𝐖𝐚𝐭𝐭𝐚𝐧𝐚

𝐖𝐚𝐭𝐭𝐚𝐧𝐚 เพื่อความบันเทิง

02/02/2024

ฝนหลง ฤดู ที่พัทยา แต่ฉันนะ หลงเธอ ที่สายเปย์ ซะว่างั้น ! 😂🤣🥰 #ฝนหลงฤดู #บ้านให้เช่าพัทยา

อ่านแล้วชอบมาก..."ค่าวิชาความรู้"เรือยักษ์ลำดังกล่าวเป็นเรือขนส่งสินค้า ทำเงินให้เจ้าของเรือได้วันละหลายล้านบาท แต่เรือจ...
29/01/2024

อ่านแล้วชอบมาก..."ค่าวิชาความรู้"

เรือยักษ์ลำดังกล่าวเป็นเรือขนส่งสินค้า ทำเงินให้เจ้าของเรือได้วันละหลายล้านบาท แต่เรือจอดอยู่อู่ซ่อมเรือมาหลายเดือนแล้วเจ้าของเรือเลยขาดรายได้ไปหลายร้อยล้าน

สาเหตุเพราะ เครื่องยนต์เรือยักษ์พังจนไม่มีใครซ่อมได้ เจ้าของเรือเลยจ้างวิศวกรเครื่องกลชื่อดัง ที่มีประสบการณ์มากว่า 30 ปี

เค้าตรวจสอบเครื่องยนต์อย่างระมัดระวังจากบนถึงล่างจนเห็นทุกอย่าง จากนั้นดึงประแจอันเล็กออกมา

เค้าขันน๊อตตัวหนึ่งที่ห้องเครื่อง จากนั้นเครื่องยนต์ก็กลับมาทำงานได้อีกครั้ง...!!

7 วันต่อมา วิศวกรชื่อดังคนนี้ส่งบิลมาเรียกเก็บค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการซ่อมเครื่องยนต์เรือยักษ์ลำนี้ ซึ่งค่าซ่อมอยู่ที่ 1 ล้านบาทถ้วน...!!

เจ้าของเรือตกใจมาก...!!
ว่าไงนะ.. คุณไม่ได้ทําอะไรเลย แค่ขันน๊อตตัวเดียว ทำไมคิดค่าซ่อมแพงอย่างนี้, ช่วยแจกแจงบิลอย่างละเอียดกับเราที

คําตอบมันก็ง่ายดาย ค่าประแจขันน๊อต 100 บาท , รู้ว่าควรขันน๊อตตัวไหน ขันยังไง ขันเข้าหรือออกเท่าไหร่ 999,900 บาท

ผมทํางานเสร็จใน 30 นาที เพราะ ใช้เวลา 30 ปี ในการเรียนรู้และฝึกฝนจนชำนาญ

ท่านลองคิดดูว่าเรือลำนี้ทำเงินให้ท่านได้ตั้งเท่าไร ถ้าเทียบกับค่าซ่อมเรือที่ต้องจ่าย กับค่าเสียโอกาสในการทำเงินได้ในช่วงที่ผ่านมา

อย่าดูถูกประสบการณ์ และ ความรู้เล็กๆน้อยๆ ที่สะสมเพิ่มขึ้นทุกวันในวันที่ทำงาน

เพราะนานวันเข้าก็จะกลายเป็นวิชาทำมาหากินที่มีค่า
@ผู้ติดตาม @ไฮไลท์ #ผู้ติดตาม #เพื่อน #ค่าของคน

ขอบคุณเจ้าของภาพและข้อความ ค่ะ

“จังหวะชีวิต” มีอยู่จริง 🏃‍♂️ถ้าไม่รู้ว่า จังหวะที่ใช่ จะมาเมื่อไร...ก็ต้องเดินไปรอข้างหน้า...ให้ใกล้ที่สุด!-จังหวะของชี...
03/03/2022

