกัน

ดาวเตะทีมชาติอังกฤษรายนี้ลงเล่นไปเพียง 5 นัดรวมทุกรายการในฤดูกาลนี้ รวมเวลาในสนามเพียง 156 นาที เท่านั้น โดยการ์บาฆาลได้รับความไว้วางใจให้เป็นตัวจริงเมื่อฟิตสมบูรณ์

ทั้งนี้ การ์บาฆาลเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อและได้ลงเล่นในช่วง 18 นาทีสุดท้าย ของเกมกับบาร์เซโลนา ส่วน ดีน เฮาจ์เซน เซ็นเตอร์แบ็กดาวรุ่งก็เพิ่งกลับมาจากอาการบาดเจ็บน่องและลงเล่นเต็ม 90 นาที

🩹 ฝั่งลิเวอร์พูล

ในขณะที่ฝั่งลิเวอร์พูล ปัญหานักเตะบาดเจ็บยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยล่าสุด เคอร์ติส โจนส์ มีรายงานว่าได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อขาหนีบ ส่งผลให้รายชื่อผู้เล่นบาดเจ็บของทีมเพิ่มขึ้นเป็น 8 คน ก่อนเกมคาราบาวคัพกลางสัปดาห์นี้

เจมี คาร์ราเกอร์ ชี้ 2 เหตุผลที่ลิเวอร์พูล “ยังไม่พร้อม” สำหรับพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลถูกเบรนท์ฟอร์ด “เล่นงานทั้...
27/10/2025

เจมี คาร์ราเกอร์ ชี้ 2 เหตุผลที่ลิเวอร์พูล “ยังไม่พร้อม” สำหรับพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้

ลิเวอร์พูลถูกเบรนท์ฟอร์ด “เล่นงานทั้งในและนอกเกม” ในความพ่ายแพ้ล่าสุด ซึ่งทำให้ เจมี คาร์ราเกอร์ ออกมาระบุสองเหตุผลสำคัญว่าทำไมทีมของ อาร์เน่ ถึง “ไม่พร้อม” สำหรับการต่อสู้ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้

ขณะนี้ความกดดันกำลังถาโถมใส่สลอตอย่างหนัก แฟนบอลและสื่อจับตามองทุกการตัดสินใจของเขา ซึ่งสำหรับคาร์ราเกอร์ ปัญหาหลักมีอยู่สองข้อคือ —

1️⃣ ขาดความแข็งแกร่งทางร่างกาย (Physicality)
2️⃣ ขาดความสูงในทีม (Height)

ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในพรีเมียร์ลีกยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะเมื่อกว่า 19% ของประตูในฤดูกาลนี้มาจากลูกเตะมุม

⚠️ จุดอ่อนที่ถูกโจมตีซ้ำ

คาร์ราเกอร์อธิบายระหว่างการวิเคราะห์เกมผ่าน Sky Sports ว่าจุดอ่อนของลิเวอร์พูลเห็นได้ตั้งแต่ 90 วินาทีแรก ของเกมกับเบรนท์ฟอร์ด — และไม่เคยดีขึ้นเลยตลอดทั้งเกม

“ผมต้องถามว่า ‘ผู้นำอยู่ที่ไหน? ความเป็นระเบียบอยู่ที่ไหน?’”

“เมื่อผมพูดถึงการขาดความแข็งแกร่งทางร่างกายในทีมลิเวอร์พูล มันเห็นชัดมาก แค่ผ่านไปหนึ่งนาทีของเกมกับเบรนท์ฟอร์ด”

“เราผ่านไปแค่ 90 วินาที… คอนเนอร์ แบรดลีย์ ไม่ใช่นักเตะที่ตัวใหญ่ที่สุด หรือแข็งแรงที่สุดในสนาม เขามักจะเข้าไล่บอลใกล้เกินไป เพราะเขาไม่มั่นใจในร่างกายของตัวเอง — นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาโดนใบเหลืองบ่อย”

“พอเขาเข้าประกบแน่นเกิน ก็จะเปิดพื้นที่ด้านหลังให้คู่แข่งเจาะง่าย แล้วเขาก็รับมือกับบอลที่เปิดข้ามหัวไม่ทัน”

“ผู้รักษาประตูต้องออกมาช่วยแก้สถานการณ์ตั้งแต่นาทีแรกของเกม แถมยังต้องมาป้องกันลูกทุ่มไกล — ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่คุณอยากเจอเวลาเล่นกับเบรนท์ฟอร์ด”

🧱 “ไม่พร้อมกับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกยุคนี้”

คาร์ราเกอร์กล่าวต่อว่า

“ผมพูดซ้ำหลายครั้งแล้วว่าทีมนี้ยัง ‘ไม่พร้อม’ สำหรับรูปแบบของพรีเมียร์ลีกในตอนนี้ โดยเฉพาะในพื้นที่ด้านขวาของแนวรับ”

“ผมพูดถึงแบรดลีย์ไปแล้ว และก็ต้องพูดถึงโคนาเต้ด้วย — ซึ่งเล่นได้ย่ำแย่ในหนึ่งในจังหวะที่เสียประตู”

“แล้วผู้นำอยู่ที่ไหน? ความเป็นระเบียบอยู่ที่ไหน? คุณปล่อยให้บอลเปิดข้ามหัวแนวรับอีกแล้ว ผู้รักษาประตูต้องออกมาช่วยอีกครั้ง และก่อนจะรู้ตัว คุณก็ต้องตั้งรับลูกทุ่มไกลอีกลูก”

📏 “ทีมนี้ไม่มีทั้งพละกำลังและความสูงพอ”

“นี่คือสิ่งที่ลิเวอร์พูลต้องกลับไปทบทวน — ทีมตอนนี้ขาดทั้งพละกำลังและความสูงที่เพียงพอ ผมไม่คิดว่าพวกเขามีสิ่งเหล่านี้มากพอในทีมเลย”

“ถ้าเบรนท์ฟอร์ดแพ้เกมลีก 4 นัดติดต่อกัน มันคงเป็นหายนะสำหรับทีมน้องใหม่ แต่ลิเวอร์พูลคือ ‘แชมป์เก่า’ ที่ใช้เงินเสริมทัพมหาศาลในซัมเมอร์ — แล้วกลับมาแพ้ 4 นัดติดแบบนี้ ผมว่าตอนนี้คือ ‘ช่วงวิกฤติ’ ของสโมสรอย่างแท้จริง”

“ต้องมีคำถามใหญ่ ๆ เกิดขึ้นในห้องแต่งตัว ทั้งกับผู้จัดการทีม ทีมสตาฟฟ์ และคนที่อยู่เบื้องบน ซึ่งเป็นคนที่ออกไปใช้เงินซื้อนักเตะเหล่านี้กลับมา — พวกเขาคาดหวังผลงานที่ดีกว่านี้แน่นอน”

📊 ข้อมูลเพิ่มเติม

ในการพบกับเบรนท์ฟอร์ด ผู้เล่นตัวจริงของลิเวอร์พูล 10 คน (ไม่นับผู้รักษาประตู) มี ความสูงเฉลี่ย 1.84 เมตร เท่ากับผู้เล่นของเบรนท์ฟอร์ดพอดี แต่หลังจากที่สลอตเปลี่ยนตัวหลายคนลงสนาม ความสูงเฉลี่ยของทีมลดลงเหลือเพียง 1.82 เมตร

“โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แซง เวย์น รูนีย์ ทำลายสถิติใหม่ในพรีเมียร์ลีก”ประตูแรกของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในรอบ 8 นัด กลายเป็นประตูแห...
27/10/2025

“โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แซง เวย์น รูนีย์ ทำลายสถิติใหม่ในพรีเมียร์ลีก”

ประตูแรกของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ในรอบ 8 นัด กลายเป็นประตูแห่งประวัติศาสตร์ เมื่อเขาแซงหน้า เวย์น รูนีย์ ขึ้นไปทำลายสถิติในตารางพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ

แม้ซาลาห์ รวมถึงเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูลหลายคน จะประสบปัญหาฟอร์มตกในฤดูกาลนี้ แต่เขาก็ยุติการรอคอยประตูอย่างยาวนานได้อย่างสวยงามเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แม้ลูกยิงนั้นจะเป็นเพียง “ประตูปลอบใจ” ก็ตาม