“จังหวะชีวิต” มีอยู่จริง 🏃‍♂️
ถ้าไม่รู้ว่า จังหวะที่ใช่ จะมาเมื่อไร...
ก็ต้องเดินไปรอข้างหน้า...ให้ใกล้ที่สุด!
-จังหวะของชีวิต คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำเราไปสู่ความเร็จ…สร้างตัววันแล้ววันเล่า อดทนแล้วอดทนเล่าเป็นปี ๆ แต่ก็ยังไม่เข้าใกล้ความสำเร็จในนิยามของตัวเองสักที รู้สึกว่าทำไมมันยังไม่ใช่ จนบางทีท้อถึงขีดสุด
-ได้แต่ถามกับตัวเองว่า เรายังขยันไม่พอรึเปล่า หรือเราทำอะไรไม่ดี ทุ่มเทขนาดนี้ทำไมยังไม่สำเร็จสักที มันเป็นเพราะอะไร? ทำไมบางคนดูไม่ได้ทุ่มเทเท่าเราถึงประสบความสำเร็จได้
-ทุกช่วงชีวิตของเรามีบางช่วงที่ตกต่ำและบางช่วงที่รุ่งโรจน์ หลายคนเลยสรุปว่าชีวิตของเราขึ้นอยู่กับดวง! ทั้งที่จริงแล้วชีวิตไม่ได้ขึ้นกับอะไร..แต่มันเป็นเรื่องของ “จังหวะของชีวิต”
- บางคนขายของเล่น ๆ กลายเป็นว่ารวยไม่รู้เรื่อง บางคนจริงจังมาก สร้างบริษัท ทุ่มเท แต่ผ่านไปสิบปียังไม่รวย
- บางคนชีวิตราบรื่นตลอด บทจะเปลี่ยนมีเรื่องเข้ามาเรื่องเดียวก็แรงพอที่จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปทั้งชีวิต
- บางคนเหน็ดเหนื่อยมาเป็นสิบปี กว่าจะมีชีวิตที่ดีก็ตอนอายุ 40 อย่างนี้ก็มีเหมือนกัน..ทุกคนมีจังหวะไม่เหมือนกัน…
- เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไร แต่อย่างน้อยเราก็มี สอง สาม อย่างที่ไม่ต้องรอแต่ดวง!
- "เตรียมตัวรับมือ" ... มันเป็นสัจธรรม รับมือดีก็รอด รับมือไม่ดีก็ล้ม ในที่นี้หมายถึงการเตรียมใจด้วยนะ
- "เตรียมความพร้อม" ... อะไรที่ยังไม่เก่ง อะไรที่ถ้ามีแล้ว ถ้าจังหวะดีๆ มาถึงจะคว้าได้ทันทีไม่ต้องไปรออะไรอีก
- สิ่งสำคัญคือ “อย่าอยู่เฉย” ... สร้างโอกาส เสาะหา หรือบางทีก็ต้องฉวยโอกาส เห็นทางรอดวิ่งเข้าหาไม่ต้องรอ
- ถ้าเราไม่รู้ว่า "จังหวะที่ใช่" จะมาเมื่อไร ก็เดินไปรอข้างหน้า..ให้ใกล้ที่สุด
มีเเค่ตัวเราเท่านั้นทีรู้ ว่าเราพยายามมากเเค่ไหน ✌️💪
#บั้งไฟยโส🚀🔥
#บักจีโอ้🧑🏿‍🦲