⚽ ประตูแห่งสถิติของซาลาห์

แม้จะไม่ใช่เกมที่น่ายินดีสำหรับทีม แต่ประตูดังกล่าวคือการมีส่วนร่วมกับประตูที่ 277 ครั้ง (รวมทั้งยิงและแอสซิสต์) ของซาลาห์ในพรีเมียร์ลีกให้กับลิเวอร์พูล

และสถิตินี้ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่มีส่วนร่วมกับประตู มากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก สำหรับสโมสรเดียว — ทำลายสถิติเดิมของ เวย์น รูนีย์ ที่เคยมีส่วนร่วม 276 ครั้งกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ใน 5 อันดับแรกมีชื่อของ

ไรอัน กิ๊กส์ (271 ครั้ง),

แฮร์รี่ เคน (259 ครั้ง),

เธียร์รี อองรี (249 ครั้ง)

ขณะที่อดีตกัปตันลิเวอร์พูล สตีเว่น เจอร์ราร์ด รั้งอันดับที่ 8 ด้วยผลงาน 212 ครั้ง

🔥 ฟอร์มสูงสุดและปัญหาที่เจอในฤดูกาลนี้

ฤดูกาลก่อน ซาลาห์ทำผลงานได้ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก โดยยิงไป 29 ประตูและจ่ายอีก 18 แอสซิสต์ ช่วยพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีก

แต่ในฤดูกาลปัจจุบัน เขาทำไปเพียง 3 ประตู กับ 2 แอสซิสต์ และยังมีปัญหาเรื่องการจบสกอร์ โดยเขาคือหนึ่งในผู้เล่นที่ “พลาดโอกาสทำประตู” มากที่สุดในลีก (5 ครั้ง – อันดับร่วมที่ 3)

🗣️ อาร์เน่ยังเชื่อมั่นในซาลาห์

แม้ฟอร์มจะไม่ร้อนแรงเหมือนเดิม แต่อาร์เน่ยังคงแสดงความมั่นใจในกองหน้าชาวอียิปต์รายนี้

ผู้จัดการทีมชาวดัตช์ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนเกมเยือนเบรนท์ฟอร์ดว่า เขาไม่กังวลกับการที่ซาลาห์ยิงได้น้อยในช่วงนี้

“จากวิธีที่เขาซ้อม โดยเฉพาะเวลาซ้อมยิงประตู — ความเฉียบคมแบบนั้นมันไม่หายไปไหนหรอก”

“สิ่งเดียวที่เราต้องทำคือพาเขาไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม และเขาเองก็ต้องหาทางไปอยู่ตรงนั้นให้ได้”

“เมื่ออายุมากขึ้นมันอาจมีหลายอย่างที่เปลี่ยนไป แต่ถ้าผมต้องเลือกนักเตะคนหนึ่งให้มีบอลอยู่ในระยะ 12–13 หลา เพื่อยิงประตูสำคัญรักษาชื่อเสียงของผมไว้ ผมจะเลือกโมทันที”

“ตอนนี้เขาแค่ต้องพิสูจน์ว่าเขายังหาพื้นที่แบบนั้นได้อยู่”

คำพูดของอาร์เน่ยังอธิบายได้ดีว่า เหตุใดซาลาห์จึงมักจะอยู่ในสนามจนจบเกม แม้บางครั้งฟอร์มจะไม่ดีนัก เพราะเขาคือคนที่สามารถ “สร้างประตูจากจังหวะที่ดูไม่มีอะไร” ได้เสมอ

อดีตกองหลังลิเวอร์พูลยอมรับว่าเคยกลับบ้านทั้งน้ำตา – “ผมหมดความมั่นใจอย่างสิ้นเชิง”เซ็ปป์ ฟาน เดน เบิร์ก (Sepp van den B...
27/10/2025

อดีตกองหลังลิเวอร์พูลยอมรับว่าเคยกลับบ้านทั้งน้ำตา – “ผมหมดความมั่นใจอย่างสิ้นเชิง”

เซ็ปป์ ฟาน เดน เบิร์ก (Sepp van den Berg) ได้เปิดใจถึงช่วงเวลาอันมืดมนในชีวิตสมัยที่เป็นดาวรุ่งของลิเวอร์พูล หลังต้องย้ายออกจากบ้านเกิดตั้งแต่อายุยังน้อย — พร้อมเผยด้วยว่า อาร์เน่ เคยเสนอให้เขาอยู่เป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดใหญ่