23/02/2022

ตำรวจเขา จับปลา ข้อหา....อะไร 🤣🤣

26/08/2021

ร่วมสร้างวิหารทานวิหารแก้วพระนอน ๑๐๐ เมตร

14/08/2021

#บุญกับบารมีต่างกันอย่างไร?
"บุญ" นั้นมีพลานุภาพมาก... สามารถอยู่กับเราได้ข้ามภพข้ามชาติแต่หากส่งผลของกรรมดีจนบุญหมดแล้ว เมื่อหมดก็คือ "หมด" จริงๆ
เราควรสะสม "กรรมดี" อันเป็น "บุญ" ไปเรื่อยๆ พยายามอย่าสร้าง "กรรมไม่ดี" ให้มันบันทึกไว้ใน "จิต" เพราะเวลา "บาป" มันส่งผล มันก็จะมีอานุภาพหนักหนาพอๆกัน
พิจารณาดูสิ! พระพุทธองค์เมื่อบรรลุธรรมก็ยังต้องรับ "วิบากกรรม" ที่ได้กระทำไว้ในอดีตแต่ถ้าท่านเป็นพระอรหันต์แล้วท่านจะรับกรรมแบบ "ไม่มีทุกข์" ในขันธ์ 5 ในสังขารของท่าน
"บุญ" นั้นมาจาก "กรรมดี" ซึ่งมีที่มาได้ 2 ทาง คือ
1. บุญจาก "การกระทำเอง"
2. บุญจาก "การรับรู้ที่ผู้อื่นได้ทำดี" อันเรียกว่า "อนุโมทนาบุญ"
ส่วน "บารมี" มาได้ทางเดียวเท่านั้น คือ "ท่านจะต้องทำเอง" และเมื่อสร้างแล้วมันจะถูกบันทึกไว้ใน "จิต" ไม่มีลดมีแต่ทรงกับเพิ่ม ซึ่งต่างจาก "บุญ"
และวิธีการสร้าง " บารมี10 " มี 10 วิธี! ดังนี้ค่ะ
1. ทานบารมี = การที่จิตของเราพร้อมที่จะให้ทาน ให้เพื่อสงเคราะห์ไม่ใช่ให้เพื่อผลตอบแทน ให้แบบไม่เลือกเพศ ไม่เลือกฐานะ ไม่เลือกบุคคล และเต็มใจในการให้ทานนั้นๆ
2. ศีลบารมี = การที่จิตของเราพร้อมในการรักษาศีล พยายามไม่ให้ศีลบกพร่อง และไม่ยุคนอื่นให้ละเมิดศีล ไม่ดีใจเมื่อคนอื่นละเมิดศีล
3. เนกขัมมบารมี = การที่จิตพร้อมในการถือบวช ในการมุ่งไปสู่การปฏิบัติธรรม การบำเพ็ญภาวนา
4. ปัญญาบารมี = การที่จิตพร้อมที่จะใช้ปัญญาเป็นเครื่องประหัตประหารกิเลสและมีความรู้เท่าทันสภาวะของกฎสามัญลักษณะ ได้แก่ การเห็นอนิจจัง - ทุกขัง - อนัตตา ทุกอย่างไม่แน่!
5. วิริยบารมี = การที่มีความเพียรทุกขณะในการที่จะทำความดี ทำอย่างไม่ย่อท้อ
6. ขันติบารมี = การที่มีความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ในการทำความดี
7. สัจจะบารมี = การที่ตั้งมั้นในคำพูดที่ได้รับปากไว้แล้วหรือการตั้งมั่นกับตนเอง พูดจริง! ทำจริง!
8. อธิษฐานบารมี = การตั้งเป้าหมายให้จิตแบบเจาะจง การที่ตั้งใจไว้ให้ตรงโดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น...สมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ทรงนั่งประทับที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์พระองค์อธิษฐานว่าถ้าเราไม่ได้สำเร็จพระโพธิญาณเราจะไม่ยอมลุกจากที่นี้ พระองค์ทรงอธิษฐานแบบเอาชีวิตเข้าแลกแล้วพระองค์ก็ทรงบรรลุในคืนนั้น
9. เมตตาบารมี = การที่มีความเมตตาไม่เป็นศัตรูกับใคร ไม่เกลียดใคร ไม่อาฆาตใคร มีความรักตนเสมอด้วยบุคคลอื่น
10. อุเบกขาบารมี = การที่มีความวางเฉยมีความเป็นกลางต่ออารมณ์ที่ถูกใจและอารมณ์ที่ไม่ถูกใจ
ขอให้ชาวพุทธทุกท่าน ได้เสริมสร้าง "บุญ - บารมี" กันด้วยความเข้าใจกันนะคะ....
ขอขอบคุณธรรมทานจากทุกท่าน

25/07/2021
13/06/2021

น้อมกราบสาธุค่ะ

วันนี้วันพระ ทำบุญ สะสมบุญกันไว้นะค่ะ สร้างพระนอนวิหารธรรม 7 ชั้น ค้ำชูศาสนาพุทธ เป็นบุญใหญ่ที่สุดแล้วจ้า
09/06/2021

วันนี้วันพระ ทำบุญ สะสมบุญกันไว้นะค่ะ สร้างพระนอนวิหารธรรม 7 ชั้น ค้ำชูศาสนาพุทธ เป็นบุญใหญ่ที่สุดแล้วจ้า

11/05/2021

วันนี้วันพระ

07/05/2021

ชวนกันมาอ่าน
ไปอ่านเจอแล้วน่าสนใจ.. เลยนำมาฝากค่ะ !!

“ตอนใกล้ตาย” มันมีความรู้สึกอย่างไร?

อาการของการ “ตาย” ที่คนอื่นได้ศึกษามาหรือเคยได้พูดคุยกับคนมีประสบการณ์ใกล้ตาย(near-death experience) นั้นเป็นเช่นไร คุณหัชชา ณ บางช้าง เคยค้นคว้าเรื่องนี้มาเขียนใน “ภาวะหลังตาย” และเล่าว่า “กระบวนการตาย” ในระยะต่าง ๆ นั้นเป็นเช่นไร

ท่านบอกว่ามันมี 4 ขั้นตอนอย่างนี้

๑. ระยะแรก เป็นระยะที่ธาตุดินเริ่มสลายตัว
กลายเป็นน้ำ ผู้ตายจะรู้สึกอ่อนระโหย
ไม่มีแรง การมองเห็นต่าง ๆ เริ่มเสื่อม
มองอะไร ๆ ก็ไม่ชัด ทุกอย่างดูมัว ไปหมด
ทุกอย่างที่เห็น เหมือนมองไปกลางถนน
ขณะแดดจัดๆภาพต่างๆจะเต้นระยิบระยับ
เต็มไปหมด

๒. ระยะที่น้ำจะกลายเป็นไฟ ช่วงนั้น
น้ำในร่างกายเริ่มแห้งลง จะรู้สึก ชา ๆ ตื้อ ๆ
เริ่มหมดความรู้สึก ไล่จากปลายเท้าขึ้นมา
ประสาทหูเริ่มไม่รับรู้คือเริ่มไม่ได้ยินเสียง
อะไร มองไปทางไหนก็เห็นแต่ควัน

๓. ระยะนี้ไฟเปลี่ยนเป็นลม
หูจะไม่ได้ยินอะไรอีกเลย รู้สึกหนาว
จับใจ ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ หยุดหมด
ลมหายใจอ่อนลงเรื่อย ๆ
จมูกเริ่มไม่รับความรู้สึกเรื่องกลิ่น

๔. ระยะนี้ ธาตุลมจะเปลี่ยนเป็นอากาศธาตุ
ตอนนี้ เจตสิกทุกอย่าง รวมทั้งการหายใจ
จะหยุดหมดพลังงานทั้งหลายที่เคย
ไหลเวียนอยู่ในร่างกายจะไหลกลับคืนไปสู่
ระบบประสาทส่วนกลางหมด ลิ้นแข็ง
ไม่รับรู้เรื่องรสชาติใดๆความรู้สึกสัมผัส
หมดไป ความรู้สึกอยากโน่น อยากนี่ต่าง ๆ
ที่เคยมีก็หมดไป มีความรู้สึกเหมือน
อยู่กับแสงเทียนที่กำลังลุกโพลงอยู่เท่านั้น

ท่านบอกว่าตอนนี้แหละที่แพทย์จะประกาศว่า
ผู้ป่วยในความดูแล “ถึงแก่กรรม” แล้ว (clinical death)

นั่นก็คือจุดที่ “เวทนา” ทั้งหมดดับไป สมองและระบบไหลเวียนต่าง ๆ ของร่างกายหยุดทำงานหมด แปลว่ารูปและนาม หรือเบญจขันธ์ ตายไปแล้ว

ก็ต้องถกกันต่อไปว่า ถ้าเราเชื่อว่า วิญญาณยังอยู่ต่อเมื่อร่างกายสลายไป จะไปอยู่ที่ไหนอย่างไรต่อไป

อ่านเจออีกแหล่งหนึ่งเรื่อง “ลักษณะการตาย” ตามแนวคิดแบบ “เซน” ที่คุณ “โชติช่วง นาดอน” เคยรวบรวมไว้ในหนังสือ “จิตคือพุทธะ” เมื่อนานมาแล้ว

ท่านบอกว่าคนเราตายได้สองลักษณะ คือ “ตายอย่างปราศจากที่พึ่ง” และ
“ตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่ง”

คนที่ตายย่างแรกนั้นเวลาใกล้จะสิ้นลม มีอารมณ์ผิดไปจากปกติ จิตใจกลัดกลุ้มยุ่งเหยิง เรียกว่า “จิตวิการ” ซึ่งหมายถึงจิตเกิดความปวดร้าวทรมานเพราะ
ยัง “ยึดติด” กับหลายเรื่อง