กองหลังชาวดัตช์รายนี้เพิ่งช่วยให้ เบรนท์ฟอร์ด เอาชนะลิเวอร์พูลเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา และยังคงโชว์ฟอร์มโดดเด่นในแนวรับของทีม

🌱 จากเด็กหนุ่มในเนเธอร์แลนด์สู่ช่วงเวลามืดมนในแอนฟิลด์

ฟาน เดน เบิร์กย้ายจาก พีอีซี ซโวลล์ (PEC Zwolle) มาร่วมลิเวอร์พูลในปี 2019 ขณะอายุเพียง 17 ปี แต่สุดท้ายเขาไม่สามารถแจ้งเกิดได้ โดยลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่เพียง 4 นัดเท่านั้น

ในการให้สัมภาษณ์กับ The Guardian ดาวเตะวัย 23 ปีเล่าย้อนถึงช่วงเวลายากลำบากในถิ่นแอนฟิลด์ ซึ่งส่งผลต่อสภาพจิตใจของเขาอย่างมาก

“มันเป็นช่วงเวลาที่มืดมนจริง ๆ” ฟาน เดน เบิร์กกล่าว

“ในฐานะเด็กอายุ 17 ที่ย้ายมาจากต่างประเทศ คุณจะไม่ใช่คนสำคัญของทีมอยู่แล้ว

ผมเคยกลับบ้านทั้งน้ำตา บางครั้งก็ไม่พูดกับใครเลย จะเรียกว่าซึมเศร้าก็อาจจะเกินไปหน่อย แต่ผมรู้แค่ว่าผมไม่สบายใจเลย

ผมไม่มีความมั่นใจ และมันส่งผลโดยตรงกับการเล่นฟุตบอลของผม

ผมเริ่มสงสัยในตัวเองตลอดเวลา คิดว่าผมไม่เก่งพอ ไม่อยากไปซ้อมเลย — ซึ่งปกติผมไม่เคยเป็นแบบนั้น นั่นแหละถึงรู้ว่าตัวเองอยู่ในจุดที่ต่ำสุดจริง ๆ”

🧠 “ถ้ามีใครดูแลผมในตอนนั้นก็คงต่างออกไป”

“มองย้อนกลับไป ถ้ามีใครสักคนคอยดูแลผมในฐานะนักเตะดาวรุ่ง มันคงช่วยผมได้เยอะมากแน่ ๆ

สำหรับเด็กที่ย้ายไปต่างประเทศหรือย้ายเข้าสโมสรใหญ่ ผมอยากบอกพ่อแม่ทุกคนเลยว่า ‘ต้องระวังนะ ดูให้แน่ใจว่าลูกคุณโอเคจริง ๆ’

พ่อแม่ผมยอดเยี่ยมมาก คุณแม่วิดีโอคอลหาผมทุกวัน แต่เธอก็ยังไม่รู้ทั้งหมดว่าผมรู้สึกยังไงจริง ๆ

ส่วนสโมสรใหญ่ ๆ ก็ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น คอยดูแลนักเตะอายุน้อยให้ดี

ถึงอย่างนั้น ผมก็เรียนรู้จากช่วงเวลานั้นมาก มันทำให้ผมเป็นคนอย่างที่เห็นในวันนี้”

เขายังพูดถึงอาการบาดเจ็บสาหัสที่เคยเจอตอนอยู่กับ ชาลเก้ ด้วยว่า

“อาการบาดเจ็บตอนอยู่นั่นก็ทำให้ผมเข้มแข็งขึ้น คุณเรียนรู้อะไรมากมายเมื่ออยู่ในช่วงเวลามืดมน เหมือนโลกทั้งใบดับลง เพราะฟุตบอลคือชีวิตของเรา แต่โชคดีที่ผมผ่านมาได้”

❤️ อาร์เน่เคยให้โอกาส – แต่เขาตัดสินใจเดินออกมา

ฟาน เดน เบิร์กเผยว่าเขารู้สึกขอบคุณ อาร์เน่ ที่ให้โอกาสเขาอีกครั้งในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา — สิ่งที่เขาไม่เคยได้รับในยุค เยอร์เกน คล็อปป์ — แม้สุดท้ายเขาจะเลือกย้ายออกไปก็ตาม

“มันต่างจากเมื่อก่อนมากครับ เพราะก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าผมมีโอกาสจริง ๆ

พอเวลาผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ เขาพูดกับผมว่า ‘นายทำได้ดีมากนะ ฉันอยากให้นายอยู่ต่อ’

เมื่อผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลพูดแบบนั้น มันไม่ใช่เรื่องเล็กเลยนะ ผมก็เริ่มคิดอีกครั้งว่า ‘หรือผมควรอยู่ต่อดี? ควรต่อสัญญาใหม่ดีไหม?’ มันรู้สึกแปลกมากจริง ๆ”

“เขาเป็นคนเปิดกว้าง คุยง่าย และเพราะเราทั้งคู่เป็นชาวดัตช์ด้วยกัน เราเลยตรงไปตรงมามาก ซึ่งผมชอบแบบนั้น

เขาบอกผมว่า ‘นายอาจจะยังไม่ได้เป็นตัวจริงตอนนี้ แต่ถ้าอยู่ต่อ ฉันเชื่อว่านายจะได้โอกาสในอนาคต’”

🔴 จากน้ำตาในอดีต สู่ความแข็งแกร่งในปัจจุบัน

ตอนนี้น่าชื่นใจที่ได้เห็นฟาน เดน เบิร์กกลับมาโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมกับเบรนท์ฟอร์ด และพัฒนาจนถึงจุดที่ควรจะเป็น หลังผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในอดีต

มันยังเป็นเครื่องเตือนใจที่ดีว่า นักเตะดาวรุ่งต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เมื่อย้ายเข้าสู่สโมสรใหญ่ — ตัวอย่างเช่น มิลอช เคอร์เคซ แบ็กซ้ายวัย 21 ปีของลิเวอร์พูล ที่ยังปรับตัวเข้ากับทีมใหม่ไม่ได้เต็มที่

เป็นเรื่องน่าขันเล็กน้อยที่ในตอนนี้ อาร์เน่ เองอาจต้องการฟาน เดน เบิร์กกลับมาช่วยทีม เพราะ โจวานนี เลโอนี เจ็บยาวตลอดฤดูกาล ขณะที่ อิบราฮิมา โคนาเต้ และ โจ โกเมซ ก็มีอาการบาดเจ็บอยู่บ่อยครั้ง

ตารางคะแนนหลังผ่าน MD week ที่ 9 ไปแล้วปีนี้อาร์เซนอลมาดีจริงๆ ส่วนลิเวอร์พูลยังต้องดิ้นรนแก้ปัญหากันต่อไป
27/10/2025

ตารางคะแนนหลังผ่าน MD week ที่ 9 ไปแล้ว
ปีนี้อาร์เซนอลมาดีจริงๆ ส่วนลิเวอร์พูลยังต้องดิ้นรนแก้ปัญหา
กันต่อไป

ความโกลาหลทางแท็กติกของอาร์เน่ : มีเพียงนักเตะคนเดียวที่ยืนตำแหน่งเดิมตลอด 4 เกมที่แพ้การตัดสินใจของ อาร์เน่ ที่ละทิ้งแผ...
27/10/2025

ความโกลาหลทางแท็กติกของอาร์เน่ : มีเพียงนักเตะคนเดียวที่ยืนตำแหน่งเดิมตลอด 4 เกมที่แพ้

การตัดสินใจของ อาร์เน่ ที่ละทิ้งแผนเดิมและเลือก “โยนนักเตะลงสนามเพื่อหวังผล” ทุกครั้งที่ทีมกำลังตามหลัง ส่งผลให้ใน 4 เกมหลังสุดที่ลิเวอร์พูลแพ้ มีเพียง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค คนเดียวเท่านั้นที่รักษาตำแหน่งตัวเองไว้ได้

เขาเลือกใช้ “ความโกลาหล” อีกครั้งในเกมกับเบรนท์ฟอร์ด โดยหวังว่าการดันผู้เล่นไปข้างหน้าหลายคนพร้อมกันจะสร้างโอกาสพลิกเกมได้

หลังเกม แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ให้สัมภาษณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า

“ตอนนั้นเราตาม 3-1 และทุกอย่างคือการโยนคนขึ้นหน้าเต็มไปหมด มันเลยกลายเป็นความโกลาหลไปหมด ไม่มีโครงสร้างเลย ซึ่งมันไม่ดีแน่นอน”