หรือที่เรียกว่า “ไม่ยอมตายทั้ง ๆ ที่ต้องตาย” นั่นคือจิตใจยังติดข้องกับอุปาทาน ๔ ประการคือ

๑. ติดอยู่กับทรัพย์สินเงินทอง
๒. ห่วงใยอาลัยในสิ่งที่เป็นรูป และอรูป
โดยเห็นว่าเป็นของเที่ยง
๓. มีนิวรณ์ความวุ่นวาย ฟุ้งซ่าน
มาห้ามจิตมิให้บรรลุความดี
๔. มีความดูแคลนเมินเฉยในคุณพระรัตนตรัย

เขาบอกว่าคนส่วนใหญ่ตายลักษณะอาการ
อย่างนี้ เรียกว่าตายอย่างอนาถา

ส่วนการตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่งนั้น
แปลว่าคนใกล้ตายมีสติอารมณ์ผ่องใส
ไม่หวั่นไหว และซาบซึ้งในวิธีของมรณกรรม และยึดหลัก ๔ ประการคือ

๑. มีอารมณ์เฉย ๆ
ซาบซึ้งถึงกฎธรรมดาแห่งความตาย
๒. ซาบซึ้งถึงสภาพการณ์สิ่งในโลกของ
ความไม่เที่ยง ไม่เป็นแก่นสาร
๓. รำลึกถึงกุศลกรรมที่ได้ผ่านมาในชีวิต
และเกิดปิติปลาบปลื้ม
๔. ยึดมั่นเอาคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
อยู่ตลอดเวลาจนสิ้นลมหายใจ

ด้วยเหตุนี้แหละ, จึงเห็นว่าการ
“ฝึกตายก่อนตาย”ดั่งที่ท่านพุทธทาส หรือ.. หลวงพ่อ หลวงปู่ ครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะ..
หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี ท่านเคยสอนเรานั้น
เป็นเรื่องที่ประเสริฐสุดแล้ว

แต่คนส่วนใหญ่กลัวตาย แม้จะเอ่ยถึงคำว่าตายก็รับไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการ “แช่ง” ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครหนีความตายได้แม้แต่คนเดียว
การเรียนรู้ “มรณาอุปายะ” หรือ “ฝึกตายก่อนตาย” นั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ทำให้มันสนุกเสีย ให้มันเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นน่ายินดี ก็จะทำให้ความทุกข์ระหว่างมีชีวิตอยู่นั้น
ลดน้อยถอยลง และเมื่อถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไปก็ไม่ตกใจ
ไมตื่นเต้น ไม่รันทดและทรมานเพราะ..
ความกลัวและความไม่ต้องการที่จะจากไป

ชาวพุทธที่ฝึกปฏิบัติธรรมในสาระจริง ๆ (ไม่ใช่แค่ทำบุญแล้วนึกว่าจะต้องไปสวรรค์
โดยไม่ต้องปฏิบัติธรรม) ก็จะเข้าใจว่า.. “ขันธ์ทั้งห้า” ล้วนไม่เที่ยง ไม่มีความแน่นอน เปลี่ยนแปลงและทรุดโทรม และท้ายสุดก็แตกดับไป และระหว่างที่มรณกาลมาถึงนั้น ขันธ์ห้าก็ย่อมจะแปรปรวน จึงควรจะเตรียมตัวและเตรียมใจไว้

เมื่อความตายมาถึง, เราก็จะได้ไม่ทุรนทุราย และตายอย่างมีสติ และ “รู้เท่าทันความตาย” ซึ่งเป็นสุดยอดของการมีชีวิตอยู่นั่นเอง..

ขอขอบคุณ คุณธนัฐณ์ สกุลธัญวีสิริ

17/03/2021

มื้อเที่ยงแวะมาสัมผัสความอร่อยกับชีสเค้กหอมเลมอลเนื้อชีสนุ่มๆ ละมุนละลายในปาก ...ชิ้นเดียวไม่พอเลย

ที่อยู่

Yan Nawa

เว็บไซต์

แจ้งเตือน

รับทราบข่าวสารและโปรโมชั่นของ 𝐖𝐚𝐭𝐭𝐚𝐧𝐚ผ่านทางอีเมล์ของคุณ เราจะเก็บข้อมูลของคุณเป็นความลับ คุณสามารถกดยกเลิกการติดตามได้ตลอดเวลา

แชร์