ในตอนท้ายของเกม ลิเวอร์พูลลงเล่นโดยมี ฟาน ไดจ์ค ดันขึ้นสูง และแนวรุกประกอบด้วย เฟเดริโก คิเอซ่า, ริโอ งูโมฮา, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และ อูโก เอกีติเก้ พร้อมกันในแดนหน้า

ความวุ่นวายนี้สะท้อนชัดเจนจากข้อเท็จจริงว่า ในการแพ้ 4 เกมหลังสุดในพรีเมียร์ลีก มีเพียงฟาน ไดจ์คเท่านั้นที่อยู่ในตำแหน่งเดิม ซึ่งเห็นได้จากภาพข้อมูลจาก FotMob

นี่สะท้อนแนวทางแท็กติกของอาร์เน่เมื่อทีมกำลังตามหลัง — การเปลี่ยนแปลงที่มากเกินไปทำให้ผู้เล่นไม่สามารถเชื่อมเกมจากแดนกลางไปถึงแดนหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนใหญ่แล้ว “ความโกลาหล” นี้นำมาซึ่งความสับสน มากกว่าการสร้างโอกาสยิงประตูที่จำเป็นต่อการพลิกผลการแข่งขัน ซึ่งเห็นได้ชัดจากสถิติ

--------------------
🏟️ Brentford

ลิเวอร์พูลเกือบตีเสมอได้อย่างไม่สมควรเลย หลังจาก โม ซาลาห์ ยิงประตูสุดสวยให้ทีมมีความหวัง

ลูกทีมของอาร์เน่ สร้างโอกาสยิงได้ 4 ครั้งหลังจากได้ประตูคืนมา — แต่ไม่มีแม้แต่ลูกเดียวที่เข้ากรอบ

ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้เบรนท์ฟอร์ดยิงสวนได้ 2 ครั้งหลังจากเปลี่ยนตัวครั้งสุดท้าย

การเปลี่ยนตัว:

โรเบิร์ตสัน แทน เคอร์เคซ (61′)

คิเอซ่า แทน กั๊กโป (61′)

แม็ค อัลลิสเตอร์ แทน แบรดลีย์ (62′)

งูโมฮา แทน เคอร์ติส โจนส์ (70′)

โกเมซ แทน เวิร์ตซ์ (83′)

-----------------------
🏟️ Manchester United

ในเกมพบแมนฯ ยูไนเต็ดตัดสินใจถอด ซาลาห์ ออกหลังจาก แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ยิงประตูให้ยูไนเต็ดนำ ก่อนจะขยับ เยเรมี ฟริมปง ไปเล่นปีกขวา และให้ โซบอสไล ลงไปยืนแบ็กขวาแทน

ผลคือ ลิเวอร์พูลยิงได้เพียง 2 ครั้งหลังจากเปลี่ยนแท็กติก — ไม่มีเข้ากรอบเลย และโดนยิงสวนอีก 1 ครั้ง

การเปลี่ยนตัว:

โจนส์ แทน กราเฟนเบิร์ช (62′)

เวิร์ตซ์ แทน แม็ค อัลลิสเตอร์ (62′)

เอกีติเก้ แทน แบรดลีย์ (62′)

คิเอซ่า แทน อิซัค (72′)

ฟริมปง แทน ซาลาห์ (85′)

🏟️ Chelsea

ในเกมเสมอ 1-1 กับเชลซี มีการเปลี่ยนตัวสุดท้ายในนาทีที่ 86 โดยส่ง วาตารุ เอ็นโดะ ลงแทน แม็ค อัลลิสเตอร์ — และมันกลายเป็นหายนะทันที

หลังจากนั้น ลิเวอร์พูลยิงได้เพียง 2 ครั้ง (ไม่มีเข้ากรอบเช่นกัน) และกลับโดนเชลซียิง 1 ประตู พร้อมอีก 2 ลูกที่ต้องให้อลิสซอนเซฟ และอีก 1 ครั้งชนเสา

การเปลี่ยนตัว:

เวิร์ตซ์ แทน แบรดลีย์ (46′)

โรเบิร์ตสัน แทน เคอร์เคซ (55′)

โจนส์ แทน โคนาเต้ (56′)

เอกีติเก้ แทน อิซัค (74′)

เอ็นโดะ แทน แม็ค อัลลิสเตอร์ (86′)

-------------------

🏟️ Crystal Palace

ในเกมกับคริสตัล พาเลซ การเสี่ยงปรับแท็กติกดูเหมือนจะได้ผลในช่วงแรก เมื่อ เฟเดริโก คิเอซ่า ยิงตีเสมอให้ทีมได้หลังจากมีโอกาสยิงก่อนหน้านั้น

แต่หลังจากได้ประตูตีเสมอ ลิเวอร์พูลกลับไม่มีโอกาสยิงอีกเลย

ในทางกลับกัน พาเลซได้ยิงหนึ่งครั้งที่ถูกบล็อก หนึ่งครั้งที่เข้ากรอบและอลิสซอนต้องเซฟ และสุดท้ายก็ยิงประตูชัยที่เริ่มต้น “สถิติแพ้รวด” ของลิเวอร์พูลในตอนนี้

การเปลี่ยนตัว:

กั๊กโป แทน แบรดลีย์ (46′)

โจนส์ แทน แม็ค อัลลิสเตอร์ (65′)

ฟริมปง แทน โคนาเต้ (74′)

คิเอซ่า แทน เวิร์ตซ์ (74′)

งูโมฮา แทน อิซัค (84′)

🟥 บทสรุป

ในเกมที่ลิเวอร์พูลแพ้ทั้ง 4 นัดล่าสุด อาร์เน่ ใช้การปรับแท็กติกและการเปลี่ยนตำแหน่งแบบ “วุ่นวาย” โดยหวังสร้างความได้เปรียบจากการโจมตีแบบไม่มีระบบ แต่ผลที่ได้คือความสับสนและการขาดความเชื่อมโยงระหว่างแดนกลางกับแดนหน้า

และที่น่าสนใจที่สุด — ตลอดทั้ง 4 เกมนั้น มีเพียง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค คนเดียวที่ยืนในตำแหน่งเดิมตลอด

แกรี่ เนวิลล์ ยืนยันว่า ลิเวอร์พูล ( ) จะไม่สามารถพลิกฟอร์มกลับมาได้ หากอาร์เน่ ยังดื้อดึงใช้งานทั้ง คอนเนอร์ แบรดลีย์ แ...
27/10/2025

แกรี่ เนวิลล์ ยืนยันว่า ลิเวอร์พูล ( ) จะไม่สามารถพลิกฟอร์มกลับมาได้ หากอาร์เน่ ยังดื้อดึงใช้งานทั้ง คอนเนอร์ แบรดลีย์ และ มิลอช เคอร์เคซ เป็นฟูลแบ็กสองข้างต่อไป

🗣️ “บางทีนี่อาจถึงเวลาที่อาร์เน่ต้องทำให้ทุกอย่างเรียบง่ายกว่านี้หน่อย ถ้าเขายังให้เคอร์เคซเล่นแบ็กซ้าย และแบรดลีย์เล่นแบ็กขวา โดยที่แดนกลางยังเปิดโล่ง ทีมก็จะได้ผลลัพธ์แบบเดิมซ้ำ ๆ”

🗣️ “ผมชอบผู้จัดการทีมคนนี้นะ ชอบแนวทางการทำงานของเขา และเขาเองก็ไม่ได้ดูตื่นตระหนกอะไร แต่เขาต้องเข้ามาแก้ตรงนี้แล้ว มันเป็นรูปแบบการเล่นที่เห็นชัดตลอดสองเดือนแรกของฤดูกาลนี้ — เขาต้องทำให้แนวรับสี่คนเล่นแคบลง และระมัดระวังมากขึ้น อย่าดันสูงหรือเปิดเกมมากเกินไป ปล่อยให้สามแนวรุกข้างหน้าเป็นตัวตัดสินเกมก็พอ”

🗣️ “นี่ไม่ใช่แค่ช่วงฟอร์มตกชั่วคราวอีกต่อไป แต่มันเริ่มกลายเป็นเรื่องน่ากังวลแล้ว พวกเขาไม่สามารถปล่อยให้ตามหลังอาร์เซนอลถึงเจ็ดหรือแปดแต้มได้หรอก”

Address


50230

Alerts

Be the first to know and let us send you an email when The Kop HQ-Thailand posts news and promotions. Your email address will not be used for any other purpose, and you can unsubscribe at any time.

  • Want your business to be the top-listed Media Company?

Share